พล.อ.เฉลิมชัย ชี้ 'โกตี๋' เป็นเพียงแค่ผู้ต้องสงสัย แต่ยังไม่ชัดว่าผู้ก่อเหตุระเบิดคือใคร ไม่กล้าฟันธงเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติกับเหตุระเบิด ย้ำยังไม่สามารถสรุปได้ เพราะยังมีเพียงผู้ต้องสงสัย ผบ.ตร.ย้ำผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มนิยมความรุนแรงเดิม แจงไม่พบโยงก่อการร้ายในอาเซียน
25 พ.ค. 2560 ความคืบหน้าเหตุระเบิดในช่วงสาย วันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา บริเวณที่เกิดเหตุเป็นห้องรับรองนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่เกษียณอายุราชการ หน้าห้องวงษ์สุวรรณ ภายใน รพ.พระมงกุฎเกล้า ถนนราชวิถี กทม. จนมีผู้บาดเจ็บหลายราย นั้น
วันนี้ (25 พ.ค.60) พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงความคืบหน้าของเหตุระเบิดดังกล่าวว่า ขณะนี้ ภาพรวมมีความคืบหน้าทางคดีไปพอสมควร เท่าที่ทราบ คือ มีพยานและหลักฐานในที่เกิดเหตุ และมีกล้องวงจรปิดที่ให้ข้อมูลพอสมควร เบื้องต้นมีผู้ต้องสงสัยแล้ว แต่ยังไม่สามารถตอบได้ว่ามีผู้ต้องสงสัยกี่คน เพราะในส่วนของคดีความเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังดำเนินการติดตาม คาดว่ามีโอกาสที่จะได้ตัวผู้กระทำผิดในอนาคต ขณะที่กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ของทหารพร้อมสนับสนุนในเรื่องของกำลังพล หากตำรวจขอความช่วยเหลือ ส่วนตัวได้ดูภาพจากกล้องวงจรปิดแล้ว ซึ่งเป็นภาพรวมของบุคคลที่เข้าออกภายในบริเวณที่เกิดเหตุ
ชี้ 'โกตี๋' เป็นเพียงแค่ผู้ต้องสงสัย แต่ยังไม่ชัดว่าผู้ก่อเหตุระเบิดคือใคร
ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรี ระบุว่าผู้ก่อเหตุมีทั้งคนในและคนนอกประเทศนั้น พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า เชื่อว่านายกรัฐมนตรีพูดในภาพรวม เพราะที่ผ่านมา มีคนกลุ่มหนึ่งที่หลบหนีคดีไปอยู่ในพื้นที่ของประเทศเพื่อนบ้านแล้วแสดงท่าทีก้าวร้าว ใช้กำลังและปลุกระดมให้คนใช้กำลัง ส่วนคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องในการก่อเหตุระเบิดนั้น ตนไม่แน่ใจว่าจะเป็นกลุ่มนี้หรือไม่ แต่เชื่อว่าเป็นคนภายในที่มีการเชื่อมโยงกันในกลุ่มฮาร์ดคอร์ที่เคยจับกุมตัวไป
“อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า กลุ่มที่หลบหนีคดีในประเทศเพื่อนบ้านนั้น มีความเกี่ยวโยงกับ วุฒิพงษ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ ซึ่งเท่าที่ผ่านมามีการปลุกระดมเรื่องการใช้อาวุธผ่านทางโซเชียลมีเดียมาโดยตลอด ซึ่งได้มีการประสานงานกับทางการลาวไปแล้ว แต่ขณะนี้เรื่องยังเงียบ” พล.อ.เฉลิมชัย กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า หาก โกตี๋ เป็นผู้ต้องสงสัยในคดีวางระเบิด ทางการไทยจะประสานงานกับทางการลาวเพิ่มเติมจากคดีหมิ่นเบื้องสูง เพื่อให้ส่งตัวกลับมาหรือไม่นั้น ผบ.ทบ. กล่าวว่า โกตี๋อยู่ระหว่างการหลบหนีคดีอยู่แล้ว ที่ผ่านมาจึงประสานงานอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ทางการลาวยังอยู่ระหว่างการติดตามตัวอยู่ แต่ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าผู้ก่อเหตุระเบิดนั้นคือใคร ยังมีเพียงแค่ผู้ต้องสงสัย
ต่อกรณีคำถามผู้ที่ก่อเหตุจะเป็นทหารแตงโมหรือไม่นั้น ผบ.ทบ.ตอบว่า ยังไม่สามารถระบุไปได้ว่ากลุ่มใดบ้าง ส่วนใหญ่เป็นผู้ต้องสงสัย เพราะถ้ายังไม่มีหลักฐานก็ยังไม่อยากระบุลงไป
ไม่กล้าฟันธงเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติกับเหตุระเบิด
ส่วนจะเป็นกลุ่มเกี่ยวกับที่เผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติที่ จ.ขอนแก่นหรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า กรณีดังกล่าวเป็นการปลุกระดมให้กลุ่มคนมาทำลายทรัพย์สินของทางราชการ แต่ไม่ทราบ และไม่กล้าฟันธงว่าจะเชื่อมโยงกับกรณีเหตุระเบิดหรือไม่ จึงขอให้แยกออกเป็นสองกรณี
“ในกรณีเผาซุ้มนั้น ได้จับกุมตัวผู้ที่เกี่ยวข้อง 9 คน และส่งตัวให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินคดีทางกฎหมายไปแล้ว ซึ่งไม่มีหลักฐานที่จะเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดทั้ง 3 ครั้ง ซึ่งในกรณีของ 9 คนนี้ มีผู้จ้างวานเป็นผู้ใหญ่ 1 คน นอกนั้นเป็นเด็กทั้งหมด ซึ่งรับค่าจ้างมาคนละ 200 บาท โดยไม่รู้เรื่องอะไร เด็กแค่ต้องการได้เงิน 200 บาท จึงไม่ใช่กระบวนการของผู้ใหญ่ และไม่ได้มีสิ่งใดมาเชื่อมโยง” พล.อ.เฉลิมชัย กล่าว
พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นได้เพิ่มกำลังเข้าดูแลรักษาความปลอดภัยในทุกพื้นที่ ทั้งสถานที่ราชการ สถานที่ที่มีประชาชนอยู่เป็นจำนวนมาก โดยพยายามขยายกำลังพลให้มากที่สุด รวมทั้งต้องช่วยกันทุกภาคส่วน ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย นอกจากนี้ยังให้ความรู้กับพนักงานรักษาความปลอดภัยในการดูแลความปลอดภัย พร้อมขอให้ประชาชนมั่นใจ อย่าตื่นตระหนก
ส่วนการตรวจสอบจดหมายขู่วางระเบิดนั้น ผบ.ทบ. กล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่ตามข่าวที่ออกมา ชื่อที่ถูกอ้างก็ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง
ยังไม่สามารถสรุปได้ เพราะยังมีเพียงผู้ต้องสงสัย
“การก่อเหตุครั้งนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ เพราะยังมีเพียงผู้ต้องสงสัย ซึ่งจะสงสัยใครก็ได้ ในการที่จะสรุปว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุนั้นจะต้องมีหลักฐานอย่างชัดเจน เพื่อมุ่งไปสู่ตัวผู้ก่อเหตุ เพราะฉะนั้นการจะระบุว่าใครเป็นผู้ต้องสงสัยนั้นไม่เป็นผลในเชิงบวกกับสถานการณ์ที่กำลังเข้าสู่ความปรองดอง และส่วนตัวไม่กล้าวิเคราะห์ว่าจะเกี่ยวข้องกับทหารแตงโมหรือไม่ รอฟังความคืบหน้าจากตำรวจอีกครั้ง เพราะการเดาสุ่มนั้นไม่เกิดประโยชน์กับสังคม” พล.อ.เฉลิมชัย กล่าว
ส่วนเหตุระเบิดภายในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเกี่ยวข้องกับการลดบทบาทการปฏิบัติหน้าที่ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหรือไม่นั้น ผบ.ทบ. กล่าวว่า ไม่เกี่ยวข้อง เพราะผู้ก่อเหตุจะหาจังหวะ เวลา และโอกาสเพื่อก่อเหตุอยู่แล้ว อย่าไปมองที่ตัวบุคคล พร้อมย้ำว่า พล.อ.ประวิตร แค่ต้องการดูแลสุขภาพช่วงหนึ่งเท่านั้น และล่าสุดได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่แล้ว
ผบ.ทบ.ยังกล่าวถึงกรณีที่หน่วยงานความมั่นคงเตรียมพิจารณานำคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 55/2559 เรื่องการดำเนินคดีอาวุธปืน เครื่องกระสุน หรือวัตถุระเบิดที่ใช้ในสงคราม รวมถึงคดีความมั่นคงบางคดีให้อยู่ในอำนาจศาลทหาร นำกลับมาบังคับใช้ใหม่อีกครั้งหลังจากเคยยกเลิกไปแล้ว ว่า ได้มีการหารือในระดับผู้ใหญ่ แต่ยังเป็นเพียงการหารือเท่านั้น ยังไม่เป็นนโยบาย และยังไม่มีการเสนอไปยังหัวหน้า คสช. เพื่อพิจารณาแต่อย่างใด
ผบ.ตร.ย้ำผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มนิยมความรุนแรงเดิม
วันเดียวกัน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ได้มีการสอบปากคำพยานในคดีระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ไปแล้ว 61 ปาก ในจำนวนนี้มี 4-5 ปาก ให้การเป็นประโยชน์ โดยจะเร่งสอบพยานอีก 10-20 ปาก ให้แล้วเสร็จภายในวันนี้ คาดจะมีความชัดเจนมากขึ้น พร้อมปฏิเสธว่า ภาพสเก็ตที่ปรากฎ ยังไม่ยืนยันว่าเป็นผู้ต้องสงสัย เป็นเพียงคำให้การจากพยานบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้น และขณะนี้ มอบหมายให้แต่ละฝ่ายไปรวบรวมข้อมูลหลักฐานให้มากที่สุด และยังไม่ตัดประเด็นใดในการก่อเหตุทิ้ง ซึ่งมีความเป็นไปได้ทุกประเด็น แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนข้อมูลของแม่ทัพภาคที่ 1 ที่ระบุว่า ทราบตัวกลุ่มผู้ก่อเหตุ ก็ถือเป็นข้อมูลจากฝ่ายกองทัพ ซึ่งตำรวจมีการประสานข้อมูลกันอยู่ตลอดเวลา
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยังย้ำว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุ เป็นกลุ่มการเมืองที่นิยมความรุนแรงกลุ่มเดิม ซึ่งเชื่อว่า มีความเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดหน้าโรงละครแห่งชาติ และสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเดิม จึงให้แนวทางการสืบสวน มุ่งไปที่ทั้ง 3 คดี ว่ามีจุดเชื่อมโยงกันหรือไม่ แต่เชื่อว่าผู้ก่อเหตุคดีโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ยังหลบหนีอยู่ในประเทศไทย
ผบ.ตร. ยังเชื่อว่า จะสามารถออกหมายจับผู้ก่อเหตุได้ โดยให้ฝ่ายสืบสวนจำลองเหตุการณ์เส้นทางเข้า-ออกของผู้ก่อเหตุ และเชื่อว่า อาจมีการดูต้นทางก่อน เพราะจุดเกิดเหตุ เป็นพื้นที่เปิด โดยกลุ่มนี้ทำเป็นขบวนการ ไม่ต่ำกว่า 5 คน ส่วนจดหมายแจ้งเตือนเหตุระเบิดที่ส่งไปยังสถานพยาบาลก่อนหน้านี้ ยังไม่ชี้ชัดว่า กลุ่มที่ส่งจดหมายกับกลุ่มที่ก่อเหตุระเบิด เป็นกลุ่มเดียวกันหรือไม่
ไม่พบโยงก่อการร้ายในอาเซียน
สำหรับเหตุก่อการร้ายหลายประเทศในอาเซียนช่วงนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ระบุว่า ยังไม่พบความเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดในโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า เพราะกลุ่มที่ก่อเหตุส่วนใหญ่ จะมีการประกาศตัวชัดเจน พร้อมเตรียมรับมือ หลังทางการอินโดนีเซีย แจ้งเตือนว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุลอบวางระเบิด อาจหลบหนีเข้ามาในประเทศไทย