วันอังคารที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2560

รำลึก 7 ปี สลายชุมนุมเสื้อแดง


แกนนำ นปช. ได้จัดทำบุญครบรอบ 7 ปี สลายชุมนุมเสื้อแดง ญาติ 'เทิดศักดิ์ - ทศชัย' จุดเทียนรำลึก ขณธที่ในเฟซบุ๊ก ติดแฮชแท็ก #10AprilWhereAreYou บอกเล่าเหตุการณ์รวมทั้งความรู้สึกในวันนั้น  
10 เม.ย. 2560 ครบรอบ 7 ปีเหตุการณ์สลายการชุมนุม หรือ 'ขอคืนพื้นที่' การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ แดงทั้งแผ่นดิน (นปช.) บริเวณถนนราชดำเนิน โดยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จนมีผู้เสียชีวิต 25 ราย เป็นประชาชน 20 ราย ทหาร 5 ราย และภายหลังรายงานของศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมเดือนเม.ย.-พ.ค.2553 หรือ ศปช. รายงานเพิ่มเติมว่า ผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 2 ราย 
กิจกรรมรำลึก เริ่มตั้งแต่ในโซเชียลเน็ตเวิร์ก มีการติดแฮซแท็กในเฟซบุ๊ก #10AprilWhereAreYou โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กจะเล่าเหตุการณ์รวมทั้งความรู้สึกในวันที่ 10 เม.ย. ของเมื่อ 7 ปีที่แล้ว 

ช่วงเช้า แกนนำ นปช. ได้จัดทำบุญครบรอบ 7 ปี เหตุการณ์ดังกล่าว โดย จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. โพสต์เฟซบุ๊ก ด้วยว่า เหตุการณ์ในวันที่ 10 เม.ย. 2553 เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความตาย โดยมีผู้เสียชีวิตกว่า 26 ศพ ซึ่งมีทั้งประชาชน นักข่าว ทหาร และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 800 กว่าคน จนกระทั่งวันที่ 19 พ.ค. 2553 จึงเกิดความตายอีกกว่าร้อยศพ บาดเจ็บพันกว่าคน การทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิต เป็นประเพณีของพุทธศาสนิกชน ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมือง การทำบุญในวันนี้ก็เป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับพี่น้องที่เสียชีวิตจากทุกเหตุการณ์ จากการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย หากขาดประเพณีเหล่านี้ จะก่อให้เกิดความกระด้างในจิตใจของผู้คน

เวลา 19.00 น. มีรายงานข่าวด้วยว่าญาติผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้  เช่น ญาติของ เทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์ ทศชัย เมฆงามฟ้า ได้จัดกิจกรรมรำลึก ณ จุดที่เสียชีวิตบริเวฯสีแยกคอกวัว และหน้าโรงเรียน สตรีวิทยา 
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เวลาประมาณ 21.20 น. กลุ่มพลเมืองโต้กลับ นำโดย พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ พเยาว์ อัคฮาด และมวลชนจำนวนหนึ่ง ร่วมกันถือดอกไม้สีขาว ไว้เพื่อไว้อาลัย ผู้ชุมนุมเสื้อแดง ที่เสียชีวิตเมื่อ วันที่ 10 เมษา 53 ที่หน้าโรงเรียน สตรีวิทยา โดยเฉพาะบริเวณที่ ฮิโรยูกิ มูราโมโตะ นักข่าวชาวญี่ปุ่นถูกยิงเสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว 
พันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า เราไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตทุกท่านไม่ว่าจะเป็นเสื้อแดง  หรือชาวต่างชาติ สื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ทหาร และยืนยันว่า คนผิดจำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ศาลให้ประกัน 3 จำเลยคดีชุดดำ หลังยกฟ้องแต่ให้ขังระหว่างอุทธรณ์ตั้งแต่เดือน ม.ค.


ทนายวิญญัติ เผย ศาลอนุญาตให้ปล่อย 3 จำเลย คดีชายชุดดำ 10 เม.ย.53หลังยกฟ้องแต่ให้ขังระหว่างอุทธรณ์ตั้งแต่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา ระบุทีมทนายจะยื่นขอประกันตัวอีก 2 จำเลยต่อไป เผยถูกคุมขังตั้งแต่เดือน ก.ย. 57

11 เม.ย.2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความจำเลย จากสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวในลักษณะสาธารณะ ระบุว่า วันนี้ เวลา 14.40 น. ตนและทีมทนายจำเลยคดีชายชุดดำ ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวระหว่างอุทธรณ์จำเลยที่ 3,4,5 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ตีราคาหลักประกัน คนละ 200,000 บาท เมื่อหมายปล่อยส่งถึงเรือนจำพิเศษกรุงเทพและทัณฑสถานหญิงกลาง ทั้งสามคนจะถูกปล่อยตัวในเย็นวันนี้ (11 เม.ย.60) ประกอบด้วย จำเลยที่ 3 รณฤทธิ์ หรือ นะ สุริชา อายุ 36 ปี ชาวจังหวัดอุบลราชธานี จำเลยที่ 4 ชำนาญ หรือ เล็ก ภาคีฉาย อายุ 48 ปี ชาวกรุงเทพมหานคร และ จำเลยที่ 5 ปุนิกา หรือ อร ชูศรี อายุ 42 ปี ชาวกรุงเทพมหานคร
วิญญัติ ระบุด้วยว่า  คดีนี้สืบเนื่องจากจำเลยทั้ง 5 คน ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น "ชายชุดดำ" ถูกฟ้องคดีอาญาต่อศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.4022/2557 ฐานความผิดร่วมกันครอบครองอาวุธปืนสงครามฯ ในเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. 2553 ที่บริเวณแยกคอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง ในช่วงการสลายการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปชฺ.) และแนวร่วมคนเสื้อแดงที่ชุมนุมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกหรือยุบสภา และในวันนั้นเกิดเหตุประชาชนและเจ้าหน้าที่ทหารหลายคนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากนั้น จนกระทั่งต่อมาจำเลยทั้งห้าถูกจับกุมโดยทหาร คสช.เมื่อเดือน ก.ย. 2557 โดยนำแถลงข่าวและฟ้องเป็นคดี ต่อมาศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2560 
ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของฝ่ายอัยการ(โจทก์) และฝ่ายจำเลยที่ 1,2 ที่ยังเห็นแย้งในคำวินิจฉัยพยานหลักฐานบางประเด็นตามคำพิพากษาต่อไป โดย วิญญัติ ระบุด้วยว่า ทีมทนายจะยื่นขอประกันตัวจำเลยที่ 1,2 ในลำดับถัดไป
 
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 มีความผิดตามฟ้อง จำคุกคนละ 10 ปี ส่วนจำเลยที่ 3,4,5 นั้นยังมีเหตุแห่งความสงสัยจึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย พิพากษายกฟ้อง แต่ให้ขังระหว่างอุทธรณ์ 

ครม.เห็นชอบ 28 ก.ค. และ 13 ต.ค. เป็นวันหยุดราชการประจำปี ส่วน 5 พ.ค.ไม่ถือเป็นวันหยุดแล้ว


ครม. เห็นชอบกำหนดให้วันที่ 28 ก.ค. และ 13 ต.ค. เป็นวันหยุดราชการประจำปี อีก 2 วัน กรณีวันที่ 5 พ.ค. ซึ่งเป็นวันฉัตรมงคล บัดนี้ได้ล่วงพ้นรัชสมัยแล้ว จึงไม่ถือเป็นวันหยุดราชการประจำปี 

11 เม.ย. 2560 รายงานข่าวระบุว่า เมื่อเวลา 15.40 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. ได้มีการพิจารณากำหนดวันหยุดราชการประจำปีเพิ่มและกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษในปี 2560 โดย คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกำหนดให้วันที่ 28 ก.ค. และวันที่ 13 ต.ค. เป็นวันหยุดราชการประจำปี อีก 2 วัน ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เสนอ ส่วนรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน และภาคเอกชน ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงแรงงาน พิจารณาความเหมาะสมให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ ในกรณีที่หน่วยงานใดมีภารกิจในการให้บริการประชาชน หรือมีความจำเป็น หรือราชการสำคัญในวันดังกล่าวโดยได้กำหนดหรือนัดหมายไว้ก่อนแล้ว ซึ่งหากยกเลิกหรือเลื่อนไปจะเกิดความเสียหายหรือกระทบต่อการให้บริการประชาชน ให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร โดยมิให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและประชาชน
โดย สาระสำคัญของเรื่อง สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เสนอว่าได้จัดทำข้อมูลเกี่ยวกับการกำหนดวันหยุดราชการประจำปีเพิ่มและการกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษในปี 2560 ดังนี้ 1. ควรกำหนดวันหยุดราชการประจำปีเพิ่ม รวม 2 วัน เนื่องจากทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตให้กำหนดวันสำคัญของชาติไทยเพิ่มเติม ได้แก่ วันที่ 28 ก.ค. ของทุกปี ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และวันที่ 13 ต.ค. ของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เพื่อให้ประชาชนได้น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ดังนั้น จึงเห็นควรกำหนดวันหยุดราชการประจำปีเพิ่ม รวม 2 วัน ดังนี้  1.1 วันที่ 28 ก.ค. เนื่องจากเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร  1.2 วันที่ 13 ต.ค. เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
นอกจากนี้ กรณีวันที่ 5 พ.ค. ซึ่งเป็นวันฉัตรมงคล หรือ วันบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และบัดนี้ได้ล่วงพ้นรัชสมัยแล้ว จึงไม่ถือเป็นวันหยุดราชการประจำปี 
2. สำหรับกรณีส่วนราชการที่ต้องปฏิบัติภารกิจในการให้บริการประชาชนหรือมีความจำเป็นหรือราชการสำคัญในวันดังกล่าวโดยได้กำหนดหรือนัดหมายไว้ก่อนแล้ว ซึ่งหากยกเลิกหรือเลื่อนไป จะเกิดความเสียหายหรือกระทบต่อการให้บริการประชาชนให้ถือปฏิบัติตามแนวทางเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติในเรื่องเดียวกันนี้แล้ว กล่าวคือให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร โดยมิให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและประชาชน ส่วนรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน และภาคเอกชน ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ธนาคารแห่งประเทศ และกระทรวงแรงงาน พิจารณาความเหมาะสมให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

ร้องเอาผิด ม.112 'พุทธอิสระ' ใช้เลือดปลุกเสกพระ มีพระปรามาภิไธยภปร.ด้านหลัง


'พุทธอิสระ' ลั่นเล่นไม่เลิก ก็อย่าเลิก พร้อมพิสูจน์ความจริงกันในศาล หลังผู้ประสานงานองค์กรส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา ร้องกองปราบ เอาผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ม.112 ใช้เลือดปลุกเสกพระ มีพระปรามาภิไธยภปร.ด้านหลัง

10 เม.ย.2560 สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่า เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (10 เม.ย.60) ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.)  วิชัย ประเสริฐสุดสิริ ผู้ประสานงานองค์กรส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา (อสคพ.) พร้อมคณะ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.อนันต์ จริงจิตร รองผกก.(สอบสวน) กก.5 บก.ป.เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่ พระสุวิทย์ ธีรธฺมโม หรือหลวงปู่พุทธอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ได้ประกอบพิธีปลุกเสกพระเครื่อง “พระนาคปรก” รุ่น “หนึ่งในปฐพี” โดยที่ด้านหลังของพระเครื่อง มีการอันเชิญพระปรมาภิไธย ภปร. และมีการใช้เลือด หรือปะสะโลหิต ของหลวงปู่พุทธอิสระ ในการจัดพิธีด้วย ซึ่งเป็นการกระทำที่อาจเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยทำหนังสือร้องทุกข์ ,ภาพถ่ายการประกอบพิธีปลุกเสกพระเครื่องดังกล่าว และเอกสารจากเว็บไซต์ 2 แห่ง ซึ่งมีภาพการประกอบพิธีปลุกเสกพระเครื่องในครั้งนี้มามอบไว้เป็นหลักฐาน
นายวิชัย กล่าวว่า หลังจากพบเว็บไซต์ 2 แห่ง ซึ่งมีการเผยแพร่ภาพหลวงปู่พุทธอิสระ ประกอบพิธีปลุกเสกพระเครื่องพระนาคปรก ที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2552 และมีการโฆษณาเพื่อให้เช่าและจ่ายแจก ซึ่งตนในฐานะพุทธบริษัท เล็งเห็นว่าการกระทำดังกล่าวส่อไปในทางหมิ่นเบื้องสูง ไม่สมควร ไม่ใช่แนวทางแห่งพระพุทธศาสนา แล้ว ยังเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายด้วย จึงเข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน บก.ป.เพื่อขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายหรือไม่ และหากเป็นความผิดก็ขอให้ดำเนินคดีตามบทบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
ด้าน พ.ต.ท.อนันต์ กล่าวว่า เบื้องต้นได้รับเรื่องและสอบปากคำผู้ร้องไว้ ก่อนจะนำเรื่องเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป

พุทธอิสระ ยันพร้อมดูความจริงกันในศาล

ด้าน หลวงปู่พุทธอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ ต่อกรณีนี้ด้วยว่า อุตส่าห์ใจกล้า พยายามกัดฟันเดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่กองปราบ นำเรื่องพระนาคปรกที่พุทธะอิสระอัญเชิญสัญลักษณ์พระปรมาภิไธยล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐยิ่งมาประดิษฐานอยู่ด้านหลังองค์พระ เพื่อเทิดพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศล สองปีที่ผ่านมาพุทธะอิสระพยายามนิ่งเงียบมาตลอดกับเรื่องนี้ เพราะไม่อยากต่อความยาว สาวความใหญ่ จนกลายเป็นเรื่องระคายเคืองเบื้องยุคลบาท ด้วยเพราะพวกลัทธิผีบุญพยายามจะทำเรื่องนี้ให้กลายเป็นประเด็นทางสังคมให้ได้มาตลอด
อย่างเช่นก่อนหน้าที่จะมีประเด็นพระนาคปรค คนพวกนี้ก็พยายามสื่อสารให้สังคมใจผิดเห็นผิดว่า การที่พุทธะอิสระกล้าออกไปเคลื่อนไหวต่อสู้อยู่กลางถนน ต่อต้านลัทธิผีบุญทำจนตัวตาย ย่อมต้องมีผู้มีบารมีเหนือรัฐธรรมนูญสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
"ตลอดเวลา 2 ปีพุทธะอิสระก็พยายามนิ่งมาตลอด เพราะไม่อยากขยายความ แทนที่คนพวกนี้จะมีสำนึกคิดได้เอง แต่พอเห็นว่าพวกพ้องเผ่าพันธุ์ตนถูกรุกไล่จนหนีหัวซุกหัวซุน แทบจะไม่มีแผ่นดินอยู่ คนพวกนี้จึงคิดมาเอาคืน เมื่ออยากเล่นไม่เลิก เช่นนั้นก็อย่าเลิกเล่นเลย แต่ยังไงความจริงก็คือความจริง หากกระสันอยากพิสูจน์นัก อย่างนี้ก็ต้องไปดูความจริงกันในศาลก็แล้วกัน" หลวงปู่พุทธอิสระ โพสต์