วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

'หญิงไก่' โดนข้อหาหนักค้ามนุษย์ ม.112 จ่อฝากขัง


7 ก.ค. 2559 สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น โพสต์ทูเดย์ รายงานว่า เมื่อเวลา 12.00 น. ที่กองปราบ มณตา หยกรัตนกาญ หรือ หญิงไก่ อายุ 58 ปี เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รอง ผบก.ป. ตามหมายเรียกในคดีที่ครอบครัว น้องก้อย มาแจ้งความกลับ หญิงไก่  ที่ถูกดำเนินคดีในข้อหา "ร่วมกันลักทรัพย์นายจ้าง" ตลอดระยะเวลาการเข้าให้ปากคำ มณตา มีอาการเครียด และปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์รายละเอียดต่อสื่อมวลชน
ขณะที่ทางพนักงานสอบสวนสอบ ปากคำ มณตา ได้แจ้งข้อหาแจ้งความเท็จ กลั่นแกล้งผู้อื่นให้รับโทษทางอาญา จำนวน 3 คดี เนื่องจากเป็นการกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระ และมีการแจ้งข้อหาพยายามค้ามนุษย์ และข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือ แสดงความอาฆาตมาดร้ายฯ ตาม ป.อาญา มาตรา 112 ด้วย จากนั้นจึงพิมพ์ลายนิ้วมือ พร้อมทำประวัติ มณตา และนำตัวไปยังห้องคอนโด ย่านประชานิเวศน์ เพื่อค้นหาหลักฐานเพิ่มเติม ซึ่งภายหลังค้นคอนโด แล้วเสร็จจะพาไปฝากขังที่ศาลอาญารัชดา ในช่วงเย็นวันนี้
โดย พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รองผู้บังคับการปราบปราม ควบคุมตัว มณตา มาตรวจค้นที่คอนโดมิเนียม ย่านประชานิเวศน์ เพื่อหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมหลังสอบสวนนานกว่า 2 ชั่วโมง โดยเปิดเผยว่า พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหา มณตา ฐานแจ้งความเท็จ และพยายามค้ามนุษย์ กรณี ประภาวรรณ ใจกล้า หรือ น้องก้อย และครอบครัว อดีตลูกจ้าง เข้าแจ้งความก่อนหน้านี้ว่า ถูกนางไก่ กล่าวหาว่าลักทรัพย์ และพยายามพาไปต่างประเทศ โดยมีอดีตลูกจ้างอีกหลายคนที่ถูก มณตา เข้าแจ้งความดำเนินคดีในลักษณะเดียวกันนี้ พร้อมแจ้งข้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพิ่มเติมด้วย เนื่องจากมีพยานบุคคล 4 ปาก ให้การยืนยันว่า มณตา มีการพูดในลักษณะหมิ่นสถาบันเบื้องสูง แต่ มณตา ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และจากการตรวจค้นห้องพักที่ชั้น 1 ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายแต่พบหนังสือเดินทาง 19 เล่ม/ สมุดบัญชี 9 เล่ม และภายในห้องมีการติดตั้งกล้องวงจรปิด 2 ตัว ยืนยันตำรวจมีพยานหลักฐานเพียงพอ และภายหลังตรวจค้นได้ควบคุมตัว มณตาไปขออำนาจศาลอาญา ฝากขังผัดแรกทันที

112 ขอนแก่น 'พูดหมิ่นในคุก' ศาลสั่งพิจารณาคดีลับ


5 ผู้ต้องหาคดีเตรียมป่วนงาน Bike for Dad โดนคดี 112 ด้วย ถูกกล่าวหาคุยข้อความหมิ่นฯ ในเรือนจำ เมื่อวันที่ 5 ที่ศาลทหารขอนแก่นนัดตรวจพยานหลักฐานเรียบร้อยแล้ว อนุญาตให้พิจารณาคดีลับตามอัยการทหารร้องขอ
เว็บไซต์ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า เมื่อวันที่ 5 ก.ค.2559 ศาลมณฑลทหารบกที่ 23 จ.ขอนแก่น นัดตรวจพยานหลักฐานในคดีที่ จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ และพวกรวม 5 คน ถูกฟ้องในข้อหา ร่วมกันหมิ่นประมาท และดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ และรัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หมายเลขคดีดำที่ 1 ก./2559
หลังจากอัยการทหารโจทก์และทนายจำเลยทั้งห้าตรวจพยานหลักฐานแล้ว ทนายจำเลยได้แถลงต่อศาลว่า ทนายจำเลยประสงค์ตรวจพยานเอกสารของโจทก์ลำดับที่ 1-15 ซึ่งโจทก์ไม่ได้นำส่ง  โจทก์แถลงว่า พยานเอกสารดังกล่าวเป็นบันทึกคำให้การพยาน โจทก์ไม่จำเป็นต้องนำส่ง ศาลชี้ว่า ทนายจำเลยมีสิทธิตรวจพยานเอกสารของโจทก์ทุกฉบับ แต่คัดถ่ายไม่ได้ เมื่อตรวจเสร็จแล้วต้องส่งคืน โจทก์คัดค้านว่า พยานเอกสารที่เป็นบันทึกคำให้การ หรือที่มีชื่อที่อยู่ของพยาน โจทก์ไม่ต้องนำส่งเพื่อให้ทนายจำเลยตรวจได้ แต่ศาลยืนยันว่า หากโจทก์ไม่ส่งให้ทนายจำเลยตรวจก็ไม่มีสิทธินำส่งเพื่อสืบเป็นพยานหลักฐาน โจทก์จึงขออนุญาตศาล ส่งบันทึกคำให้การพยานให้ทนายจำเลยตรวจ
จากนั้น โจทก์แถลงขอนำพยานหลักฐานเข้าสืบ เป็นพยานเอกสารรวม 30 ฉบับ และพยานบุคคลรวม 14 ปาก โดยพยานโจทก์ปากที่ 1 คือ  พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าฝ่ายกฎหมาย คสช. ผู้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ในคดีนี้ พยานปากอื่นๆ ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอาญา จำนวน 2 ปาก, ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา  1 ปาก, เจ้าหน้าที่ผู้ทำการจับกุม 4 ปาก, พนักงานสอบสวน 4 ปาก และประจักษ์พยาน 2 ปาก ซึ่งเป็นผู้ต้องหาและบุคคลที่ถูกควบคุมตัวจากกรณีที่เจ้าหน้าที่สืบสวนพบการเตรียมการป่วนกิจกรรม Bike for Dad
ด้านทนายจำเลยแถลงขอนำพยานเข้าสืบ เป็นพยานเอกสารรวม 29 ฉบับ และพยานบุคคลจำนวนหลายปาก โดยจำเลยทั้งห้านอกจากจะอ้างตนเอง บุคคลในครอบครัว และเพื่อนบ้านเป็นพยานแล้ว ยังอ้างเจ้าหน้าที่เรือนจำกลางขอนแก่น จำเลยในคดีเดียวกัน และผู้ที่เคยต้องขังในเรือนจำกลางขอนแก่นด้วยกันในช่วงที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด
โจทก์แถลงอีกว่า พยานโจทก์ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพฯ หรือต้องปฏิบัติราชการอยู่ที่กรุงเทพฯ ไม่สะดวกมาเบิกความที่ศาลฯ นี้ และไม่สามารถสืบพยานโดยวิธีอื่น โจทก์ประสงค์ขอส่งประเด็นไปสืบที่ศาลทหารกรุงเทพ โดยโจทก์จะตามไปว่าความร่วมกับอัยการศาลทหารกรุงเทพฯ ด้านทนายจำเลยทั้งห้าไม่ค้าน ขอตามประเด็นไปว่าความที่ศาลทหารกรุงเทพเช่นกัน หากทนายจำเลยไม่ไปถือว่าไม่ติดใจถามค้าน ส่วนจำเลยทั้งห้าไม่ประสงค์ตามประเด็นไปด้วย
จากนั้น โจทก์แถลงต่อศาลว่า คดีนี้หากพิจารณาโดยเปิดเผยจะกระทบต่อความสงบเรียบร้อย จึงขออนุญาตให้พิจารณาลับทั้งคดี ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นสมควรอนุญาตให้ทำการพิจารณาลับทั้งคดี อนุญาตให้เฉพาะโจทก์ จำเลยทั้งห้า ทนายจำเลย พนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และพนักงานรักษาความสงบอยู่ในห้องพิจารณาคดีเท่านั้น
ทั้งนี้ ในนัดหน้า โจทก์แถลงขอสืบพยานโจทก์ปากที่ 1 คือ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง ในวันที่ 4 ส.ค.59 เวลา 08.00 น.
คดีนี้ อัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 23 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ และพวกรวม 5 คน เมื่อวันที่ 15 ก.พ.59 ต่อศาลมณฑลทหารบกที่ 23 โดยโจทก์บรรยายฟ้องว่า ระหว่างเดือนสิงหาคม 2557 ถึงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2558 เวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้งห้ากับพวกที่หลบหนี ซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้ร่วมกันสนทนาข้อความที่มีหมิ่นพระมหากษัตริย์ และรัชทายาท จำนวน 3 ข้อความ ต่อหน้าบุคคลผู้มีชื่อ จำนวน 2 คน
ทั้งนี้ ช่วงเวลาเกิดเหตุเป็นช่วงที่จำเลยถูกขังอยู่ในเรือนจำกลางขอนแก่น  แต่บางคนอยู่คนละเวลา และคนละแดนกัน ทำให้จำเลยยืนยันปฏิเสธข้อกล่าวหาตามที่โจทก์ฟ้องมานี้
คดีนี้ยังมีข้อกังขาอีกในแง่ที่ว่า ในการแถลงข่าวการจับกุมและออกหมายจับ มีการระบุถึงการเตรียมก่อเหตุรุนแรงในกิจกรรม Bike for Dad และกิจกรรมอื่นๆ อีกทั้งจำเลยถูกควบคุมตัวในค่ายทหารก่อนถูกส่งตัวให้ตำรวจดำเนินคดี จำเลยหลายรายให้ข้อมูลตรงกันว่า การสอบสวนในค่ายทหารพยายามสอบถามความเกี่ยวข้องกับอาวุธ และการวางแผนก่อเหตุรุนแรง แต่จำเลยกลับถูกฟ้องด้วยข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

มีชัยโวยมีคนพิมพ์เอกสารบิดเบือนร่าง รธน.แจกจำนวนมาก เตรียมคุย กกต. - คสช. เอาผิด



Thu, 2016-07-07 15:11


7 ก.ค.2559 มีชัย­ ฤชุพันธ์­ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ­ (กรธ­.) ­กล่าวถึงกรณีพบการบิดเบือนร่างรัฐธรรมนูญใน­พื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ทั้งการแจกเอกสาร­และนำเสนอข้อมูลไปยังประชาชนว่า จากการตรวจ­เบื้องต้นพบว่าเป็นเอกสารที่เคยนำมาแจกที่ศูนย์ราชกา­รเฉลิมพระเกียรติ จึงเชื่อว่าน่าจะมีการจัดพิมพ์เป็นจำนวนมากและทำเป็นกระบวนการ พร้อมระบุว่าเอกสารดังกล่าวมีเจตนาบิดเบือนเนื้อหา­หรือจัดทำเพื่อแสดงความเห็นต่าง­ ­หากตรวจพบมีข้อบิดเบือนจริง­ ต้องส่งให้คณะกรรมการเลือกตั้ง­ (กกต­.) ­และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)­ ดำเนินการกับผู้กระทำผิดต่อไป­

ต่อข้อถามถึงความคืบหน้าการกระทำความผิดเกี่ยวกับพร­ะราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่าง­รัฐธรรมนูญ ที่ส่งให้ กกต­. ­ดำเนินการ มีชัย ระบุว่า ไม่ต้องการกดดันการทำงานของ­ กกต­. ­แต่บางเรื่องเห็นว่ามีความผิดจริงก็เป็นดุลพินิจของ­ กกต­. ­ที่จะพิจารณา­­
สนช.ขอ กรธ.ส่งหลักฐานบิดเบือนร่าง รธน.ให้ กกต.

สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงกรณีที่ กรธ.ระบุว่า ระหว่างการลงพื้นที่ชี้แจงเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ ได้พบเอกสารที่มีข้อความบิดเบือนแจกจ่ายกับประชาชน นั้น ว่า สนช.ยังไม่เคยพบเอกสารที่บิดเบือนเหมือนกับ กรธ. แต่เมื่อมีข่าวเช่นนี้ ก็จะหารือกับ กรธ. เพื่อขอข้อมูลและขอให้ กรธ.นำหลักฐานดังกล่าวมอบให้กับ กกต. เพื่อให้ กกต.ดำเนินการตรวจสอบและสืบสวนเอาผิดต่อไป พร้อมกันนี้ ยังยอมรับว่า การที่ กรธ.ไม่มีหลักฐานมาแสดงต่อสาธารณะอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดกับประชาชนได้

สุรชัย ยอมรับว่า จากการลงพื้นที่ชี้แจงร่างรัฐธรรมนูญ และคำถามพ่วงประชามติในหลายเวที มักเจอผู้ร้องเรียนเรื่องความล่าช้าในการส่งเอกสารบ่อยครั้ง จะต้องให้ กกต. ในฐานะผู้รับผิดชอบเร่งดำเนินการ ขณะที่ สนช.จะปรับแผนการลงพื้นที่ เพื่อช่วยทำความเข้าใจกับประชาชนมากขึ้น
กกต.เผยเอกสารพิมพ์เสร็จรอจัดส่ง ห่วงการเคลื่อนไหวน.ศ.ผิดกม.มั่นคง

ด้าน สมชัย ศรีสุทธิยากร กกต. ด้านกิจการบริหารจัดการเลือกตั้ง เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า ภาพรวมความพร้อม ในการเตรียมทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 7 ส.ค. นี้ มีความพร้อมเต็มที่แล้ว เอกสารชุดสุดท้าย 17 ล้านฉบับ จัดพิมพ์เสร็จแล้ว รอจัดส่งพร้อมกับหนังสือแจ้งเจ้าบ้าน ที่จะมีการสรุปหลังจากมีการลงทะเบียนออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัดวันสุดท้ายในวันนี้ และคาดว่าจะส่งถึงมือประชาชนก่อนวันออกเสียงประชามติอย่างน้อย 20 วัน มั่นใจกระบวนการจัดส่งไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ สมชัย แสดงความเป็นห่วงการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษา เพราะการทำกิจกรรม อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายอื่น ๆ ของฝ่ายความมั่นคงได้ ส่วนการตรวบสอบการแสดงความคิดเห็นของฝ่ายต่าง ๆ ที่ผ่านมา รวมถึงเอกสารที่มีการแจกจ่าย ไม่พบเข้าข่ายความผิด ปลุกระดม หรือหยาบคาย แต่หากเป็นเท็จ บิดเบือน ต้องรอให้กรรมการร่างรัฐธรรมนูญยืนยันอีกครั้ง เช่นเดียวกับกรณีที่กล่าวหา นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. บิดเบือน คาดว่า ระดับเจ้าหน้าที่มีการประสานงานกันแล้ว แต่รายละเอียดยังไม่ถึงมือ กกต. ชุดใหญ่

Thu, 2016-07-07 15:56


7 ก.ค. 2559 สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น โพสต์ทูเดย์ รายงานว่า เมื่อเวลา 12.00 น. ที่กองปราบ มณตา หยกรัตนกาญ หรือ หญิงไก่ อายุ 58 ปี เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รอง ผบก.ป. ตามหมายเรียกในคดีที่ครอบครัว น้องก้อย มาแจ้งความกลับ หญิงไก่ ที่ถูกดำเนินคดีในข้อหา "ร่วมกันลักทรัพย์นายจ้าง" ตลอดระยะเวลาการเข้าให้ปากคำ มณตา มีอาการเครียด และปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์รายละเอียดต่อสื่อมวลชน

ขณะที่ทางพนักงานสอบสวนสอบ ปากคำ มณตา ได้แจ้งข้อหาแจ้งความเท็จ กลั่นแกล้งผู้อื่นให้รับโทษทางอาญา จำนวน 3 คดี เนื่องจากเป็นการกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระ และมีการแจ้งข้อหาพยายามค้ามนุษย์ และข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือ แสดงความอาฆาตมาดร้ายฯ ตาม ป.อาญา มาตรา 112 ด้วย จากนั้นจึงพิมพ์ลายนิ้วมือ พร้อมทำประวัติ มณตา และนำตัวไปยังห้องคอนโด ย่านประชานิเวศน์ เพื่อค้นหาหลักฐานเพิ่มเติม ซึ่งภายหลังค้นคอนโด แล้วเสร็จจะพาไปฝากขังที่ศาลอาญารัชดา ในช่วงเย็นวันนี้

โดย พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รองผู้บังคับการปราบปราม ควบคุมตัว มณตา มาตรวจค้นที่คอนโดมิเนียม ย่านประชานิเวศน์ เพื่อหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมหลังสอบสวนนานกว่า 2 ชั่วโมง โดยเปิดเผยว่า พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหา มณตา ฐานแจ้งความเท็จ และพยายามค้ามนุษย์ กรณี ประภาวรรณ ใจกล้า หรือ น้องก้อย และครอบครัว อดีตลูกจ้าง เข้าแจ้งความก่อนหน้านี้ว่า ถูกนางไก่ กล่าวหาว่าลักทรัพย์ และพยายามพาไปต่างประเทศ โดยมีอดีตลูกจ้างอีกหลายคนที่ถูก มณตา เข้าแจ้งความดำเนินคดีในลักษณะเดียวกันนี้ พร้อมแจ้งข้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพิ่มเติมด้วย เนื่องจากมีพยานบุคคล 4 ปาก ให้การยืนยันว่า มณตา มีการพูดในลักษณะหมิ่นสถาบันเบื้องสูง แต่ มณตา ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และจากการตรวจค้นห้องพักที่ชั้น 1 ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายแต่พบหนังสือเดินทาง 19 เล่ม/ สมุดบัญชี 9 เล่ม และภายในห้องมีการติดตั้งกล้องวงจรปิด 2 ตัว ยืนยันตำรวจมีพยานหลักฐานเพียงพอ และภายหลังตรวจค้นได้ควบคุมตัว มณตาไปขออำนาจศาลอาญา ฝากขังผัดแรกทันที