วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557

ศาลปค. สั่ง 'ประชา-ทายาทสมัคร' จ่าย 587 ล้าน คดีรถ-เรือดับเพลิง 'อภิรักษ์-วัฒนา' รอด


               ศาลปกครองสั่งประชา มาลีนนท์ และทายาท 'สมัคร' ชดใช้เงิน 587 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ในคดีซื้อรถ-เรือดับเพลิง กทม. ขณะที่ 'อภิรักษ์-วัฒนา' รอด
             30 เม.ย.2557 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของกรุงเทพมหานครรวม 4 คดี โดยมีคำพิพากษาให้คุณหญิงสุรัตน์ สุนทรเวช ภรรยานายสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ, นางกาญจนากร ไชยลาภ และนางกานดาภา มุ่งถิ่น ทายาทมรดกของนายสมัคร ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 587,580,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี กรณีที่นายสมัครกระทำความผิดเกี่ยวกับการจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิง หลัง ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดว่าร่วมกันกับบริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุค สเปเชียล ฟาห์รซอยก์ จํากัด ของประเทศออสเตรีย กำหนดราคาซื้อขายให้สูงเกินจริง
               ศาลเห็นว่า พฤติการณ์ของนายสมัคร และ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีตผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. ตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงการลงนามในสัญญา มีลักษณะเป็นการเร่งรีบเพื่อให้มีการดำเนินการตามสัญญาระหว่างที่นายสมัครยังคงดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. แม้จะมีการอ้างเหตุจำเป็นในการดำเนินโครงการจากการเติบโตของ กทม. แต่ทั้งสองไม่ได้ดำเนินการอย่างรอบคอบ ในการพิจารณารายละเอียด สัญญา ลักษณะ รัฐต่อรัฐตามขั้นตอน ที่ ครม. มีมติ และยังไม่ได้นำกรณีอื่นที่หน่วยทหารพัฒนาของ บก.สส. ได้ทำสัญญาแบบรัฐต่อรัฐกับบริษัทสไตเออร์ฯ มาพิจารณาประกอบในการปฏิบัติตามขั้นตอนต่างๆ ให้ครบถ้วนสมกับกรณีทั้งที่นายสมัครก็เป็นผู้ว่าฯ กทม. ย่อมต้องรับรู้และเข้าใจขั้นตอนปฏิบัติ พยานหลักฐานจึงฟังได้ว่าการกระทำของนายสมัครดังกล่าวจงใจประมาทเลินเล่อ ทำให้ กทม. เสียหาย จึงพิพากษาให้ทายาทซึ่งเป็นผู้รับมรดก ชดใช้เงินค่าเสียหายร้อยละ 30 ของความเสียหายทั้งหมดจำนวน 1,958 ล้านบาทเศษ คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 587,580,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้อง โดยให้ชำระเสร็จภายใน 60 วัน ตั้งแต่วันที่มีคำพิพากษา
             ภายหลัง นายสุขสันต์ สุขสวัสดิ์ ทนายความของคุณหญิงสุรัตน์ กล่าวว่า หลังจากนี้จะไปปรึกษากับคุณหญิงสุรัตน์และทายาททั้งสอง เรื่องการอุทธรณ์คดีต่อศาลปกครองสูงสุด ซึ่งจะต่อสู้ในประเด็นที่ว่าศาลปกครองไม่มีอำนาจพิพากษาในคดีนี้ เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมรดกที่ควรจะต้องยื่นฟ้องคดีต่อศาลแพ่ง
            นอกจากนี้มีคำพิพากษาในคดีที่นายประชา มาลีนนท์ อดีต รมช.มหาดไทย ยื่นฟ้องกรุงเทพมหานคร และ รมว.มหาดไทย กรณีกรุงเทพมหานครสั่งให้นายประชาชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จากการที่ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดทางอาญากล่าวหาว่าขณะนายประชาดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ มีพฤติการณ์ร่วมกับบริษัทสไตเออร์ฯ กระทำความผิดเกี่ยวกับการจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิงฯ โดยศาลปกครองสั่งให้นายประชาต้องจ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายให้กับกรุงเทพมหานครในจำนวนเดียวกับทายาทของนายสมัคร เนื่องจากขณะเกิดเหตุ นายประชาดำรงตำแหน่ง รมช.มหาดไทย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเริ่มโครงการและกระบวนการจัดซื้อ
             โดยมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งกรุงเทพมหานคร ที่ประกาศกำหนดให้นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯ กทม.  และนายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับ กทม. ที่เสียหายจากการทำสัญญาซื้อขายรถ-เรือดับเพลิง และอุปกรณ์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยศาลเห็นว่านายอภิรักษ์มีการแสดงให้เห็นถึงความพยายามการปกป้องผลประโยชน์ของทางราชการ หลังเห็นว่าการซื้อขายมีข้อบกพร่องของกฎหมาย จึงได้ยื่นขอระงับการเปิดหนังสือค้ำประกัน หรือ  LC กับธนาคารกรุงไทย 2 ครั้ง และทำหนังสือถึงอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ และหนังสือถึงนายโภคิน พลกุล อดีต รมว.มหาดไทย 2 ครั้ง ให้ทบทวนการสัญญา แต่นายโภคินก็ยืนยันว่าไม่สามารถทำได้ ขณะที่นายอภิรักษ์ก็ไม่มีอำนาจที่จะบอกเลิกสัญญาซื้อขายที่ได้ดำเนินการไปแล้ว จึงเห็นว่านายอภิรักษ์ได้ระมัดระวังตามกรอบอำนาจหน้าที่ ไม่มีเจตนาทุจริตหรือทำให้เกิดความเสียหาย
              ในส่วนของนายวัฒนา ศาลเห็นว่าแม้นายวัฒนาจะมีส่วนเกี่ยวข้องในบางขั้นตอนกับการทำสัญญาซื้อขายอุปกรณ์ฯ โดยเฉพาะในส่วนสัญญาสินค้าต่างตอบแทน ประเภทไก่ต้มสุกแช่แข็ง แต่ก็สืบเนื่องจากกรณีที่ ครม. มีมติเมื่อ 24 ส.ค. 47 ให้พิจารณาผลักดันการส่งออกสินค้าประเภทไก่ต้มสุกแช่แข็ง เนื่องจากขณะนั้นเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ประสบปัญหาไข้หวัดนก อีกทั้งไม่ปรากฏหลักฐานชัดแจ้งว่านายวัฒนาเข้าไปเกี่ยวข้องกับการไขระเบียบกระทรวงพาณิชย์ในการกำหนดประเภทสินค้าตามที่มีการอ้าง อีกทั้งการผลักดันจะให้มีการทำสัญญาซื้อขายอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยดังกล่าวก็ยังมีปัจจัยอื่นอีกหลายปัจจัย ไม่ใช่เฉพาะเรื่องของการทำสัญญาซื้อสินค้าต่างตอบแทนเท่านั้น ส่วนการกำหนดส่งสินค้าต่างตอบแทน ตามขั้นตอนปฏิบัติก็ยังต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศด้วย ไม่ใช่ส่วนที่เกี่ยวข้องกับ รมว.พาณิชย์ เพียงลำพัง หลักฐานในชั้นนี้จึงยังฟังไม่ได้ว่านายวัฒนากระทำประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จนทำให้ กทม. ต้องซื้ออุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยจากบริษัทสไตเออร์ฯ ในราคาแพง อีกทั้งก่อนหน้านี้ทั้งนายอภิรักษ์และนายวัฒนา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็มีคำพิพากษายกฟ้องไปก่อนแล้ว จึงพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่ง กทม. ดังกล่าว โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย. 53 ที่มีการออกคำสั่ง
            อย่างไรก็ตาม ทั้ง 4 คดีดังกล่าว ผู้ร้องและผู้ถูกร้องในคดียังสามารถยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลางต่อศาลปกครองสูงสุดได้ภายใน 30 วัน

รวม “ครั้งสุดท้าย” ของ ‘สุเทพ’ ในรอบ 180 วัน

             เมื่อวันที่ 28 เม.ย.57 ที่ผ่านมา กปปส. ได้จัดกิจกรรมเนื่องในวาระครบรอบการชุมนุม 180 วัน ภายใต้ชื่อ “180 วัน 180 องศา” และไม่กี่นาทีที่ครบ 180 วันของการชุมนุม คือคืนวันที่ 27 ต่อ วันที่ 28 ที่ผ่านมา สุเทพ เทือกสุบรรณ, เลขาธิการกปปส. ขึ้นกล่าวบนเวทีปราศรัย ที่สวนลุมพินี เพื่อยืนยันว่าตัวเองจะไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครและไม่มีการต่อรอง พร้อมเดินหน้าขจัดระบอบทักษิณให้ได้ โดย สุเทพ กล่าวด้วยว่า "การนัดหมายนี้เป็นครั้งสุดท้ายจริง สู้คราวนี้ต้องจบให้ได้ วันที่ 30 เม.ย."[1]

             การปราศรัยครั้งนี้สุเทพ ได้ยืนยันถึง “ครั้งสุดท้าย” อีก และนับเป็นการพูดอีกคัร้งในวาระครบรอบ 180 วันของการชุมนุมนี้ จึงได้รวบรวมคำกล่าว คำประกาศ คำปราศรัยถึง “ครั้งสุดท้าย” “ยกสุดท้าย” และบรรดาคำว่าสุดท้าย(บางส่วน)ของสุเทพ ไว้ดังนี้

              1. ช่วงแรกของการชุมนุมเมื่อวันที่ 17 พ.ย.56 ที่เวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยสุเทพ[2] ประกาศนัดชุมนุมยกสุดท้าย 1 ล้านคน พร้อมปลุกพลังเงียบ ข้าราชการ มาชุมนุมกันในวันที่ 24 พ.ย.

              2. อีกช่องทางหนึ่งที่สุเทพ ใช้สื่อสารคือเฟซบุ๊ก โดยเฉพาะเฟซบุ๊กแฟนเพจชื่อ “Suthep Thaugsuban (สุเทพ เทือกสุบรรณ)” ซึ่งล่าสุดวันนี้มีผู้กดถูกใจ 2.4 ล้าน และเมื่อวันที่ 25 พ.ย.56 ได้โพสต์[3]เพื่อยืนยันว่าตนเองจะต่อสู้กับระบอบทักษิณเป็นครั้งสุดท้าย ข้อความว่า  "วันนี้ผมทุ่มสุดตัว ทุ่มทั้งชีวิต เพื่อสู้กับระบอบทักษิณ ถ้าพี่น้องออกมาสู้กันอย่างเต็มกำลัง ไม่กี่วันเราก็จะชนะแล้วครับ มาร่วมต่อสู้กับระบอบทักษิณเป็นครั้งสุดท้ายกันครับ สู้วันนี้เพื่อลูกหลานของเราจะได้ไม่ต้องเป็นขี้ข้า"

              3. หลังจากนั้น 1 วัน คือวันที่ 26 พ.ย. สุเทพได้โพสต์ในเพจ “Suthep Thaugsuban (สุเทพ เทือกสุบรรณ)” เพื่อเชิญชวนให้คนไปชุมนุมตามกระทรวงต่างๆ เป็นครั้งสุดท้าย โดยโพสต์[4]ว่า  "พรุ่งนี้ขอแรงพี่น้องที่รักชาติรักแผ่นดิน เป็นครั้งสุดท้าย ใกล้กระทรวงไหน ไปกระทรวงนั้น.."
             4. นอกจากนี้ในวันที่ 26 พ.ย. สุเทพ[5] ได้ปราศรัยที่เวทีกระทรวงการคลัง โดยอ้างว่าเป็นคำขอร้องครั้งสุดท้ายต่อผู้ชุมนุมให้สู้ต่อไป แม้ตนเองจะถูกจับกุมตัว โดยระบุว่า นี่คือขอร้องครั้งสุดท้ายของผม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับผม การต่อสู้ของประชาชนวันนี้ต้องเข้มข้น ท่านส่งผมตรงนี้ นิมนต์หลวงปู่พุทธอิสระเทศน์ทุกคืน ถ้ามันจับผมไปได้ไม่ต้องไปยุ่งเรื่องประกันตัวผม แต่ล้มระบอบทักษิณให้ได้

              5. วันที่ 27 พ.ย. สุเทพ ได้โพสต์ลงในเพจ “Suthep Thaugsuban (สุเทพ เทือกสุบรรณ)”[6] เชิญชวนให้ร่วมชุมนุมตามจุดที่ กปปส.นัดหมายชุมนุม โดยระบุว่า  "วันนี้ผมจะขอแรงพี่น้องประชาชนทั่วประเทศอีกครั้ง เป็นครั้งสุดท้ายครับ ขอให้ออกกันมาตามสถานที่นัดหมาย มาให้เยอะที่สุด วันนี้เราจะปิดฉากระบอบทักษิณกันครับ.."

            6. วันที่ 3 ธ.ค. สุเทพ ได้ปรากฏตัวที่เวที กปปส. ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ หลังจากที่ก่อนหน้านั้นมีข่าวลือว่าเขาหลบหนีไป โดยเขา[7]กล่าวด้วยว่า จะทำงานต่อสู้เพื่อมวลชนเป็นครั้งสุดท้าย และจะไม่หวนกลับเข้าสู่การเมืองอีก และได้สั่งให้คนไปเก็บของออกจากพรรคประชาธิปัตย์แล้ว

           7. วันที่ 6 ธ.ค. มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์คำปราศรัยของ สุเทพ ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘Mallika Boonmeetrakool’[8] เพื่อเชิญชวนให้ประชาชนออกมาชุมนุมในวันที่ 9 ธ.ค. ว่า  "ถ้ายอมเป็นขี้ข้าทักษิณตลอดชาติ ก็จงนอนเสพสุขอยู่บ้าน ไม่เช่นนั้น วันจันทร์ที่ 9 ธค. 9:39น. ต้องลุกฮือทั่วประเทศ ต่างจังหวัดคุมศาลากลาง กรุงเทพฯ ออกเดินบนถนนทุกสายมุ่งหน้าทำเนียบรัฐบาล ยกสุดท้ายเพื่อชาติ"
          8. วันที่ 13 ม.ค.57 ซึ่งเป็นวันที่ กปปส. ประกาศ ‘Shutdown Bangkok’ โดย สุเทพ[9] ได้ปราศรัยเวทีแยกอโศก ระบุว่า  "วันนี้เป็นยกสุดท้ายต้องทุ่มเทให้ถึงที่สุด ให้โลกจารึกไว้ว่าคือหัวใจของคนไทย สู้ครั้งนี้เพื่อเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่..”
          9. วันที่ 5 เม.ย. สุเทพ ปราศรัยบนเวที กปปส. สวนลุม ระบุว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ให้ถือว่าการต่อสู้ของเราได้มาถึงยกสุดท้ายแล้ว ทุกเครือข่ายต้องเตรียมพร้อม 100% ได้ยินเสียงนกหวีดเมื่อไร ต้องพร้อมเดินทางทันที

         10. คือคำกล่าวของสุเทพ เมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา อย่างที่อ้างไว้ตั้งแต่ต้น โดยเขากล่าวว่า "การนัดหมายนี้เป็นครั้งสุดท้ายจริง สู้คราวนี้ต้องจบให้ได้ วันที่ 30 เม.ย.”

         และล่าสุด วันที่ 30 เม.ย. สุเทพ และ กปปส. เดินเท้ามายังบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ซึ่ง สุเทพ[10] ได้ขึ้นเวทีปราศรัย โจมตีการดำเนินงานของรัฐบาล เเละระบอบทักษิณ พร้อมกับเชิญชวนพนักงานเข้าร่วมต่อสู้กับระบอบทักษิณในวันเผด็จศึกครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายของกลุ่ม กปปส. โดยขอให้ทุกคนเตรียมตัว เสบียง เสื้อผ้า พร้อมนอนกลางดินกินกลางถนน ครั้งนี้จะเป็นโอกาสครั้งสุดท้าย เพราะจะสู้ได้หนนี้อีกหนเดียว จึงขอให้ทุกคนพร้อมที่สุด

            อย่างไรก็ตามการประกาศเรื่องการต่อสู้หรือการเคลื่อนไหวเป็นครั้งสุดท้ายไม่ได้มีเพียงแกนนำ กปปส. หากแต่ แกนนำนปช. เอง ก็มีการกล่าวอยู่กัน เช่น เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 55 ซึ่งเป็นช่วงที่มีกระแสการจะทำรัฐประหารสูงมากช่วงหนึ่ง โดย จตุพร พรหมพันธุ์[11] แกนนำ นปช. ได้กล่าวในระหว่างการแถงข่าว นปช.แดงทั้งแผ่นดิน จัดที่อิมพีเรียลเวิร์ลลาดพร้าว ตอนหนึ่งเพื่อนัดหมายมวลชนหากมีการทำรัฐประหารเกิดขึ้นว่า ขอให้พี่น้องประชาชนแต่ละจังหวัดต้องรวมตัวกัน ที่ไหนก็นัดกัน แล้วเดินทางมาที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ใช้เป็นจุดต้านการรัฐประหารที่กำลังจะเกิดขึ้น ถามว่าจะถูกปิดล้อมหรือไม่ พี่น้องที่อยู่หลังตู้เย็น อยู่ตามที่ต่างๆ ก็ขอให้เชื่อเถอะว่าขอให้ออกกันทั้งหมด ยิ่งมากเท่าไรเป็นล้านก็จะหยุดความตาย จงสู้เป็นครั้งสุดท้ายเถิดเพื่อประเทศนี้ เพื่อไม่ให้ประเทศนี้ ลูกหลานของเราไม่ต้องรับชะตากรรมแบบพวกเรา มิฉะนั้นจะเหมือน การถูกปล้นชัยชนะทุกครั้งไป โดยไม่ฟังเสียงข้างมากจากประชาชนเลย แบบนี้เขานับเราเป็นประชาชนในประเทศนี้หรือไม่

           หรือล่าสุด จตุพร[12] กล่าวเมื่อวันที่ 16 เม.ย. ที่ผ่านมา ว่า แกนนำ นปช.ทุกคนจะไม่ไปไหนทั้งหมดในช่วงนี้ ทุกคนต้องเตรียมแผนการต่อสู้ครั้งสุดท้าย แบบโอเพ่นเดย์ คือ ทุกคนสามารถทำอะไรได้ทำ เพื่อแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านกระบวนการยุติธรรมล้มเหลว จนทำให้บ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแป

         และที่สำคัญ สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ชอบประกาศ “การต่อสู้ครั้งสุดท้าย” หรือ “สงครามครั้งสุดท้าย” บ่อยครั้งในช่วงที่พันธมิตรฯ ออกมาเคลื่อนไหวมากๆ ดังนี้
  • "..ชุมนุม 25 พ.ค.(51)เป็นสงครามครั้งสุดท้าย.."
  • สนธิ ลิ้มทองกุล, 23 พ.ค.51, ในรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน[13]
  • "..นี่คือสงครามครั้งสุดท้ายเราจะถอยได้อย่างไร"
  • สนธิ ลิ้มทองกุล, 21 มิ.ย.51, กล่าวที่ชุมนุมทำเนียบรัฐบาลขณะนั้น[14]
  • "เราจะไม่ทนกับพวกมึงอีกต่อไป เราจะยืนหยัดสู้ เพราะเป็นสงครามครั้งสุดท้าย.."
  • สนธิ ลิ้มทองกุล, 25 ก.ค.51 กล่าวที่ชุมนุมของพันธมิตรฯ[15]
  • "วันนี้ หรือมะรืนนี้อย่างช้า จะเป็นสงครามครั้งสุดท้าย ซึ่งพวกเราทุกคนจะไม่มีวันยอมแพ้ในสงครามนี้ เราจะสู้ทุกอย่างหากจะตายก็ตาย"
  • สนธิ ลิ้มทองกุล, 31 ส.ค.51, กล่าวบนเวทีปราศรัย[16]
  • "รัฐวิสาหกิจตัดน้ำตัดไฟ พร้อมประกาศ สงครามครั้งสุดท้าย ไม่เลิก ไม่ถอย และให้ลุกขึ้นต่อสู้ให้สิ้นสุดภายในวันนี้.."
  • สนธิ ลิ้มทองกุล, 7 ต.ค.51, กล่าวบนเวทีพันธมิตรฯ[17]
  • "..นี่อาจเป็นสงครามครั้งสุดท้ายกันเลยทีเดียว"
  • สนธิ ลิ้มทองกุล, 28 พ.ค.55, ในประกาศนัดชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ในวันที่ 30พ.ค.55 เพื่อคัดค้านการร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ[18]
  • “การต่อสู้ครั้งนี้ จะต้องเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย"
  • สนธิ ลิ้มทองกุล, 23 ก.ย.55, ปราศรัยผ่านโทรศัพท์ในเวทีเสวนา หยุดเผด็จการรัฐสภา รวมพลังปฏิรูปประเทศไทย ที่โรงแรมสุนีย์ แกรนด์ โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ จ.อุบลราชธานี[19]


ศาลอุทธรณ์ยืน "คุก 2 ปี" เจ๋ง ดอกจิก ปราศรัยหมิ่นประมาทเบื้องสูง ยื่นหลักทรัพย์ 5 แสนประกันตัวสู้ชั้นฎีกา



          วันที่ 1 พ.ค. ที่ห้องพิจารณา 911 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ คดีหมิ่นเบื้องสูงหมายเลขดำ อ.2740/53 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้อง นายยศวริศ หรือประมวล ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิกอดีตที่ปรึกษา รมช.พาณิชย์ และแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และจำเลยคดีก่อการร้ายเป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ โดยอัยการโจทก์นำคดีมายื่นฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 1 ก.ย. 53 ระบุความผิดสรุปว่า

         เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 53 จำเลยได้ขึ้นปราศรัยบนเวที นปช. เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ และได้กล่าวพาดพิงดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูงด้วยถ้อยคำไม่เหมาะสม ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศชื่อเสียง เกลียดชัง เหตุเกิดแขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กท. ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 2, 8, และ 12 เบื้องต้นจำเลยให้การรับสารภาพ แต่ภายหลังให้การปฏิเสธ สู้คดี

          คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 17 ม.ค. 56 ว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยไว้ 2 ปีโดยไม่รอลงอาญาจำเลยยื่นอุทธรณ์ ขอให้ศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้องด้วยศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันโดยละเอียดรอบคอบแล้ว ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นเหมาะสมกับความผิดแล้ว ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน

         ภายหลังทนายความของนายยศวริศได้เตรียมยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 5แสนบาทเพื่อขอประกันตัวสู้คดีในชั้นฎีกาต่อไป.

"ม.จ.จุลเจิม ยุคล" ทรงเพี้ยน??? เขียนเฟสบุ๊ค ให้ "หนุมาน" ออกมาปราบยักษ์เสื้อแดง

"ม.จ.จุลเจิม ยุคล" ทรงเพี้ยน??? เขียนเฟสบุ๊ค ให้ "หนุมาน" ออกมาปราบยักษ์เสื้อแดง



         วันที่ 30 เมษายน 2557 (go6TV) พล.ต.ม.จ.จุลเจิม ยุคล ได้โพสต์ในเฟซบุ๊คส่วนตัว Chulcherm Yugala ได้เขียนเฟสบุ๊ค เพ้อเจ้อเรียกหนุมาน ออกมาปราบยักษ์ ไล่เสื้อแดงไปอยู่ใต้ดิน


พล.ต.ม.จ.จุลเจิม ยุคล โพสต์ในเฟสบุ๊คไว้ดังนี้

           ออกมากันเถอะครับ เพื่อนๆ พี่ๆน้องๆ ของผม  “ พลนิกรทุกเหล่าท้าวพระยา จงออกมาปกปักพิทักษ์ชัย  มาบัดนี้มีไพรีมาบีฑา.......................

         เมื่อมันผู้ใดที่อยู่ในแผ่นดินไทยนี้ที่ ต้องการเหยียบย่ำ โค่นล้มสถาบันเบื้องสูงที่เคารพของพวกเรา เพื่อข้ามไปสู่ระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จครบวงจร พวกหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ พระมหากษัตริย์ พวกให้ร้าย อาฆาตมาดร้าย ต่อองค์พระประมุข ที่ทรงเป็นที่ เคารพ บูชา และเทิดทูน ของพวกเรา............

“ไอ้พวก ยักษ์มารราญรอนแต่ก่อนเก่า
ที่หลงลาภโภโมหันคนจัญไร
จึงเปลี่ยนใจเนรคุณพระบุญญา”
ไอ้พวกไปภักดีรับใช้ขบวนการแดงล้มเจ้า
ร่วมกับคนใหญ่ คนโต ที่เคยเฝ้าเอางานใช่หรือไม่
ส่งพวกมันกลับลงไปอยู่ไต้ดิน บ้านเกิดดังเดิม............... !!.

“ขอทวยเทพจงเป็นเห็นพยาน
มือพนมก้มกรานลงตรงหน้า
ทั้งเลือดเนื้อเพื่อพระองค์กษัตรา
สิ้นชีวายอมพลีจักรีวงศ์”
พลนิกรทุกเหล่าท้าวพระยา
จงออกมาปกปักพิทักษ์ชัย..........

           จงออกมากันเถอะครับ เมื่อเราพึ่งใครอีกไม่ได้แล้วที่จะหยุดไอ้พวกยักษ์มาร ที่ราญรอนแต่ก่อนเก่า ที่หลงลาภโภโมหัน จากคนจัญไร ถ้าเราหยุดพวกมันไม่ได้ เราก็สมควร หยุดตัวเรา ได้แล้วไม่ต้องมาโอดควร กันอีกต่อไป..................


บัดนั้น นางกุญชรมอญแม่ศรี
เพ่งพินิจชีวิตองค์จักรี มาบัดนี้ไพรีมาบีฑา
จึ่งขอร้องก้องกังวานขานขับ ถึงคนรับ "หนุมาน" ทหารกล้า
พลนิกรทุกเหล่าท้าวพระยา จงออกมาปกปักพิทักษ์ชัย
อันยักษ์มารราญรอนแต่ก่อนเก่า ก็เคยเฝ้าเอางานใช่หรือไม่
หลงลาภโภโมหันคนจัญไร จึงเปลี่ยนใจเนรคุณพระบุญญา
ขอทวยเทพจงเป็นเห็นพยาน มือพนมก้มกรานลงตรงหน้า
ทั้งเลือดเนื้อเพื่อพระองค์กษัตรา สิ้นชีวายอมพลีจักรีวงศ์.................


          ขอขอบพระคุณ และขออนุญาต คุณ กุญชรศรีหน่อง ครับ
๒๙เมษายน๒๕๕๗



ม.จ. จุลเจิม ยุคล






กระเทยควาย สติแตก! สุดทนโพสต์ด่าประชาธิปัตย์เป็นบัวใต้น้ำ ยอมรับเอากระดูกแขวนคอ

กะเทยควาย สติแตก! สุดทนโพสต์ด่าประชาธิปัตย์เป็นบัวใต้น้ำ 
ยอมรับเอากระดูกแขวนคอ



ภาพถ่าย


          30 เมษายน 2557 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 12.00น. ที่ผ่านมา นายเสรี วงษ์มณฑา หรือ "เจ๊อี๊ด" แม่ยกประชาธิปัตย์และแกนนำ กปปส. ได้โพสต์ข้อความผ่าน Facebook ส่วนตัว โจมตีพรรคประชาธิปัตย์อย่างเผ็ดร้อน ขณะเดียวกัน ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตจำนวนมากเชื่อว่าพฤติกรรมของพรรคประชาธิปัตย์ที่ "เจ๊อี๊ด" โพสต์ข้อความแฉเป็นเรื่องจริง แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ "เจ๊อี๊ด" ว่าจะตัดขาดจากพรรคประชาธิปัตย์ได้

         ทั้งนี้ ข้อความของนายเสรี วงษ์มณฑา หรือ เจ๊อี๊ด มีเนื้อหาดังนี้




             "แต่ทุกครั้งที่ออกมาวิพากษ์พรรคประชาธิปัตย์และอภิสิทธ์ด้วยความสุจริตและปรารถนาดี ก็จะต้องเจอกับคนของประชาธิปัตย์บางคนที่จุดยืนเลยสถานะของการเป็นสมาชิกพรรคแต่ทำตัวเป็นสาวกผู้พิทักษ์(curators) ในลักษณะที่ว่าพรรคของข้า หัวหน้าข้าใครอย่าแตะ แทนที่จะพินิจพิจาณาก่อนว่าคนที่เขาวิพากษ์วิจารณ์นั้นเขาทำในนามของกัลยาณมิตรหรือศัตรู ถ้าหากมีคนอย่างนี้ในพรรคประชาธิปัตย์มากๆ อีกหน่อยประชาธิปัตย์จะถูกโดดเดี่ยว ปล่อยให้สู้กับพรรคเพื่อไทยตามลำพัง ไม่มีใครช่วย ไม่มีใครเตือน เพราะคงไม่มีใครอยากจะอยู่ในสภาพ "เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง ต้องเอากระดูกมาแขวนคอ" ไปเรื่อยๆ



           คนท่ีจะเตือนคนพวกนี้ได้ก็เห็นจะมีอภิสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว บอกให้คนพวกนี้หัดใจกว้างรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์จากกัลยาณมิตรผู้หวังดีกันบ้าง ประชาธิปัตย์หรือตัวอภิสิทธิ์เองไม่ใช่ว่าจะเป็นคนที่ทำถูกทุกเรื่อง ดังนั้นเวลามีคนที่คนท้วงติงด้วยความปรารถนาดีเยี่ยงกัลยาณมิตรก็ต้องฟังเขาบ้าง อย่าออกมาเป็นสาวกผู้พิทักษ์ด่าทุกคนที่ออกมาวิพากษ์โดยไม่แยกว่าใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู ขืนเป็นอย่างนี้ระวังนะ เมื่อแนวร่วมหายไปจะกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านตลอดกาล เพราะเลือกตั้งไม่มีวันจะชนะ เหมือนอย่างที่แกนนำ นปช. ปรามาสเอาไว้


           มีทฤษฎการสื่อสารทฤษฎีหนึ่งชื่อทฤษฎี Social Judgment and Individual Involvement กล่าวว่าถ้าคนเรารู้สึกว่าเรื่องใดเกี่ยวข้องกับตนเอง (Individual Involvement) มากเท่าใด ก็จะกลายเป็นคนที่มีจิตใจคับแคบในการฟังข้อมูลใดๆเกี่ยวกับเรื่องนั้น ทำให้เปลี่ยนความคิดเห็น (Social Judgment) ไม่ค่อยได้ มิหนำซำซ้ำยังจะมองคำพูดของคนที่คิดต่างจากตนที่แตกต่างไม่มากนักกลายเป็นความแตกต่างที่มากมายจนไม่อาจจะยอมรับได้


              ถ้าหากคนพวกนี้รักษาระยะของความรักความชอบประชาธิปัตย์ให้ห่างออกมาสักนิดก็จะดี จะทำให้เป็นคนที่ใจกว้างขึ้น รับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์พรรคประชาธิปัตย์และหัวหน้าประชาธิปัตย์ได้มากขึ้น เปิดโอกาสให้มีการนำคำวิพากษ์เหล่านั้นมาวิเคราะห์และได้ปรับปรุงการทำงานของพรรค



          ณ บัดนี้จะขอเรียนรู้บทเรียนจากประสบการณ์ที่ออกมาวิพากษ์การทำงานของอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์เยี่ยงกัลยาณมิตรผู้หวังดีว่า ต่อไปนี้จะไม่ขอข้องแวะยุ่งเกี่ยวกับการทำงานของพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆทั้งสิ้น ถูกก็จะไม่ชม ผิดก็จะไม่วิจารณ์ ขออวยพรให้ประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านอย่างมีความสุขกับสาวกผู้พิทักษ์ที่ได้ช่วยกันผลักมิตรให้เป็นศัตรูต่อไปเรื่อยๆจนกว่าฟ้าดินสลายก็แล้วกัน น่าเสียดายพรรคที่เราคิดว่าพอจะเป็นบัวโผล่พ้นน้ำได้บ้าง กลับมีผู้พิทักษ์ที่รักมากขนาดไม่รับฟังคำวิพากษ์จากมิตร ยอมที่เป็นบัวใต้น้ำต่อไป"



http://www.redusala.blogspot.com/