วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ทนายแจ้งความ พนง.สอบสวน โต้ผู้ต้องหาอยู่เรือนจำไม่เกี่ยวคดีขอนแก่นโมเดล


ทนายผู้ถูกกล่าวหาคดีขอนแก่นโมเดล เข้าแจ้งความเอาผิดคณะพนักงานสอบสวน ฐานละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ ตาม ป.อาญา ม. 157 แจ้งความเท็จและหมิ่นประมาท หลังพบว่ามีการออกหมายจับที่ไม่ชอบด้วยกฏหมาย ระบุผู้ถูกกล่าวหาอยู่ในเรือนจำไม่สามารถพบปะหรือวางแผนร่วมกับบุคคลภายนอกได้

 
เบญจรัตน์ มีเทียน ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากนายธนกฤต ทองเงินเพิ่ม 1 ใน 9 ผู้ต้องหาคดีขอนแก่นโมเดล เข้าแจ้งความความเอาผิดคณะพนักงานสอบสวนคดีขอนแก่นโมเดล (ที่มาภาพ: สำนักข่าวไทย)
 
29 พ.ย. 2558 สำนักข่าวไทยรายงานว่า นางเบญจรัตน์ มีเทียน ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากนายธนกฤต ทองเงินเพิ่ม 1 ใน 9 ผู้ต้องหาคดีขอนแก่นโมเดล ที่ตำรวจออกหมายจับล่าสุด เนื่องจากพบหลักฐานเตรียมก่อเหตุความวุ่นวายช่วงกิจกรรมสำคัญ และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นำพยานหลักฐานซึ่งเป็นภาพถ่ายและเอกสารรับรองจากเรือนจำจังหวัดขอนแก่น เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อเอาผิดกับพลตรีวิจารณ์ จดแตง ฝ่ายกฎหมาย คสช. และพลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะพนักงานสอบสวนคดีนี้ทั้งหมด ในความผิดฐานละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ความผิดฐานแจ้งความเท็จ และข้อหาหมิ่นประมาท
 
นางเบญจรัตน์ ยืนยันว่านายธนกฤต รับโทษอยู่ในเรือนจำจังหวัดขอนแก่น ตั้งแต่ปี 2557 ในความผิดเกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2557 และขณะนี้รับโทษในความผิดฐานปลอมแปลงเอกสาร จึงเป็นไปไม่ได้ที่นายธนกฤตจะกระทำผิด ตามที่ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาและยืนยันว่า การควบคุมตัวนายธนกฤตภายในเรือนจำจังหวัดขอนแก่น มีความเข้มงวด ไม่สามารถพบปะหรือวางแผนร่วมกับบุคคลภายนอกได้ โดยหลังจากที่นายธนกฤตทราบข่าว ว่าถูกออกหมายจับเพิ่มเติม จึงมอบหมายให้มาแจ้งความเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ
 
ด้านพนักงานสอบสวน ได้รับเรื่องไว้ก่อนเสนอผู้บังคับบัญชาดำเนินการต่อไป

ตำรวจเตรียมเปิดตัวคนโพสต์ป่วนบ้านเมืองพรุ่งนี้ ชี้คนละกลุ่มกับขอนแก่นโมเดล

เปิดตัวละครลับกลุ่มใหม่ เมื่อตำรวจเตรียมนำตัวคนโพสต์ข้อความ ยุยง ปลุกปั่นสร้างความวุ่นวายในบ้านเมืองแถลงข่าวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติพรุ่งนี้ (30 พ.ย.) ระบุกลุ่มบุคคลนี้เป็นคนละกลุ่มกับผู้ต้องหาคดีขอนแก่นโมเดล
 
30 พ.ย. 2558 สำนักข่าวไทยรายงานว่าพลตำรวจเอกเดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งให้พลตำรวจตรีอัคราเดช พิมลศรี ผู้บังคับการกองปราบปรามไปช่วยราชการศูนย์ปฎิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ศปก.ตร. นั้น ส่วนตัวเชื่อว่า พลตำรวจตรีอัคราเดช เป็นคนมีความรู้ความสามารถจึงทำให้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต้องการมอบหมายภารกิจที่เหมาะสมให้ แต่ไม่ขอแสดงความเห็นถูกโยกย้ายเพราะปล่อยปละละเลยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าไปเกี่ยวข้อง กับขบวนนการแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงหาผลประโยชน์หรือไม่
 
ส่วนกรณีที่กระทรวงหลาโหม ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงการทุจริตก่อสร้างโครงการอุทยานราชภักดิ์ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยินดีที่จะให้ข้อมูลหากประสานงานผ่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพราะเชื่อว่าพนักงานสอบสวนมีข้อมูลบางส่วน
 
โฆษกสำนักงานตำรวจยังกล่าวถึง การออกหมายจับ นายธนกฤต ทองเงินเพิ่ม 1 ใน 9 ผู้ต้องหา คดีขอนแก่นโมเดล ล่าสุด ว่าเป็นไปตามพยานหลักฐานที่ศาลทหารกรุงเทพ ออกหมายจับ ส่วนรายละเอียดทางคดี ต้องพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบเป็นคนชี้แจงเท่านั้น ส่วนการที่ทนายความของนายธนกฤต เข้าแจ้งความเอาผิด กับคณะพนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบคดีทุกนาย ก็เป็นสิทธิของผู้ต้องหาที่สามารถทำได้  ซึ่งต้องนำข้อมูลกลับไปตรวจสอบรายละเอียดตามคำฟ้องว่ามีข้อเท็จจริงอย่างไร
 
โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังเปิดเผยว่าวันพรุ่งนี้ จะควบคุมตัวบุคคลที่โพสต์ข้อความ ยุยง ปลุกปั่น สร้างความวุ่นวายในบ้านเมืองมาแถลงข่าว โดยกลุ่มบุคคลนี้เป็นคนละกลุ่มกับผู้ต้องหาคดีขอนแก่นโมเดล

คุก 2 ปีไม่รอลงอาญา คุณหญิงจารุวรรณจัดสัมมนาแฝงไปงานกฐิน ประกันตัว 2 แสน สู้อุทธรณ์ต่อ


ศาลอาญา พิพากษา จำคุก 2 ปี คุณหญิงจารุวรรณ-คัมภีร์ ฐานผิด ม.157 และ ม. 83 กรณีจัดสัมมนาเท็จ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว วางเงินคนละ 2 แสน
30 พ.ย. 2558 ที่ห้องพิจารณา 908 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.3597/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 5 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อายุ 69 ปี อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และนายคัมภีร์ สมใจ อายุ 69 ปี อดีต ผอ.สำนักงานบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคล สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าทีโดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 83
ตามฟ้องโจทก์ เมื่อวันที่ 30 ต.ค. 57 บรรยายพฤติการณ์ความผิดจำเลย สรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 ส.ค. - 31 ต.ค. 46 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันสมรู้ร่วมคิดปฏิบัติหน้าที่มิชอบ และทุจริตด้วยการให้นายคัมภีร์ จำเลยที่ 2 ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานกรรมการ และคณะอนุกรรมการดำเนินการถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน พ.ศ. 2546 ตามคำสั่งของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ที่ 102/46 ลงวันที่ 1 ส.ค. 46 รวมทั้งทำเรื่องเสนอคุณหญิงจารุวรรณ จำเลยที่ 1 เพื่ออนุมัติโครงการสัมมนาเรื่อง “สตง.ในความคิดเห็นของสมาชิกวุฒิสภา” วันที่ 31 ต.ค. 46 ที่โรงแรมซิตี้ ปาร์ค อ.เมือง จ.น่าน ทั้งที่จำเลยทั้งสองทราบดีว่าวันดังกล่าว สตง.มีการจัดถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดพญาภู และวัดพระธาตุช้างดำวรวิหาร อ.เมือง จ.น่าน แต่จำเลยทั้งสองกลับจัดสัมมนาในช่วงวันดังกล่าว และให้บุคคลที่จะถวายผ้าพระกฐิน รวมทั้งวางแผนนำรายชื่อเจ้าหน้าที่ สตง.ที่เข้าร่วมถวายผ้าพระกฐินมีรายชื่อเป็นผู้เข้าร่วมสัมมนารวมอยู่ด้วย โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายการเดินทาง และค่าที่พักในการถวายผ้าพระกฐิน อันเป็นการใช้จ่ายเงินงบประมาณโดยไม่มีสิทธิเบิกจ่ายโดยชอบด้วยกฎหมาย ในส่วนของการจัดสัมมนาก็ไม่มีการจัดสัมมนาอย่างแท้จริง ทั้งนี้เพื่อเป็นการอำพรางนำเงินงบประมาณจำนวน 294,440 บาท มาเพื่อประโยชน์ของตนเองและผู้อื่นโดยทุจริตเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ ต่อมาปี 2547 นายพีรไสว รัตนเอกวาปี รองผู้ว่าฯ น่าน ได้มีหนังสือกล่าวโทษจำเลยทั้งสองต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งทำการไต่สวน และแจ้งข้อกล่าวหา จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลพิจารณาจากคำไต่สวนแล้ว คำให้การของรองอธิบดีกรมบัญชีกลางแล้ว เห็นว่า ความหมายของการสัมมนา ตามระเบียบ ข้อบังคับของกระทรวงการคลังในการเบิกจ่ายเงินของส่วนราชการ ระบุไว้ว่า การสัมมนา ต้องมีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ วัน-เวลา สถานที่แน่นอนในการจัดสัมมนา, บุคลากรที่เข้าร่วม และต้องเป็นการระดมความเห็น หรือการแลกเปลี่ยนความเห็นเพื่อเพิ่มประสิทธิในการพัฒนางาน แต่จากการคำให้การของพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ สตง.หลายปากในชั้นอนุฯ ไต่สวนของ ป.ป.ช. ที่เข้าร่วมสัมมนาให้การสอดคล้องกันรับฟังได้ว่า ในช่วงของการสัมมนาไม่ได้จัดที่โรงแรมซิตี้ปาร์ค และไม่มีหัวข้อการสัมมนา รวมทั้งไม่มีการแจกเอกสารประกอบการสัมมนา ขณะที่การมาบรรยายของ ส.ว.น่าน ขณะนั้นไม่ได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นตามหัวข้อที่จัดไว้ ซึ่งโต๊ะที่จัดไว้ก็เป็นโต๊ะกลมเก้าอี้หันหน้าเข้าหากันมีลักษณะคล้ายโต๊ะจีน และระหว่างงานมีการรับประทาน อาหารส่งเสียงดัง ไม่อาจจับใจความที่มีการบรรยายได้ ซึ่งข้อเท็จจริงก็พบว่า ก่อนถึงวันจัดสัมมนาในวันที่ 31 ต.ค.46 ได้มีการเปลี่ยนสถานที่จัดสัมมนาไปเป็นที่ สโมสรสันติภาพ 2 ที่อยู่ในหมู่บ้านจัดสรร เป็นอาคาร 2 ชั้น ชั้นบนสำหรับผู้บริหาร ชั้นล่างสำหรับผู้ร่วมสัมมนา โดยมีเพียงป้ายข้อความต้อนรับจำเลยที่ 1 แต่ไม่มีข้อความระบุหัวข้อหลักสูตร ซึ่งสอดคล้องกับคำให้การของเจ้าหน้าที่โรงแรมซิติปาร์ค ที่ยืนยันว่า ก่อนถึงวันสัมมนา 3 วัน มีเจ้าหน้าที่ สตง.แต่ไม่ทราบว่าเป็นใคร ได้โทรศัพท์มายกเลิกกี่จัดงาน ขณะนั้นโรงแรมยังไม่ได้จัดเตรียมเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม จึงได้คิดค่าใช้จ่ายเฉพาะป้ายที่ทำไว้แล้ว 300 บาท
ขณะที่เดือน พ.ย. 46 ก็พบว่าจำเลยที่ 2 ได้มีการเสนอโครงการสัมมนาลักษณะเดียวกันกับที่จัดไปแล้วเมื่อวันที่ 31 ต.ค. 46 จึงเชื่อได้ว่า จำเลยไม่ได้มีเจตนาจัดสัมมนาตั้งแต่ต้น แต่เกิดจากการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่จำเลยทั้งสองกลัวว่าจะมีผู้เข้าร่วมน้อย จึงได้จัดสัมมนาวันเดียวกัน ส่วนการที่ ส.ว.น่าน มาร่วมงานสัมมนาก็เป็นการบรรยายพิเศษเพียงคนเดียว ไม่ใช่การระดมความเห็นตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริง ซึ่งหากจะเป็นการบรรยายลักษณะดังกล่าวก็ไม่จำต้องนำคนจำนวนมากเดินทางมา และเวลาการสัมมนา ยังคลาดเคลื่อนจากที่ระบุไว้กำหนดการจากเวลา 08.30-16.30 น. เป็นช่วงเวลา 15.45-19.00 น. ส่วนที่จำเลยต่อสู้ว่า การเปลี่ยนสถานที่เป็นการแก้ไขเฉพาะหน้า ซึ่ง ส.ว.น่าน เดินทางมาร่วมถวายกฐินล่าช้า และมีการแจกทุนการศึกษา โดยสถานที่ที่จัดเป็นความมีน้ำใจของ ส.ว.น่าน ช่วยจัดหา
ศาลเห็นว่า ในการเปลี่ยนแปลงสถานที่นั้น มีการแจ้งยกเลิกกับทางโรงแรมล่วงหน้าก่อนแล้ว 3 วัน และตามขั้นตอนในการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์และสถานที่การจัดสัมมนาก็จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้มีอำนาจ ดังนั้นจึงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองย่อมเล็งเห็นตั้งแต่ต้นว่าไม่สามารถจัดงานถวายผ้ากฐิน ในวัน-เวลาเดียวกันได้ และจากคำให้การพยานบางปากทราบว่า ผู้ร่วมสัมมนาได้มีการจัดเตรียมชุดขาวไปร่วมงานถวายผ้ากฐินด้วย จึงเห็นได้ว่า การจัดสัมมนานั้นเป็นเท็จ เพราะมีวัตถุประสงค์ให้เดินทางไปร่วมงานถวายผ้ากฐินเป็นหลัก ทำให้ผู้ที่ร่วมงานกฐินบางส่วนที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง ได้สิทธิเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปร่วม เพราะมีชื่อเป็นผู้ร่วมงานสัมมนาด้วย ทั้งที่ไม่มีสิทธิเบิกจ่ายแต่ต้น ทำให้ สตง.เสียหายเป็นเงิน 294,440 บาท การกระทำของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 จึงพิพากษาให้จำคุก คุณหญิงจารุวรรณ จำเลยที่ 1 และนายคัมภีร์ จำเลยที่ 2 คนละ 2 ปี
ภายหลัง คุณหญิงจารุวรรณ และนายคัมภีร์ ได้ยื่นสมุดบัญชีเงินฝากคนละ 2 แสน ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี ซึ่งอยู่ระหว่างศาลพิจารณาว่าจะให้ประกันหรือไม่ ขณะที่คุณหญิงจารุวรรณกล่าวว่า ตนได้ตั้งข้อสังเกตว่าที่มีการมาร้องตนในคดีนี้ เพราะมีใครบางคนถูกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเข้าไปตรวจสอบจึงเป็นที่มาการร้องคดีนี้ เรื่องนี้ตนยังไม่อยากพูดมากในตอนนี้ ที่ผ่านมาตนหาเงินให้ประเทศเป็นแสนล้านบาท คิดว่าเงินแค่ 2 แสนกว่าบาทตนจะโกงหรือไม่ ทั้งนี้ ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวเพื่อต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ ส่วนจะยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดีประเด็นไหนนั้นขอปรึกษาทางทนายความ
ล่าสุดมีรายงานว่าคุณหญิงจารุวรรณได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างสู้คดีในชั้นอุทธรณ์แล้ว โดยใช้หลักทรัพย์มูลค่า 2 แสนบาทในการประกันตัว

ประวิตรติงทูตสหรัฐฯคิดให้ดีก่อนพูด ม.112 ยันดำเนินการทุกอย่างโดยเคารพสิทธิมนุษยชน


30 พ.ย. 2558 จากกรณีเมื่อวันที่ 26 พ.ย. ที่ผ่านมา นายกลิน ที. เดวีส์  ได้แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ ณ เวทีเสวนาที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศในกรุงเทพฯ ขณะที่การดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพุ่งสูงขึ้น ภายใต้ปกครองของคณะรัฐประหาร โดยนายกลิน ที. เดวีส์  เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งได้ราวๆ 9 สัปดาห์ ย้ำว่ารัฐบาลสหรัฐฯ มีความเคารพอย่างยิ่งและรู้สึกชื่นชมพระมหากษัตริย์ไทย แต่ก็อ้างถึงสิทธิการแสดงความคิดเห็นอย่างอิสรเสรี “เราเชื่อว่าไม่ควรมีใครควรถูกจำคุกต่อการแสดงมุมมองอย่างสันติ และเราสนับสนุนอย่างหนักแน่นต่อความสามารถของบุคคลหรือองค์กรอิสระใดๆ ในการค้นคว้าวิจัยและรายงานประเด็นสำคัญๆ โดยปราศจากความกลัวว่าจะถูกแก้แค้น” (อ่านรายละเอียด)
ล่าสุดวันนี้ (30 พ.ย.58) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึง กรณีดังกล่าวว่า นายกลินก็ต้องคิดเวลาพูดอะไรออกมา เพราะทางไทยก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่ารัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พยายามดำเนินการทุกอย่างโดยเคารพสิทธิมนุษยชน ตนคิดว่าคงไม่มีรัฐบาลใดที่ยึดอำนาจมาแล้วจะให้เรื่องสิทธิมนุษยชนได้ถึงขนาดนี้ เราก็ปล่อยทุกอย่าง
“ไม่มีรัฐบาลไหน ที่ยึดอำนาจมา แล้วปล่อยให้มีการแสดงความเห็นอย่างเสรี เช่นปัจจุบัน ขณะนี้ รัฐบาลพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด และพยายามทำให้ประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่ถาวร แต่ขอให้รอ เพราะตอนนี้ต้องแก้ปัญหาหลายด้าน  เพื่อวางรากฐานให้ประเทศ  ทุกอย่างยังเดินตามโรดแมป และจะมีการเลือกตั้งอย่างแน่นอน” พล.อ.ประวิตร กล่าว
“ผมยืนยันว่าประเทศในอาเซียน ไทยไม่ด้อยไปกว่าใคร เพราะคนไทย 60-70 ล้านคน มันใช้ได้เลย รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติที่มี และคนที่มีอยู่ในขณะนี้เก่งมาก เพียงแต่อย่ามีเรื่องมารบกวนและอย่าไปเล่นการเมืองกันมาก อย่างไรก็ตามยืนยันว่ามีเลือกตั้งเกิดขึ้นแน่นอน เพราะเราเดินตามโรดแมป แต่ถ้าไปไม่ได้จริงๆ จะทำอย่างไร หากสถานการณ์เป็นแบบนี้พอไปได้ก็ไป” พล.อ.ประวิตร กล่าว

(คลิป) ทหารรวบ ‘จตุพร-ณัฐวุฒิ’ ก่อนเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์


30 พ.ย. 2558 เมื่อเวลาประมาณ 10.30 น. จตุพร พรหมพันธุ์ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ถุกเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัว กลางตลาดมหาชัย จ.สมุทรสาคร ท่ามกลางสื่อมวลชนที่รอทำข่าว และประชาชน ระหว่างแถลงข่าวก่อนเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์
คลิปจากเพจ Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์
โดยตั้งแต่ช่วงสายที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจ ตรึงกำลังบริเวณโดยรอบตลาดมหาชัย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นขบวนของ จตุพรและณัฐวุฒิ  ที่จะเดินทางเข้าไปตรวจสอบการทุจริตก่อสร้างโครงการอุทยานราชภักดิ์
ทั้งนี้ตั้งแต่มีการประกาศของทั้ง 2 แกนนำ นปช. ที่จะไปอุทยานราชภักดิ์ ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารมาอยู่บริเวณบ้านพักของณัฐวุฒิ
“รถทหาร 4 คันมาที่บ้าน ตอนนี้ก็ยังวางกำลังอยู่ ริมถนนหน้าหมู่บ้าน 4 คน ป้อมยาม 8 คน ศาลพระภูมิ 6 คน จอดรถหน้าบ้าน 1 คัน ทำไมท่านใช้อำนาจกันแบบนี้ ให้รู้กันไปว่าการถามหาความจริงต้องมีอันตราย ผมยืนยันนะครับ จะเอายังไงกับผมก็เอา แต่ผมจะไปอุทยานราชภักดิ์” ณัฐวุฒิ กล่าว วานนี้(29 พ.ย.58)

โตๆ กันแล้ว ‘ประวิตร’ บอก นปช. ไม่ควรไปราชภักดิ์ โยน อุดมเดช คิดเองลาออกหรือไม่

30 พ.ย.2558 ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ประกาศรวมพล เดินทางไปชมอุทยานราชภักดิ์ ว่า บอกคำเดียวว่าไม่ควรไป เพราะ ทั้งสองคนก็คงคิดได้ เรื่องนี้กระทรวงกลาโหมได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนชุดใหม่เข้ามาสอบสวนแล้ว
ส่วนกระแสกดดัน ให้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รับผิดชอบความเสียหาย จากการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ ด้วยการลาออก ว่า ต้องให้ พล.อ.อุดมเดช คิดเองว่าควรลาออกหรือไม่ เพราะเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ต้องส่งสัญญาณใดๆ ขณะที่การพูดคุยกันก่อนหน้านี้ มีแต่เรื่องงานเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อเวลาประมาณ 10.30 น. ที่ผ่านมา จตุพร และ ณัฐวุฒิ แกนนำ นปช. ถูกเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัว กลางตลาดมหาชัย จ.สมุทรสาคร ท่ามกลางสื่อมวลชนที่รอทำข่าว และประชาชน ระหว่างแถลงข่าวก่อนเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์