วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2554


เฟซบุ๊คล่าชื่อเอาผิด‘ปู’‘แก้วสรร’เปิดตัวเครือข่ายต่อต้านนิรโทษกรรม‘ทักษิณ’

       เรื่องจากปก
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
         ปีที่ 12 ฉบับที่ 3069 ประจำวัน จันทร์ ที่ 6 มิถุนายน 2011
         “แก้วสรร” เตรียมแถลงเปิดตัวเครือข่ายพลเมืองคัดค้านนิรโทษกรรมคอรัปชั่นทักษิณ เปิดเฟซบุ๊คล่ารายชื่อร่วมกันแจ้งความเอาผิด “ยิ่งลักษณ์” ที่ถือหุ้นแทนพี่ชายในคดีซุกหุ้น “อภิสิทธิ์” ยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับผู้ที่เคลื่อนไหว ระบุหากเห็นว่าใครทำผิดมีสิทธิดำเนินการตามกระบวนกฎหมาย “ยิ่งลักษณ์” ลั่นพร้อมรับการตรวจสอบจากกระบวนการที่โปร่งใส เป็นธรรม ยืนยันไม่ท้อพร้อมเดินหน้าทำหน้าที่ต่อ ประกาศชัดไม่คิดทำอะไรเพื่อคนคนเดียว เชื่อยิ่งใกล้วันเลือกตั้งจะมีขบวนการออกมาทำลายมากขึ้น

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ อันดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า ไม่ทราบเรื่องแผนบันได 4 ขั้นเพื่อนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังการเลือกตั้งตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาระบุ


“ปู” ยันนโยบายทำเพื่อส่วนรวม


“พรรคเพื่อไทยมีนโยบายทำเพื่อประชาชนส่วนรวม มุ่งแก้ปัญหาให้ประชาชน โดยเฉพาะเรื่องปากท้อง ไม่คิดทำอะไรเพื่อคนคนเดียวอย่างที่ถูกกล่าวหา เรื่องของคดีความมีความชัดเจน พรรคเพื่อไทยมุ่งสร้างความยุติธรรมอย่างเสมอภาค พ.ต.ท.ทักษิณก็มีสิทธิได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกับคนอื่นๆตามหลักนิติธรรม และต้องมองว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้บ้านเมืองก้าวไปสู่ความสามัคคีปรองดอง”


มั่นใจชี้แจงข้อกล่าวหาได้


ส่วนกรณีที่ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี ออกมาล่ารายชื่อให้ดำเนินคดีอันเกี่ยวเนื่องมาจากคดีซุกหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ยินดีรับการตรวจสอบตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ได้รู้สึกวิตกกังวลอะไร และมั่นใจว่าจะชี้แจงต่อประชาชนได้


เชื่อใกล้เลือกตั้งถูกกล่าวหาอีก


“ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาดิฉันประกาศอย่างชัดเจนว่าพร้อมรับการตรวจสอบตามกติกา และไม่ขอพูดว่าเป็นการรังแกผู้หญิงหรือไม่ แต่ต้องการเห็นการเลือกตั้งเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ เพราะประชาชนเบื่อที่จะฟังการตอบโต้กันไปมาแล้ว จะพยายามอดทนทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เชื่อว่ายิ่งใกล้วันเลือกตั้งจะยิ่งมีการขุดคุ้ยเรื่องต่างๆออกมาโจมตีอย่างต่อเนื่อง แต่จะไม่ท้อ เพราะมีความมุ่งมั่นที่จะอาสาเข้ามาทำงาน”


แก้รัฐธรรมนูญต้องฟังประชาชน


น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวถึงการแก้รัฐธรรมนูญหลังการเลือกตั้งว่า จะต้องสอบถามความเห็นจากประชาชนก่อนว่ามีความรู้สึกอย่างไรกับรัฐธรรมนูญในปัจจุบัน พรรคเพื่อไทยจะฟังความต้องการของประชาชนเป็นหลักหากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ


น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวถึงผลโพลที่ประชาชนกังวลใจต่อการซื้อเสียงว่า พรรคเพื่อไทยเน้นนำเสนอนโยบายกับประชาชน และไม่เชื่อว่าการซื้อเสียงจะมีผลต่อการตัดสินใจของประชาชนในการลงคะแนน


เพื่อไทยเน้นเสนอนโยบายไม่ซื้อเสียง


“พรรคเพื่อไทยไม่มีนโยบายให้ผู้สมัครซื้อเสียง เราเน้นการปราศรัยนำเสนอนโยบายต่อประชาชน โดยเน้นออกนโยบายที่ตรงกับความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่ เชื่อว่าจะได้รับการยอมรับมากกว่าการซื้อเสียง”
ส่วนกรณีที่ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ผู้สมัคร ส.ส.พรรครักษ์สันติ ระบุว่านายกรัฐมนตรีควรมาจากขั้วที่ 3 เพื่อป้องกันความแตกแยกนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ตามระบอบประชาธิปไตยพรรคที่ชนะเลือกตั้งควรได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เพราะเป็นการเคารพเสียงของประชาชน แต่เมื่อพรรคนั้นเสนอรายชื่อผู้เป็นนายกรัฐมนตรีไปแล้วก็เป็นเรื่องที่สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณา ทุกอย่างมีกติกาและต้องเดินไปตามนั้น


ใครเป็นนายกฯก็ปรองดองได้


“ไม่ว่าใครเป็นนายกรัฐมนตรี หากมีความตั้งใจที่จะเข้ามาแก้ปัญหาความแตก สร้างความปรองดอง ก็สามารถทำได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นตัวแทนจากขั้วที่ 3” น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวและว่า ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของนายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อดีตประธานคณะกรรมการศึกษาปฏิรูปทางการเมืองและแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เสนอให้หัวหน้าพรรคการเมืองที่ชนะเลือกตั้ง ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ควรนำผลคะแนนจากระบบเขตมารวมด้วยเพราะเป็นเสียงของประชาชนเหมือนกัน จึงจะถือว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่ของคนในประเทศ


“มาร์ค” ไม่เกี่ยวข้องตรวจสอบ “ปู”


ด้านนายอภิสิทธิ์ยืนยันว่า ไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของ นพ.ตุลย์ที่จะล่ารายชื่อให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินคดีกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์จากคดีซุกหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะ นพ.ตุลย์ไม่สังกัดพรรคประชาธิปัตย์
“ถ้าถามผมว่ารู้จักกับ นพ.ตุลย์หรือเปล่า ผมยอมรับว่ารู้จัก เรื่องนี้ไม่มีประชาธิปัตย์แท้หรือประชาธิปัตย์เทียม เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่พรรคต้องดำเนินการในเรื่องนี้ ขอให้ดูที่เนื้อหาสาระของผู้ดำเนินการ ส่วนตัวยังไม่รู้ว่า นพ.ตุลย์จะให้ดำเนินการอะไรบ้าง แต่หากเป็นเรื่องที่ต่อเนื่องมาจากคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุกอย่างต้องว่ากันไปตามกฎหมาย”


ซัดสื่อเสนอข่าวบิดเบือนให้ร้าย


ส่วนกรณีที่มักกล่าวอ้างว่าคนเสื้อแดงที่ออกมาต่อต้านเป็นแดงเทียมนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า วันนี้มีความชัดเจนในหลายกรณี อย่างนางสิริมา นวมแจ่ม ที่ไปถือป้ายต่อต้านระหว่างหาเสียงที่ตลาดวงศกร เมื่อตรวจสอบดูก็เห็นว่าร่วมกิจกรรมกันมาระยะหนึ่งแล้ว ส่วนสื่อที่เสนอข่าวทำนองว่าเป็นคนของสันติอโศกนั้นไม่รู้สึกแปลกใจ เพราะทั้งหนังสือพิมพ์ข่าวสดและมติชนบิดเบือนคำพูดผมมาตลอด ทั้งการพาดหัวและการเลือกรูปเห็นได้ชัดเจน ก็เป็นสิทธิที่จะเลือกข้าง แต่ขอให้เคารพความจริง


ย้ำต้องปรองดองภายใต้กฎหมาย


“ผมไม่อยากพูดว่าคนเสื้อแดงถูกพรรคเพื่อไทยใช้เป็นเครื่องมือ เพราะอยากให้ประเทศเดินไปข้างหน้า มีการเลือกตั้ง จึงไม่อยากหยิบยกประเด็นขัดแย้งมาทำให้เกิดปัญหา” นายอภิสิทธิ์กล่าวและว่า การปรองดองต้องทำภายใต้กรอบของกฎหมาย หากประชาชนเลือกพรรคประชาธิปัตย์เป็นเสียงข้างมาก ความชอบธรรมตรงนั้นจะเกิดขึ้น ยืนยันว่าจะไม่รังแก ไม่ทำร้ายฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ถ้าชนะจะอดทนอดกลั้น รับฟังความเห็นที่แตกต่าง เหมือนที่ปฏิบัติมาตลอด 2 ปี เพื่อให้บ้านเมืองก้าวพ้นเรื่องนี้


ให้ประชาชนเลือกจะเอาแนวทางไหน


นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า พรรคเชื่อในความปรองดองด้วยการให้รัฐบาลเดินหน้าทำงานให้ประชาชนบนความเสมอภาคเท่าเทียม ไม่แบ่งแยก หรือประชาชนจะเลือกรัฐบาลที่ต้องการหยิบยกเอาเรื่องเหล่านี้มาเป็นปัญหาความขัดแย้ง ตอบสนองความต้องการของคนบางกลุ่ม ก็ต้องพิจารณาเอง


ผู้สื่อข่าวถามว่าเกรงจะต้องจบชีวิตด้วยการติดคุกหรือหนีออกนอกประเทศเหมือนกับที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง แกนนำพรรคเพื่อไทย ระบุหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่กลัวและไม่เชื่อว่าคนที่ทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยให้บ้านเมืองโดยไม่ได้แสวงหาประโยชน์ส่วนตนจะต้องพบกับชะตากรรมเช่นนั้น คนที่เอารัดเอาเปรียบประชาชนทั้งประเทศและเอาเปรียบบ้านเมืองต่างหากที่สมควรเจอชะตากรรมเช่นนั้น


ไม่กลัวฝ่ายตรงข้ามเอาคืน


“ผมไม่กลัว เพราะความจริงก็คือความจริง ผมไม่อยากทะเลาะเรื่องนี้ พยายามก้าวข้ามไม่พูดถึง จึงเน้นนำเสนอนโยบายด้านเศรษฐกิจ สังคม สร้างระบบสวัสดิการ ดูแลสิทธิของประชาชน เป็นเรื่องที่ประชาชนต้องตัดสินว่าจะเลือกยอมพวกเสียงดังเพื่อให้บ้านเมืองสงบ หรือต้องการสังคมที่เคารพกฎหมาย”
อย่าเป็นบันไดให้ “ทักษิณ”


นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงกระแสข่าวที่ว่าพรรคเพื่อไทยมีแผนบันได 4 ขั้นนำไปสู่การนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณว่า ไม่ทราบเรื่องนี้ และจะไม่ยอมให้ประชาชนเป็นบันไดให้ พ.ต.ท.ทักษิณเหยียบ ขณะเดียวกันประชาชนก็ไม่ควรยอมเป็นบันไดให้ พ.ต.ท.ทักษิณเหยียบ ต้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณตกบันไดไปตั้งแต่ขั้นแรก ด้วยการให้ประชาชนบอกชัดๆว่าบ้านเมืองต้องการก้าวพ้นความต้องการของคนคนเดียว จะมีประชาชนกี่คนที่ทำผิดกฎหมายแล้วมีโอกาสให้คนมาออกกฎหมายใช้อำนาจลบล้างคำพิพากษา ถ้าทำอย่างนี้ได้บ้านเมืองก็ไม่ใช่ 3 ศาล หรือ 1 ศาลนักการเมืองแล้ว แต่จะกลายเป็น 4 ศาล หากใครทำผิด มีอำนาจ มีอิทธิพล ก็เปลี่ยนแปลงความผิดได้ แล้วบ้านเมืองจะอยู่อย่างไร


แก้ รธน. ต้องตอบให้ได้ทำเพื่อใคร


นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า หากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องตอบโจทย์ให้ชัดว่าต้องการแก้ประเด็นไหน เพื่อใคร ถ้าจะแก้บทเฉพาะกาลเพื่อล้างความผิดให้กับคนที่ทำผิดเพียงคนเดียว ถึงกับบอกว่าอำนาจศาลล้มล้างได้ ต้องแก้กฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่ ทำไมไม่พาประเทศเดินหน้าข้ามปัญหาเหล่านี้ คนไทยมีโอกาสใช้การเลือกตั้งครั้งนี้ก้าวให้พ้นด้วยการลงคะแนนเสียงท่วมท้นไปเลยว่าไม่เอาเรื่องแบบนี้ เดินหน้าเข้าสู่ระบบสภา และถ้าผมได้บริหารประเทศจะให้ความเป็นธรรมกับทุกคน รวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณด้วย


ไม่อยากมีปัญหาต้องเลือก ปชป.


“หากประชาชนไม่อยากเห็นเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นต้องเลือกพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล เพราะเราไม่ทำอะไรให้เป็นปัญหาของบ้านเมือง หากเราเป็นรัฐบาลชัดเจนว่าจะเดินหน้าทำงานให้ประชาชน ส่วนเรื่องสร้างความปรองดองให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการอิสระพิจารณาตามความเหมาะสม และพรรคที่จะมาร่วมรัฐบาลต้องยึดนโยบายนี้เป็นหลัก”


เปิดเฟซบุ๊คล่าชื่อกล่าวโทษ “ปู”


ด้านเครือข่ายพลเมืองคัดค้านนิรโทษกรรมคอรัปชั่นทักษิณ (คนท.) นำโดยนายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เผยแพร่เอกสารคำชี้แจงและเชิญร่วมกล่าวโทษ น.ส.ยิ่งลักษณ์เพื่อหยุดกฎหมายนิรโทษกรรมคดีคอร์รัปชัน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร บนเฟซบุ๊คของเครือข่าย


สำหรับเอกสารที่เผยแพร่ ประกอบด้วย 1.คำชี้แจงร่วมกล่าวโทษปู...หยุดกฎหมู่ชินวัตร 2.คำกล่าวโทษ น.ส.ยิ่งลักษณ์และพวก 3.คู่มือตรากฎหมายยุติการดำเนินคดีตามกฎหมายตามนโยบายพรรคเพื่อไทย 4.ตอบคำถามคาใจทำไมแจ้งความปูช่วงเลือกตั้ง และ 5.แบบสอบถามความคิดเห็น


จี้ดีเอสไอฟันถือหุ้นแทน “ทักษิณ”


ทั้งนี้ ได้ระบุจุดประสงค์ของการเผยแพร่ว่าต้องการเรียกร้องให้ดีเอสไอดำเนินการกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์และพวก จากกรณีที่ศาลตัดสินให้ยึดทรัพย์คดีซุกหุ้นชินคอร์ป แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการกล่าวโทษกับผู้ที่อ้างถือหุ้นแทน ซึ่งรวมถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ด้วย


นอกจากนี้ยังชี้แจงเรื่องที่ทำไมต้องดำเนินการในช่วงเลือกตั้ง โดยระบุว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่การเลือกตั้งปรกติ แต่เป็นขั้นตอนที่ 1 ของประชามติฟอกตัว พ.ต.ท.ทักษิณที่เรียกร้องให้พ่อแม่พี่น้องพากลับบ้านด้วยการเลือกพรรคเพื่อไทย เมื่อได้อำนาจมาเมื่อใดจะต้องแก้กฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยวันที่ 7 มิ.ย. 2554 คนท. จะเปิดแถลงข่าวที่รัฐสภา


******************************
http://redusala.blogspot.com

‘มาร์ค’ไม่รับรู้ทหารอุ้มนั่งนายกฯรับมีคนแสลงใจกอดสยิว‘เนวิน’

        เรื่องจากปก
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
         ปีที่ 12 ฉบับที่ 3070 ประจำวัน อังคาร ที่ 7 มิถุนายน 2011
         “อภิสิทธิ์” เขียนบันทึกเปิดใจเผยแพร่ผ่านเฟชบุ๊ค ยืนยันได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีตามระบบรัฐสภา ไม่รับรู้ใครไปคุยกับทหารให้สนับสนุนหรือไม่ และไม่เคยเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวโค่นล้มระบอบทักษิณของพันธมิตรฯ ยอมรับผู้สนับสนุนแสลงใจภาพกอดกับ “เนวิน” แต่ต้องเสียสละเพื่อทำงานให้บ้านเมืองผ่านพ้นวิกฤต ย้ำไม่ได้กระสันอยากเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะรู้ดีว่าจะทำให้ชีวิตไม่เป็นปรกติอีกต่อไป แขวะถูกต่อต้านเพราะ “ทักษิณ” สั่งไม่ได้

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เขียนบันทึก “จากใจอภิสิทธิ์ ถึงคนไทยทั้งประเทศ” เพื่อชี้แจงเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงบริหารประเทศ 2 ปีกว่าที่ผ่านมา โดยระบุว่า


แม้ตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่าที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีพยายามสื่อสารกับพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมและมีความเข้าใจในการทำงาน แต่ที่ผ่านมาหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเหตุการณ์ทางการเมืองที่มีความละเอียดอ่อน เพราะพยายามลดเงื่อนไขความขัดแย้ง แต่ขณะนี้สื่อมวลชนบางส่วนเสนอข้อมูล ข้อคิดที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง จึงจำเป็นต้องทำบันทึกชุดนี้เพื่อเป็นหลักฐาน และเพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจชี้ชะตาอนาคตของประเทศโดยพี่น้องทุกคนในเร็วๆนี้


ตอนที่ 1 การเมืองสลับขั้ว : สู่เส้นทางนายกรัฐมนตรี


หลังจากที่พ่ายแพ้การเลือกตั้งปลายปี พ.ศ. 2550 ตั้งใจทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรให้ดีที่สุด ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสก้าวสู่ตำแหน่งนายกฯจนกว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ แต่เหตุการณ์บ้านเมืองก็ไม่ปรกติ โดยเริ่มต้นจากความขัดแย้งที่เกิดจากนายกฯสมัคร (นายสมัคร สุนทรเวช) เปิดประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อล้างความผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้เกิดกระแสต่อต้านรุนแรงจากประชาชนที่ไม่ต้องการให้นักการเมืองกลายเป็นอาชีพเดียวที่อยู่เหนือกฎหมายได้ เพราะสามารถใช้เสียงข้างมากในสภาออกกฎหมายล้างความผิดตัวเองได้ ในความผิด เช่น การทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งถือเป็นวิธีการที่สั่นคลอนความมั่นคงของกระบวนการยุติธรรมและระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นอย่างยิ่ง


ไม่เกี่ยวข้องกับพันธมิตรฯ


หลายคนมองว่าพรรคประชาธิปัตย์สมคบกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่ส่วนตัวระมัดระวังที่จะแยกแยะบทบาทของพรรคการเมืองกับภาคประชาชนที่มีสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ โดยไม่ไปขึ้นเวทีแต่ปกป้องสิทธิของพวกเขา เมื่อใดที่มีการทำผิดกฎหมาย เช่น การยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบิน หรือขัดขวางการลงพื้นที่ของรัฐมนตรี ก็แสดงจุดยืนชัดเจนทุกครั้งว่า “ผมไม่เห็นด้วย”


เสนอ “สมัคร” ยุบสภาแก้ปัญหา


เมื่อสถานการณ์ลุกลาม การบริหารบ้านเมืองแทบเดินไม่ได้ ประเทศชาติเสียหายยับเยิน ขาดความเชื่อมั่นในสายตานานาชาติ ในช่วงวิกฤตนั้นในฐานะผู้นำฝ่ายค้านเป็นคนเสนอนายกฯสมัครกลางสภาให้แก้ปัญหาด้วยการยุบสภา ทั้งๆที่รู้ว่ายุบสภาในขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็แพ้เลือกตั้ง แต่ต้องการให้ประเทศมีทางออกตามระบบ ไม่เคยเสนอให้นายกฯสมัครลาออกจากตำแหน่ง เพราะนั่นเป็นข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุม การลาออกจะกลายเป็นการยอมจำนนต่อการใช้มวลชนกดดัน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดปัญหาระยะยาวต่อการบริหารประเทศ จึงเห็นว่าการยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนเป็นทางออกที่ดีที่สุด โดยไม่ได้คำนึงถึงว่าพรรคจะแพ้การเลือกตั้ง เพราะการแก้ปัญหาเพื่อชาติต้องอยู่เหนือประโยชน์ของพรรคตัวเอง นี่คือจุดยืนของตัวเองและพรรคประชาธิปัตย์


ไม่ดิ้นรนเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี


ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่ทวีความตึงเครียดให้กับประเทศไทยมากขึ้น คดีของพรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลก็อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องการยุบพรรค เพราะนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรค ทุจริตเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ใบแดงนายยงยุทธ จากนั้นศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งมีคำพิพากษายืนให้ใบแดงกับนายยงยุทธ ซึ่งกติกาที่ทุกพรรคก็รับทราบมาตั้งแต่ต้นคือ หากผู้บริหารพรรคได้ใบแดงพรรคการเมืองนั้นต้องถูกยุบ ดังนั้น คดีนี้จึงชัดเจนอย่างยิ่งชนิดที่เรียกว่าปิดไว้ข้างฝาได้เลยว่าจะมีปัญหาแน่สำหรับรัฐบาลคุณสมัครกับคุณสมชาย (วงศ์สวัสดิ์) แต่ส่วนตัวไม่เคยคิดและไม่เคยดิ้นรนว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วจะเป็นโอกาส


ยุบพลังประชาชนไม่เกี่ยว ปชป.


ช่วงเวลานั้นนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ติดต่อผ่าน ส.ส. คนหนึ่งเพื่อขอพบตน เพราะมีธุระอยากพูดคุยด้วย เราก็ได้พบกันที่ร้านอาหารใกล้พรรคประชาธิปัตย์ โดยคุณพสิษฐ์บอกว่าพรรคพลังประชาชนจะถูกยุบนะ ก็เพียงแต่รับฟัง คุณพสิษฐ์บอกว่าที่เล่าให้ฟังเพราะคิดว่าจะเป็นประโยชน์กับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งตอบกลับไปว่าการยุบพรรคพลังประชาชนหรือไม่เป็นเรื่องของเนื้อคดีและดุลยพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ แม้แต่วันนั้นยังบอกเขาเลยว่าหากยุบพรรคพลังประชาชนก็คิดว่าไม่ได้เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวข้องกับประชาธิปัตย์ เพราะเชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลเดิมก็คงจับมือกันเป็นรัฐบาลต่อ


พรรคร่วมเปลี่ยนขั้วหนุน ปชป. ไม่แปลก


แต่ถามว่าหากพรรคการเมืองอื่นเขาตัดสินใจย้ายมาร่วมตั้งรัฐบาลกับประชาธิปัตย์แปลกไหม ต้องบอกว่าไม่แปลก เพราะบ้านเมืองเดินไม่ได้จริงๆกับปัญหาที่สะสมมาตั้งแต่ความพยายามแก้รัฐธรรมนูญเพื่อตัวเองจนถึงเรื่อง 7 ตุลาคม 2551 (สลายการชุมนุมหน้ารัฐสภา) ใครจะคุยกับทหารอย่างไรไม่ทราบ เพราะไม่เคยติดต่อกับทหารท่านใดเลย แต่เชื่อว่าไม่มีใครบังคับ ส.ส. ได้ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค ซึ่งประสานงานกับพรรคการเมืองต่างๆมาถามจุดยืนก็บอกว่ามันเป็นเรื่องของสภา และคิดอยู่ในใจว่าหากเราจะปัดว่าไม่ใช่เรื่องของเราก็ได้ แต่คนเป็นผู้นำฝ่ายค้านต้องมีความรับผิดชอบ เราไม่ได้เป็นคนไปแย่งไปปล้นอำนาจใครมา และถ้ามีโอกาสเป็นนายกฯก็ไม่คิดทำอะไรเพื่อตัวเอง ทุกอย่างเป็นกระบวนการตามระบบ ตามกฎหมาย ถือว่าถ้าเสียงในสภายอมรับก็ยอมรับ และการลงคะแนนก็เปิดเผย การสลับขั้วในระบบรัฐสภาเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในทุกประเทศที่ใช้ระบบนี้ พรรคเพื่อไทยเองพยายามรักษาอำนาจทุกวิถีทาง ถึงขั้นยกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้กับ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ซึ่งเป็น ส.ส.พรรคเล็กด้วยซ้ำ ทำให้ พล.ต.อ.ประชาซึ่งพาตนไปเลี้ยงข้าวที่บ้านบอกจะสนับสนุน แต่อีกสองวันกลับประกาศว่าจะแข่งกับตน ก็ไม่มีปัญหา แข่งกันไป ถ้าทหารมีอำนาจบีบบังคับให้พรรคการเมืองต้องทำตามที่ตัวเองต้องการได้จริงทำไมจึงมีการแข่งขันอย่างเข้มข้นในสภา


โต้ไม่ได้ยอมให้ “เนวิน” ขี่คอ


ส่วนการจัดตั้งรัฐบาลที่วิจารณ์กันมากว่ายอมทุกอย่างให้คุณเนวิน (ชิดชอบ) ขี่คอ ได้กระทรวงหลักไปดูแล ความจริงคือในสถานการณ์นั้นง่ายที่สุดคือใครเคยดูแลกระทรวงไหนก็ดูแลกระทรวงนั้นเหมือนเดิมทั้งหมด หลักสำคัญคือพูดกันชัดเจนว่าเรามาแก้วิกฤตให้มันจบ ไม่เคยมีสัญญาว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 ตามที่คุณบรรหาร (ศิลปอาชา) กล่าวอ้าง และวันที่คุณเนวินคุยกับตนก็พูดเรื่องรัฐธรรมนูญ ซึ่งตนได้พูดชัด 3 เรื่องคือ เรื่องไหนที่เป็นปัญหาเชิงเทคนิคของรัฐธรรมนูญยินดีแก้ เพราะเป็นคนแรกที่พูดตอนการทำประชามติว่ารัฐธรรมนูญบางมาตราอาจต้องแก้ไข แต่เรื่องประเภทนิรโทษกรรมไม่เอานะ เพราะบ้านเมืองวุ่นมามากแล้ว และคุณเนวินก็บอกว่าเรื่องนิรโทษกรรมไม่ต้องพูดถึง เขาไม่สนใจ เขาไม่เอา เขาขอเรื่องเขตเล็ก ก็บอกคุณเนวินว่าเรื่องเขตเล็กประชาธิปัตย์เป็นคนเสนอเขตใหญ่ เพราะฉะนั้นการปรับปรุงตรงนี้พักไว้ก่อนแล้วค่อยมาคุยกันว่าจะทำอย่างไร


มีคนเตือนอย่าเป็นนายกฯ


เมื่อสภาให้โอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีก็มีหน้าที่แก้ไขปัญหา และตั้งใจตั้งแต่ต้นว่าจะไม่อยู่ครบวาระ ถ้าคลี่คลายวิกฤตได้ก็จะยุบสภา เพราะตอนนั้นเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกและวิกฤตการเมือง เรียกว่าเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤตบนสถานการณ์ที่ประเทศชาติไม่อยู่ในภาวะปรกติ มีคนบอกด้วยซ้ำว่าอย่าไปเป็นนายกรัฐมนตรีเลย เพราะมีแต่เจ๊ากับเจ๊ง และจะเปลืองตัว ความดีจะถูกทำลายโดยองค์ประกอบรอบข้าง เพราะต้องยอมรับความจริงว่าประชาชนส่วนหนึ่งไม่ไว้วางใจพรรคร่วมรัฐบาลเดิมที่เคยอยู่กับพรรคพลังประชาชนจะทำให้ได้รับแรงเสียดทานไปด้วยว่า “อยากเป็นนายกรัฐมนตรีจนสามารถร่วมงานกับพรรคอะไรก็ได้” และเดี๋ยวนี้ข้อหาพัฒนาไปไกลถึงขั้นหาว่า “ผมพายเรือให้โจรนั่ง”


รู้มีคนแสลงใจภาพกอด “เนวิน”


เข้าใจดีถึงความรู้สึกของพี่น้องจำนวนไม่น้อยที่แสลงใจกับภาพที่คุณเนวินเข้ามาโอบกอด แต่มองอย่างให้ความเป็นธรรมกับคุณเนวินว่าการตัดสินใจย้ายขั้วทิ้งคุณทักษิณที่คุณเนวินเรียกว่า “นาย” ย่อมเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากไม่น้อย คำพูดที่คุณเนวินฝากไปถึงคุณทักษิณที่ว่า “มันจบแล้วครับนาย” ด้วยเสียงสั่นเครือ น้ำตาคลอเบ้า คงจะยังเป็นบาดแผลในใจคุณเนวินมาจนถึงวันนี้



ไม่เป็นนายกฯก็ไม่ต้องมาเสี่ยง

ไม่ว่าคนจะมองคุณเนวินในภาพอย่างไร แต่ในวันนั้นเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่าคุณเนวินได้ตัดสินใจทางการเมืองเพื่อให้ประเทศเดินหน้าได้ ถ้าคิดในทางกลับกันหากตนไม่ยอมร่วมรัฐบาลกับคุณเนวินและพรรคอื่นๆเพียงเพราะกลัวเปลืองตัว ปล่อยให้บ้านเมืองวุ่นวาย เดินหน้าไม่ได้ ก็ลอยตัว ไม่ต้องมาอยู่ในฐานะเป็นคู่ขัดแย้งกับใคร ชีวิตก็ไม่ต้องเสี่ยงจากความรุนแรงที่เริ่มปรากฏให้เห็นในการแข่งขันทางการเมือง แต่ถ้าทำอย่างนั้นเท่ากับเป็นการปัดความรับผิดชอบในฐานะนักการเมืองที่ต้องแก้ปัญหาให้ประชาชน


ได้อำนาจแล้วไม่เป็นอย่างที่คิด


วันนั้นอาจจะคิดผิดก็ได้ เพราะคิดว่าถ้าเราซื่อสัตย์ ทำงานด้วยความอดทนอดกลั้น ไม่ทำตัวเป็นชนวนหรือเงื่อนไขของความขัดแย้ง พยายามรับฟังทุกฝ่าย ทุกสิ่งทุกอย่างจะเดินไปได้ แต่ก็ไม่เป็นอย่างนั้น ตั้งแต่วันแรกที่ชนะในสภาก็มีการใช้มวลชนเสื้อแดงพยายามทำร้าย ส.ส. ที่สนับสนุน แม้แต่ตนเองยังต้องอาศัยรถตู้ของคุณเทพไท เสนพงศ์ ออกมาเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง


เสี่ยงที่จะอายุสั้นกว่าวัยอันควร


ได้บอกกับตัวเองตั้งแต่วันนั้นว่าชีวิตกำลังเปลี่ยนแปลงและอาจสุ่มเสี่ยงต่อการที่จะมีชีวิตสั้นกว่าวัยอันควร เพราะมีคนใช้ความรุนแรงข่มขู่ทางการเมือง แต่ยังเลือกที่จะทำหน้าที่เดินหน้าประเทศไทย เพื่อรักษาสัญญาที่ให้กับพี่น้องประชาชนที่ให้โอกาสเป็น ส.ส. คนเดียวของพรรคประชาธิปัตย์ในกรุงเทพมหานครว่า “ถ้ามีโอกาสผมจะสร้างรากฐานเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ประชาชนมีความมั่นคงในชีวิต” และดำเนินการทันทีท่ามกลางวิกฤตซ้อนวิกฤต ยังเดินหน้าสร้างระบบสวัสดิการให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ประชานิยม แต่เป็นประชายั่งยืน และไม่ได้เสียสมาธิกับปัญหาทางการเมืองจนเป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชน


ยัน 20 ปี อุดมการณ์ไม่เปลี่ยน


ยืนยันได้ว่าตลอดการทำงานการเมืองเกือบ 20 ปี อุดมการณ์ในการเข้าสู่การเมืองเป็นอย่างไรไม่เคยเปลี่ยนแปลง และทุกการตัดสินใจล้วนแต่ยึดประโยชน์ประชาชนทั้งสิ้น ทราบว่าหลายคนได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเพื่อปั่นกระแสให้ไม่เชื่อมั่น แต่หวังว่าความจริงที่เล่าให้ฟังนี้จะทำให้ประชาชนได้เห็นว่ายังเชื่อมั่นได้ เพราะไม่เคยเปลี่ยนอุดมการณ์ และพร้อมร่วมทุกข์ร่วมสุขเคียงข้างกับคนไทยเพื่อเดินหน้าประเทศต่อไป


ได้มาทบทวนดูว่าการเข้าสู่ตำแหน่งและการดำรงตำแหน่งขัดกับหลักประชาธิปไตยไหม คิดว่าไม่ใช่ เพราะได้รับการยืนยัน การสนับสนุนจากสภาตลอด 2 ปี แม้แต่คนเสื้อแดงก็ไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้มาเป็นเงื่อนไขการชุมนุม จนเวลาผ่านไปเป็นปี


ถ้าจะมีความผิดคงมีแค่ประการเดียวคือ ผมเป็นนายกฯในระบบสภาคนแรกหลังปี 2550 ที่คุณทักษิณสั่งไม่ได้


****************************
http://redusala.blogspot.com

‘ปู’สู้ต่อไม่สนฝ่ายต้านลั่นพร้อมรับกระบวนการตรวจสอบที่เป็นธรรม

       เรื่องจากปก
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
         ปีที่ 12 ฉบับที่ 3070 ประจำวัน อังคาร ที่ 7 มิถุนายน 2011
         “ยิ่งลักษณ์” ยืนยันไม่หวั่นไหวและไม่ย่อท้อต่อแรงต้านทางการเมือง ลั่นพร้อมรับการตรวจสอบตามกระบวนการที่เป็นธรรม ขอโอกาสประชาชนมั่นใจมีขีดความสามารถสร้างความปรองดองกับทุกภาคส่วนได้ “สุเทพ” ย้ำประชาธิปัตย์ไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของ “หมอตุลย์-แก้วสรร” การเคลื่อนไหวเป็นสิทธิที่ทำได้ ตำรวจพบเงินสดหมุนเวียนหายจากระบบแล้ว 10,000 ล้านบาท คาดเตรียมใช้ซื้อเสียง “บรรหาร”บอก “เนวิน” อย่าหวั่นไหวต่อกระแสข่าวฉีกสัญญา ให้คำมั่นทำงานร่วมกันทั้งในฐานะฝ่ายค้าน และรัฐบาล
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายที่ออกมาตรวจสอบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย


“พรรคประชาธิปัตย์ไม่ยุ่งกับ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี หรือนายแก้วสรร อติโพธิ เครือข่ายพลเมืองคัดค้านนิรโทษกรรมคอรัปชั่นทักษิณ (คนท.) การเคลื่อนไหวของประชาชนเป็นสิทธิ อย่านำมาเกี่ยวข้องกับพรรค”


“ปู” ปัดแผนบันได 4 ขั้นนิรโทษกรรม


น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า พร้อมรับการตรวจสอบตามกติกา ส่วนข้อกล่าวหาเรื่องบันได 4 ขั้นนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นั้นยืนยันว่าไม่มี
“ไม่มีเรื่องนิรโทษกรรมเพื่อพี่ชายคนเดียว ทุกฝ่ายต้องมากำหนดแนวทางร่วมกันและต้องรับฟังความเห็นจากประชาชน อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้ทุกคนโฟกัสเรื่องนิรโทษกรรม ควรดูที่นโยบายด้านอื่นๆจะดีกว่า”


ไม่หวั่นไหวต่อการเป็นเป้าโจมตี


น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวอีกว่า ไม่ทราบว่าทำไมตกเป็นเป้าโจมตีทางการเมืองในตอนนี้ แต่ไม่หวั่นไหว จะเดินหน้าทำงานต่อไปให้ดีที่สุด โดยจะเน้นนำเสนอนโยบายกับประชาชนให้มากที่สุด ส่วนเรื่องการสร้างความปรองดองนั้นเชื่อว่ามีขีดความสามารถที่จะทำได้หากได้รับโอกาส


นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า การพูดเรื่องบันได 4 ขั้น เป็นความต้องการสร้างกระแสทางการเมือง รู้สึกผิดหวังที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดเรื่องนี้โดยไม่ตรวจสอบข้อมูลก่อน


“นพดล” ซัดกุข่าวตัดคะแนน


“เป็นเรื่องที่กุขึ้นมาเพื่อป้ายสี น.ส.ยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย เพราะคะแนนนิยมของเรากำลังดี” นายนพดลกล่าวและว่า ทีมกฎหมายกำลังพิจารณาว่าการพูดเรื่องบันได 4 ขั้นของนายอภิสิทธิ์ทำให้เกิดความเสียหายหรือไม่ หากเสียหายจะมีการฟ้องร้องแน่นอน


ส่วนการเคลื่อนไหวของ นพ.ตุลย์และนายแก้วสรรนั้น นายนพดลกล่าวว่า เมื่อใกล้วันเลือกตั้งเชื่อว่าจะมีการเคลื่อนไหวมากขึ้น เพื่อลดคะแนนของพรรคเพื่อไทย ประชาชนรู้ดีว่า 2 คนนี้สนับสนุนพรรคการเมืองใด และมีแนวคิดทางการเมืองอย่างไร ส่วนตัวมั่นใจว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เข้มแข็งพอที่จะต่อสู้และยินดีที่จะรับการตรวจสอบอย่างเป็นธรรม ตรงไปตรงมา


ข้องใจทำไมเพิ่งคิดตรวจสอบ


“เรื่องถือหุ้นแทน พ.ต.ท.ทักษิณ คดีผ่านมา 2 ปีกว่าแล้วแต่ไม่มีใครพูดถึง เพิ่งมาพูดกันตอนเลือกตั้ง ชัดเจนว่าเป็นการตรวจสอบเพื่อหวังผลในการเลือกตั้ง เชื่อว่าประชาชนรู้ทันในเรื่องนี้”


นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรื่องการตั้งรัฐบาลควรพูดหลังการเลือกตั้ง เวลานี้ทุกฝ่ายควรมุ่งเสนอนโยบายให้ประชาชนตัดสินใจ และควรแสดงจุดยืนในแต่ละเรื่องของตัวเองให้ชัดเจน


“ประชาธิปัตย์ชัดเจนว่าหากใครจะร่วมตั้งรัฐบาลกับเรา แล้วให้ยกเลิกประกันราคาสินค้าเกษตรเราไม่เอา จะให้ออกกฎหมายลบล้างความผิด ซึ่งขัดกับหลักนิติรัฐเราก็ไม่เอา อย่าเอาความต้องการเป็นรัฐบาลเป็นตัวตั้ง เพราะการเมืองจะไม่มีหลักการ”


ตำรวจพบเงินหายจากระบบหมื่นล้าน


พล.ต.ท.ระพีพัฒน์ ปาละวงศ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) ในฐานะหัวหน้าชุดป้องกันและปราบปรามการกระผิดกฎหมายเลือกตั้ง เปิดเผยว่า ขณะนี้มีเงินสดหมุนเวียนหายไปจากระบบประมาณ 10,000 ล้านบาท ตำรวจต้องสืบหาว่าเงินที่หายไปอยู่ที่ไหน คาดว่าเตรียมเอาไว้ซื้อเสียง นอกจากนี้ยังพบการเล่นพนันผลเลือกตั้งมากขึ้นในหลายพื้นที่ด้วย


นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ยืนยันยังรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับพรรคภูมิใจไทย จะทำอะไรต้องหารือกันก่อน


“เติ้ง” ฝากถึง “เนวิน” อย่าหวั่นไหว


“อย่าไปตื่นเต้นกับข่าวที่พรรคเพื่อไทยจะตั้งรัฐบาลแล้วไม่เอาพรรคนั้นพรรคนี้ ชาติไทยพัฒนายังไม่ได้พูดว่าจะไปหรือไม่ จะทำอะไรต้องหารือกันก่อนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้านก็ต้องเป็นด้วยกัน แต่จะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาลมันต้องมีเหตุผล อย่างเลือกตั้งคราวที่แล้วคิดว่าประชาธิปัตย์รวมกับพรรคอื่นจะได้ 209 เสียง แต่มันได้แค่ 210 เสียงก็ไปไม่ได้” นายบรรหารกล่าวพร้อมฝากย้ำไปถึงนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ว่าอย่าวิตก


ศาลไม่รับฟ้องล้มเลือกตั้ง


ที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง องค์คณะผู้พิพากษามีคำสั่งยกคำฟ้องคดีที่ พล.ต.ณพล คชแก้ว ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก และนายสมคิด หอมเนตร นักวิชาการอิสระ ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนพระราชกฤษฎีกายุบสภา และระงับการเลือกตั้งวันที่ 3 ก.ค. นี้ เนื่องเห็นว่ากระทำโดยไม่ชอบตามกฎหมาย โดยให้เหตุผลว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณา เนื่องจากรัฐธรรมนูญมาตรา 219 วรรคสาม ให้ศาลฎีกาฯมีอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยเกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. เท่านั้น



********************************
http://redusala.blogspot.com

อัยการไม่ชัวร์สั่งฟ้องพธม.ยึดสนามบิน

       เรื่องจากปก
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
         ปีที่ 12 ฉบับที่ 3070 ประจำวัน อังคาร ที่ 7 มิถุนายน 2011
         “สนธิ” เข้ารายงานตัวรับทราบข้อกล่าวหาคดีบุกยึดสนามบินเมื่อปี 2551 แล้ว อัยการนัดฟังคำสั่งว่าจะฟ้องหรือไม่วันที่ 8 ก.ค. ส่วนกลุ่มผู้ต้องหารายงานตัวก่อนหน้านี้ที่นัดฟังคำสั่งวันที่ 9 มิ.ย. ยังไม่ชัวร์ว่าจะต้องเลื่อนออกไปหรือไม่ เพราะต้องรอผลประชุมคณะทำงานชุดใหญ่ที่รับผิดชอบคดีเกี่ยวกับพันธมิตรฯก่อน

วันที่ 6 มิ.ย. 2554 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกองปราบปรามนำนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายจากกรณีนำมวลชนบุกยึดสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อเดือน พ.ย. 2551 เข้ารายงานตัวต่อพนักงานอัยการคดีพิเศษฝ่ายคดีอาญา 9 เพื่อพิจารณาส่งฟ้องคดีต่อศาล หลังจากนายสนธิเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาแต่ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
ทั้งนี้ อัยการนัดนายสนธิฟังคำสั่งว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ในวันที่ 8 ก.ค. นี้ สำหรับคดีนี้พนักงานสอบสวนส่งฟ้องผู้ต้องหารวม 114 คน โดยกลุ่มที่ถูกนำตัวส่งอัยการก่อนหน้านี้มีกำหนดฟังคำสั่งในวันที่ 9 มิ.ย. นี้


นายวิเชียร ถนอมพิชัย อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 9 เปิดเผยว่า คณะทำงานอัยการชุดใหญ่ที่นายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา ตั้งขึ้นเพื่อรับผิดชอบคดีความเกี่ยวกับพันธมิตรฯทั้งหมดจะประชุมกันในวันที่ 7 มิ.ย. นี้ โดยจะตรวจดูภาพรวมทั้งหมด ตั้งแต่การชุมนุมล้อมทำเนียบและอาคารรัฐสภา ส่วนผลจะออกมาอย่างไรต้องรอหลังการประชุม


สำหรับข้อหาที่พนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องเสนอต่ออัยการ ประกอบด้วย ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกการมั่วสุมแล้วไม่เลิก บุกรุก ทำให้เสียทรัพย์ ทำให้การให้บริการของท่าอากาศยานหยุดชะงักลง และฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548


************************************
http://redusala.blogspot.com