5 ผู้ต้องหาคดีเตรียมป่วนงาน Bike for Dad โดนคดี 112 ด้วย ถูกกล่าวหาคุยข้อความหมิ่นฯ ในเรือนจำ เมื่อวันที่ 5 ที่ศาลทหารขอนแก่นนัดตรวจพยานหลักฐานเรียบร้อยแล้ว อนุญาตให้พิจารณาคดีลับตามอัยการทหารร้องขอ
เว็บไซต์ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า เมื่อวันที่ 5 ก.ค.2559 ศาลมณฑลทหารบกที่ 23 จ.ขอนแก่น นัดตรวจพยานหลักฐานในคดีที่ จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ และพวกรวม 5 คน ถูกฟ้องในข้อหา ร่วมกันหมิ่นประมาท และดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ และรัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หมายเลขคดีดำที่ 1 ก./2559
หลังจากอัยการทหารโจทก์และทนายจำเลยทั้งห้าตรวจพยานหลักฐานแล้ว ทนายจำเลยได้แถลงต่อศาลว่า ทนายจำเลยประสงค์ตรวจพยานเอกสารของโจทก์ลำดับที่ 1-15 ซึ่งโจทก์ไม่ได้นำส่ง โจทก์แถลงว่า พยานเอกสารดังกล่าวเป็นบันทึกคำให้การพยาน โจทก์ไม่จำเป็นต้องนำส่ง ศาลชี้ว่า ทนายจำเลยมีสิทธิตรวจพยานเอกสารของโจทก์ทุกฉบับ แต่คัดถ่ายไม่ได้ เมื่อตรวจเสร็จแล้วต้องส่งคืน โจทก์คัดค้านว่า พยานเอกสารที่เป็นบันทึกคำให้การ หรือที่มีชื่อที่อยู่ของพยาน โจทก์ไม่ต้องนำส่งเพื่อให้ทนายจำเลยตรวจได้ แต่ศาลยืนยันว่า หากโจทก์ไม่ส่งให้ทนายจำเลยตรวจก็ไม่มีสิทธินำส่งเพื่อสืบเป็นพยานหลักฐาน โจทก์จึงขออนุญาตศาล ส่งบันทึกคำให้การพยานให้ทนายจำเลยตรวจ
จากนั้น โจทก์แถลงขอนำพยานหลักฐานเข้าสืบ เป็นพยานเอกสารรวม 30 ฉบับ และพยานบุคคลรวม 14 ปาก โดยพยานโจทก์ปากที่ 1 คือ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าฝ่ายกฎหมาย คสช. ผู้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ในคดีนี้ พยานปากอื่นๆ ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอาญา จำนวน 2 ปาก, ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา 1 ปาก, เจ้าหน้าที่ผู้ทำการจับกุม 4 ปาก, พนักงานสอบสวน 4 ปาก และประจักษ์พยาน 2 ปาก ซึ่งเป็นผู้ต้องหาและบุคคลที่ถูกควบคุมตัวจากกรณีที่เจ้าหน้าที่สืบสวนพบการเตรียมการป่วนกิจกรรม Bike for Dad
ด้านทนายจำเลยแถลงขอนำพยานเข้าสืบ เป็นพยานเอกสารรวม 29 ฉบับ และพยานบุคคลจำนวนหลายปาก โดยจำเลยทั้งห้านอกจากจะอ้างตนเอง บุคคลในครอบครัว และเพื่อนบ้านเป็นพยานแล้ว ยังอ้างเจ้าหน้าที่เรือนจำกลางขอนแก่น จำเลยในคดีเดียวกัน และผู้ที่เคยต้องขังในเรือนจำกลางขอนแก่นด้วยกันในช่วงที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด
โจทก์แถลงอีกว่า พยานโจทก์ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพฯ หรือต้องปฏิบัติราชการอยู่ที่กรุงเทพฯ ไม่สะดวกมาเบิกความที่ศาลฯ นี้ และไม่สามารถสืบพยานโดยวิธีอื่น โจทก์ประสงค์ขอส่งประเด็นไปสืบที่ศาลทหารกรุงเทพ โดยโจทก์จะตามไปว่าความร่วมกับอัยการศาลทหารกรุงเทพฯ ด้านทนายจำเลยทั้งห้าไม่ค้าน ขอตามประเด็นไปว่าความที่ศาลทหารกรุงเทพเช่นกัน หากทนายจำเลยไม่ไปถือว่าไม่ติดใจถามค้าน ส่วนจำเลยทั้งห้าไม่ประสงค์ตามประเด็นไปด้วย
จากนั้น โจทก์แถลงต่อศาลว่า คดีนี้หากพิจารณาโดยเปิดเผยจะกระทบต่อความสงบเรียบร้อย จึงขออนุญาตให้พิจารณาลับทั้งคดี ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นสมควรอนุญาตให้ทำการพิจารณาลับทั้งคดี อนุญาตให้เฉพาะโจทก์ จำเลยทั้งห้า ทนายจำเลย พนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และพนักงานรักษาความสงบอยู่ในห้องพิจารณาคดีเท่านั้น
ทั้งนี้ ในนัดหน้า โจทก์แถลงขอสืบพยานโจทก์ปากที่ 1 คือ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง ในวันที่ 4 ส.ค.59 เวลา 08.00 น.
คดีนี้ อัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 23 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ และพวกรวม 5 คน เมื่อวันที่ 15 ก.พ.59 ต่อศาลมณฑลทหารบกที่ 23 โดยโจทก์บรรยายฟ้องว่า ระหว่างเดือนสิงหาคม 2557 ถึงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2558 เวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้งห้ากับพวกที่หลบหนี ซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้ร่วมกันสนทนาข้อความที่มีหมิ่นพระมหากษัตริย์ และรัชทายาท จำนวน 3 ข้อความ ต่อหน้าบุคคลผู้มีชื่อ จำนวน 2 คน
ทั้งนี้ ช่วงเวลาเกิดเหตุเป็นช่วงที่จำเลยถูกขังอยู่ในเรือนจำกลางขอนแก่น แต่บางคนอยู่คนละเวลา และคนละแดนกัน ทำให้จำเลยยืนยันปฏิเสธข้อกล่าวหาตามที่โจทก์ฟ้องมานี้
คดีนี้ยังมีข้อกังขาอีกในแง่ที่ว่า ในการแถลงข่าวการจับกุมและออกหมายจับ มีการระบุถึงการเตรียมก่อเหตุรุนแรงในกิจกรรม Bike for Dad และกิจกรรมอื่นๆ อีกทั้งจำเลยถูกควบคุมตัวในค่ายทหารก่อนถูกส่งตัวให้ตำรวจดำเนินคดี จำเลยหลายรายให้ข้อมูลตรงกันว่า การสอบสวนในค่ายทหารพยายามสอบถามความเกี่ยวข้องกับอาวุธ และการวางแผนก่อเหตุรุนแรง แต่จำเลยกลับถูกฟ้องด้วยข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112