วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

หมอเหวง..ท้าประยุทธ + ไก่อู...ที่ไหนก็ได้...!!!

หมอเหวง..ท้าประยุทธ + ไก่อู...ที่ไหนก็ได้...!!! 
             สำนักข่าวเนชั่น - “เหวง” จี้ “ผบ.ทบ.” กล้าเถียงหรือไม่ “กองทัพ” มีกระสุนจริง เอ็ม16 มากกว่า 6 ชนิด ชี้ “กระสุนปลอม” ต้องมีปลอกหุ้มสีส้มที่ด้าม-ยิงได้ทีละนัด ลั่น พร้อมคุย “ประยุทธ์” ถาม 2 พลแม่นปืนใคร(****)ให้มาโกหก แฉกองทัพใช้กระสุนเอ็ม16ทั้งหมด 6ชนิด

            เพื่อไทย - 31 ส.ค. 2555 - น.พ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง กล่าวถึงคำให้การของ ส.อ.คชารัตน์ เนียมรอด พลแม่นปืน สังกัดกองพันทหารม้าที่ 5รักษาพระองค์(ม.พัน5รอ.) และ ส.อ.ศฤงคาร ทวีชีพ อดีตทหาร ม.พัน 5รอ. พลแม่นปืนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ระบุว่าใช้กระสุนซ้อมยิงขู่กลุ่มผู้ชุมนุม บริเวณพระราม 4หรือบ่อนไก่ ซอยงามดูพลี ไม่เกี่ยวข้องกับการบาดเจ็บและเสียชีวิตของกลุ่มเสื้อแดงว่า กระสุนปลอมหรือกระสุนยางของกองทัพ จะต้องใช้ปลอกสีส้มหุ้ม แต่ในคลิปที่ปรากฎออกมากลับไม่มี

            “ขอถามไปยังทหารทั้ง 2นายว่ามีใคร(****)ให้พูดหรือไม่ คิดว่าคนไทยโง่หรือถึงพูดแบบนี้ และถ้าเป็นกระสุนปลอมจะต้องใส่ทีละนัด แต่ในคลิปมันแสดงให้เห็นชัดๆ ว่ายิงรัว และมีทหารพูดอีกด้วยว่าล้มแล้วๆ แสดงให้เห็นว่าที่ไปให้การกับดีเอสไอนั้นไม่จริง อยากให้พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.และ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ออกมาพูดความจริงได้แล้ว ขอให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงในกองทัพ อย่าทำลายกองทัพด้วยการโกหก” น.พ.เหวง กล่าว

             ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.เหวง ได้นำภาพกระสุนจริง ของปืนเอ็ม 16 ที่อ้างว่ากองทัพมีเพียง 6 ชนิดเท่านั้นมาแสดงต่อผู้สื่อข่าวด้วย พร้อมระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ กล้าเถียงหรือไม่ว่ากองทัพมีกระสุนจริงของปืนเอ็ม16 มากกว่า 6 ชนิด และหากมีการใช้กระสุนปลอมบรรจุในปืนเอ็ม 16 จะต้องมีปลอกหุ้มสีส้มที่ด้ามปืน และบรรจุได้ทีละนัดเท่านั้น ตนพร้อมที่จะไปพูดคุยกับพล.อ.ประยุทธ์ ที่ไหนก็ได้ ขอให้บอกมา

/////////////////////////////

             จะคอยดู แบบตาไม่กระพริบ...ว่าชายชาติทหาร...กับ...หมอ...ใครจะแมนกว่ากัน...ใครจะมี ค​วามกล้าและพูดความจริง...อย่าคิดว่าอยู่ในตอแหลแลนด์แล้ว...จะโกหก ตอแหล หลอกลวง ยังไงก็ได้ "รับคำท้าเค้าซะซิ"เพื่อปลดแอกความเป็นลูกผู้ชายในตัวหน่อยยยย....

ตะหานไทยใช้ M16 ยิงนก ผู้ก่อการร้ายไทย ใช้หนังสติ๊ก


รายงานพิเศษ เปิดหลักฐานสไนเปอร์ยิงแดง

 

ดอกไม้ให้คุณ

รายงานพิเศษ ปฐมเหตุเสื้อแดงมอบดอกไม้จันทน์ให้อมรา



ประเทศไทยไม่พร้อม

วาทกรรม “ประเทศไทยไม่พร้อมสำหรับ…” กับดักทางความคิดที่อันตราย


โดย : พิเชฐ ยิ่งเกียรติคุณ

เครือข่ายพลังลบ http://www.facebook.com/negativenetwork

            มีเรื่องเล่าว่าเมื่อสิงคโปร์ ไม่ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐมาเลเซีย ประชาชนในประเทศวิตกกันเป็นอย่างมาก ประเทศเกาะเล็กๆที่ไม่มีแม้กระทั่งน้ำจืดจะอยู่ได้อย่างไร? หลังจากนั้นประชาชนเขาจึงเริ่มนับหนึ่งด้วยความ “ไม่พร้อม”ไปด้วยกัน
             ย้อนกลับมาประเทศไทยเคยมีคนบางส่วนบอกว่าไม่ควรเป็นประชาธิปไตย เพราะประชาชน “ไม่พร้อมที่จะปกครองตัวเอง” อำนาจเลยถูกรวมอยู่ในศูนย์กลางและเมื่ออำนาจถูกกระจายไปสู่มือประชาชน กลุ่มคนที่เคยถือครองอำนาจก็บอกว่าประชาชนไม่พร้อมที่จะปกครองตัวเอง ยังไม่ได้รับการศึกษาเรื่องประชาธิปไตย น่าสงสัยว่าก่อนหน้านั้นที่ปกครองด้วยสมบูรณญาสิทธิราชย์นั้น ได้มีการปูพื้นฐานความรู้ให้กับไพร่ (ที่กลายมาเป็นราษฎร) ให้พร้อมกับการปกครองแบบใหม่รึเปล่า หรือเพียงอาศัยคำว่าไม่พร้อมเพื่อจะปกครองกันในระบอบเก่า
           หันไปดูรอบๆกรุงเทพฯในเวลานี้หลายๆจุดเพิ่งเริ่มสร้างรถไฟฟ้าระบบรางทั้งบนดินและใต้ดิน ซึ่งเป็นสิ่งที่นานาชาติแนะนำให้ไทยควรลงทุนกับโครงสร้างขั้นพื้นฐานโดยเฉพาะระบบขนส่งสาธารณะตั้งแต่สมัย พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ที่อุตสาหกรรมแซงหน้าภาคการเกษตรในการส่งออกแล้ว แต่ตอนนั้นก็ไม่กล้าลงทุนและรักษาวินัยการคลังด้วยเหตุผล “ไม่พร้อมที่จะลงทุนในโครงการขนาดใหญ่”
             นั่งฟังส.ส.พรรคภูมิใจไทยคนหนึ่งอภิปรายว่าไม่ควรแจก แท็บเล็ต พีซี ให้กับเด็กกลัวเด็กจะเอาไปเล่นการพนัน เด็ก”ไม่พร้อมที่จะดูแลตัวเอง” ขอถามว่าก่อนที่จะมีแท็บเล็ต ในสมัยเด็กๆใครบ้างไม่เคยเล่นไพ่ เล่นปั่นแปะ เล่นทอยเส้น หรือ จับสลาก แทนที่จะคิดว่าเราจะให้ความรู้ควบคู่กับการแจกแท็บเล็ตได้อย่างไร?
             เปลี่ยนช่องไปก็เจอนักวิชาการพูดว่า เรา “ไม่พร้อมที่จะยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน” ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับการที่จะงดการเก็บ เพราะเวลาเราเก็บแล้วไปอุ้มตอนน้ำมันแพง แล้วเราใช้น้ำมันถูกกว่าความเป็นจริงเราก้มยังคงก้มหน้าตะบี้ตะบันใช้ แทนที่จะเอาเงินที่อุดหนุนไปส่งเสริมการวิจัยพลังงานทดแทนหรือมีความชัดเจนด้านนโยบายพลังงานว่าจะส่งเสิรมอะไรกันแน่เปลี่ยนไปเปลี่ยน เอทานอล ไบโอดีเซล ฯลฯ
            กลุ่มนายจ้างรวมตัวกันบอกว่า “ไม่พร้อมที่จะขึ้นค่าแรง 300 บาท” เพราะว่าจะทำให้นักลงทุนต่างชาติย้ายฐานการผลิตและจะทำให้นักลงทุนไทยตาย ซึ่งถ้าหากมองย้อนกลับไปไทยเริ่มแข่งขันในตลาดโลกด้วยการส่งออกปี 2518 ตามคำแนะนำของ โรเบิร์ต แมคนามาร่า จากธนาคารโลกโดยให้มุ่งเน้นการส่งออก พร้อมกับอินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ เราแข่งด้วยการกดค่าแรงกับเขา จนตอนนี้เขาไปสร้างนวัตกรรมและมูลค่าเพิ่มทางสินค้าจนตอนนี้เราไปแข่งกับ เวียดนาม ถามว่าเราจะพร้อมแข่งเรื่องประสิทธิภาพการผลิตเมื่อไหร่? แล้วจะกดค่าแรงไปถึงไหน?
             รัฐวิสาหกิจเช่น การรถไฟ และ ขสมก.ก็บอกว่าหน้าที่ของพวกเขาคือต้องแบกรับความขาดทุนเพื่อที่ประชาชนจะได้สบาย เพราะ”ประชาชนไม่พร้อมที่จะเสียเงินแพง” ดังนั้นต้องให้สหภาพดูแลผลประโยชน์ แต่สิ่งที่ไม่เคยบอก เช่น ที่ดินรถไฟทำกำไรไปมากมายเงินไปไหน? ทำไมระบบขนส่งมวลชนในประเทศอื่นเขาถึงบริหารได้กำไรได้ แล้วทำไมเราถึงบริหารขาดทุน? หรือ จริงๆเงินที่ไปชดเชยการขาดทุนก็มาจากภาษีประชาชนที่รัฐจ่ายเคยบอกกันไหม?
              กระทรวงวัฒนธรรม บอกว่าประเทศไทยนั้นยัง “ไม่พร้อมที่จะรับวัฒนธรรมที่เปิดกว้าง” ดังนั้นจึงควรอยู่ในกรอบศีลธรรมอันดีงาม เราลืมไปหรือเปล่าว่าเรื่องลามกทะลึ่งหยาบโลน มีอยู่ในศิลปะเพลงพื้นบ้านของไทยมาช้านาน เราหลับตาข้างหนึ่งรึเปล่าที่ไม่รับรู้ว่า เรื่องกระเทย เรื่องตำรวจคอร์รัปชั่น เรื่องท้องก่อนวัยอันควร เรื่องโสเภณี เรื่องพระทำผิดศีล มีอยู่จริงในสังคมไทย? เราเลยพร้อมใจรับไม่ได้ที่มันถูกสะท้อนออกมาในศิลปะ กรอบศีลธรรมอันดีงามแท้จริงเราก้าวพ้นศิลปะแบบวัดๆวังๆ ซึ่งเป็นของประชาชนกลุ่มน้อยนิดในสังคมที่คนส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านหรือยัง? เราจึงได้แต่ดูหนังวนเวียนเรื่อง วีรกรรมบูรพกษัตริย์ และ คนๆโขนๆ
              เรายังคงเป็นเมืองกึ่งพุทธกึ่งผีกึ่งพราหมณ์ และเราก็ยังหลงเชื่อว่าสิ่งที่เราเชื่อนั้นเป็นวิทยาศาสตร์ เราตามอ่านทวิตเตอร์ของพระเซเลบฯ ไปปฏิบัติธรรมกับแม่ชีเซเลบฯ(ที่เปิดตัวเครื่องสำอางค์ในสำนักปฏิบัติธรรม) เพราะใครๆเขาก็ทำกันและทำแล้วรู้สึกดี แต่เราลืมไปว่าการนั่งสมาธิหรือการตามอ่านทวิตเตอร์พระแล้วคิดว่าเป็นการทำดี ซึ่งเรายังแยกกันไม่ออกว่าการทำดี กับการเจริญสมาธิเป็นคนละส่วนกัน โดย “ไม่พร้อมที่จะตั้งคำถามถึงความถูกต้องของหลักคำสอน”ที่ถูกบอกต่อๆนั้น มันก็ขัดกับหลักกาลามสูตร เป็นเมืองพุทธที่ยังกราบหมาสามขา วัวสองหัว โอ้!ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
              ประเทศไทย อาจยัง”ไม่พร้อมสำหรับเทคโนโลยี 3G” เมื่อโครงข่ายแพร่หลายข้อมูลถูกส่งผ่านได้อย่างรวดเร็ว รัฐไม่สามารถสกัดกั้นเนื้อหาที่ต้องการปิดกั้นได้หมด หรือแม้กระทั่งเรื่องการสัมปทาน ประเทศ “ยังไม่พร้อมกับการแข่งขันเสรีที่โปร่งใส” เลยยังต้องนิยมกับการสัมปทานผูกขาดแบบเสือนอนกิน ของ TOT และ CAT ต่อไป เพราะทั้งสองเจ้าอยากจะปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ หรือ เป็นห่วงขุมทรัพย์มหาศาลกันรึ?
              ประชาชนบางส่วนก็ดูเหมือนจะ “ไม่พร้อมจะรับผิดชอบทางการเมือง” เหมือนว่าพอเลือกตั้งเสร็จหน้าที่ของเราก็จบแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ก็แล้วแต่บุญทำกรรมแต่ง ไม่พร้อมจะติดตามนโยบาย ตรวจสอบ และมีส่วนร่วมทางการเมือง เอ้า!!ก็ไทยนี่มันรักสงบนี่นา อยู่เฉยๆสบายกว่ากันเยอะ พอนักการเมืองทำอะไรไม่ดีไม่ถูกใจ เราก็ได้แต่บ่นกันว่า “นักการเมืองเลว”
              ความไม่พร้อมทำให้เราต้องวิ่งหา “ผู้ใหญ่ใจดี” และยกอำนาจในการตัดสินใจให้กับเขาเชื่อฟังโดยว่าง่าย ห้ามเถียง ห้ามสงสัยในความหวังดีของท่าน เราจะเติบโตกันอย่างไร หากไม่พร้อมที่จะเสี่ยงอะไรเลย ไม่พร้อมแม้จะตั้งคำถามกับสิ่งรอบๆตัว แล้วมีคนคิดแทนให้หมดทุกเรื่องได้หรือ?
           แทนที่เราจะเป็นเหมือนเด็กหัดขี่จักรยาน ที่แรกเริ่มก็ต้องมีการล้มลุกคลุกคลาน หัดแล้วหัดอีก ผู้ใหญ่ก็แทนที่จะให้กำลังใจและประคับประคอง แต่กับซ้ำเติมแล้วก็พร่ำบ่นว่า “เห็นไหมผมอาบน้ำร้อนมาก่อนคุณ”
           “ไม่มีใครเกิดมาดีพร้อม” คำนี้เห็นจะจริงแต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เรากล้าที่จะออกตัวหรือไม่? บางครั้งก็แอบตั้งคำถามว่า “เราจะเข้าเส้นชัยได้อย่างไร โดยที่ไม่ได้ออกตัว?” มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ขอไว้อาลัยแก่ประเทศที่ไม่เคยพร้อมอะไร แต่ทรนงตัวว่าเราจะเป็นผู้นำ คนไทยตั้งใจทำอะไรไม่แพ้ชาติใดในโลก(ถ้าเราพร้อม!!) หรือสิ่งเดียวที่เราไม่พร้อมก็คือ “เราไม่พร้อมที่จะรับความจริง” กันแน่!!

ใครอยากปฏิวัติ เอ้า เร่เข้ามา เร่เข้ามา

"ทักษิณ" ส่งสัญญาณจาก "ฮ่องกง" หากอยากปฏิวัติ...ก็ปฏิวัติสิ!
พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ VoiceTV
         go6TV (วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๕) - อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร  ให้สำภาษณ์พิเศษในรายการ Hot Topic กับธีระ รัตนเสวี  โดยท่านอดีตนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงโครงการต่างๆ ของรัฐบาลตลอด ๑ ปี ว่ามีมุมมองอย่างไร คิดอย่างไร และหากมีรัฐประหารอีก จะทำอย่างไร  ดังรายละเอียดดังนี้

“๑ ปี ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ”

โครงการจำนำข้าว
การจำนำข้าว  ชาวนาได้เต็ม  แต่การประกัน คือเอาเงินไปให้พ่อค้า  หากใครทุจริตฟ้องเลย ผิดให้ถึงที่สุด ชาวนาได้เงินเต็มที่ หมื่นห้าหรือน้อยกว่านิดหน่อย แต่ประกันจะได้แค่เจ็ดพัน แต่พ่อค้ารวย เราต้องคิดปรัชญาว่า อยากให้ไทยผลิตข้าวขายอันดับ๑ ไหม

วันนี้ ราคาข้าวกำลังแพง เพราะอินเดียวนาล่ม ราคาข้าว ๔๐๐เหรียญ แต่วันนี้ ๖๐๐  เราขายข้าวได้ลดลงแต่ได้ราคาแพงขึ้น  สมัยก่อนประกันข้าวนี้  ชาวนาจนแต่พ่อค้ารวย พ่อค้าจึงชอบ
วันนี้เรานิ่งเพราะเรารอขายในราคาดี วันนี้เราไม่ได้รังแกคนส่งออก แต่เราต้องการให้เกษตรกรได้ราคามากขึ้น ไม่ต้องการให้ได้ของถูก เราต้องการขายข้าวราคาแพง ให้เขาวิ่งมาหาเราเพื่อซื้อข้าวคุณภาพดีราคาแพง
เราต้องการยกระดับการเป็นอยู่ประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ยกแค่หัว แต่ชาวนาชาวไร่ เกษตรกร คนยากจนนั้นเป็นส่วนใหญ่ เราต้องยกพวกเขาให้ดีขึ้น พอคนยากจนเลี้ยงตนได้อยู่ได้ทั้งประเทศ ทั้งประเทศเราก็จะยกขึ้น อีกอย่าง การให้เขาสามารถเลี้ยงอาชีพเขา เป็นการ รักษาอาชีพเกษตรกร เราต้องกำหนดราคา ทิศทางราคา เราเป็นผู้ส่งออกอันดับ ๑ แต่กลับกลายเป็นปล่อยให้ประเทศอื่นมาชี้ราคาได้อย่างไร

OTPC แทบเล็ต
แทบเล็ตนั้น  พ่อแม่อายุประมาณ ๓๐-๔๐ ปี ซึ่งวัยเด็กและพ่อแม่จะเป็นวัยที่สามารถใช้แทบเล็ตร่วมกัน  การใช้แทบเลตฟรีไวไฟ สามารถเรียนรู้ โลกทั้งใบ ได้ผ่านแทบเล็ต เด็กสามารถเข้าเนต เข้าโปรแกรมร่วมกับพ่อแม่เพื่อส่งเสริมความรุ้ให้กับเด็ก  แต่ปัญหาวันนี้กลายเป็นคนอายุมากกับคุณครูที่ปรับตัวตามเด็ก ตามโลกไม่ทันที่ออกมาคัดค้าน  วันนี้ หนังสือทั้งหมดบนโลก ถูกทำขึ้นในอินเตอร์เนตหมดแล้ว  เราต้องเข้าไปหาตำราเหล่านี้ หรือ สมัยนี้ครูเก่งๆ ต่างอัดคลิปตัวเองในเนต เราก็ต้องวิ่งเข้าไปหาครูในเนต เราจะรอให้เด็กโง่ไปก่อนไม่ได้ ครูต้องปรับตัวให้ฉลาดพร้อมกับเด็ก เราต้องเอาสิ่งดีๆ ฉลาดๆที่ดีในโลกนี้ มารวมให้กับเด็ก หากจะรอครูให้ฉลาด รอครูให้พร้อม มันคงเป็นไปไม่ได้  ต้องให้ครูและเด็กพัฒนาควบคู่  เราไม่ทันเทคโนโลยี แต่อย่าขัดขวางเด็กไม่ให้เข้าถึงเทคโนโลยี

บ้านหลังแรก รถคันแรก 
วันนี้ คนเราไม่ได้อยู่ได้ด้วยปัจจัยสี่   เราต้องมีมือถือ มีสารพัดสิ่งอำนวยความสะดวก บิลเกตเคยบอกว่า เราเกิดมาจนไม่มีความผิด แต่หากตายแล้วยังจนมันคือความผิด เป็นหน้าที่ของ รัฐ มาช่วยเหลือประชาชนให้มีความกินอยุ่ที่ดีขึ้น   เราต้องให้โอกาสคนระดับล่าง ให้ได้รับการดูแล เพื่อให้เขาเลี้ยงตนได้ ฐานรากแข็งแรงแล้วประเทศจะเดินหน้าได้

OTOP โอท็อป
ปรัชญาของโอท็อปคือการต่อยอดโครงการศิลปาชีพในสมเด็จฯ ที่ได้ทำไว้ เอาคนเหล่านี้ที่มีฝีมืออยู่แล้วมาออกแบบ มาสร้างตลาด มาเสริมแหล่งทุน มาเป็นอาชีพเสริม จนกลายเป็นหลายๆครอบครัวงานเหล่านี้ปรับกลายเป็นอาชีพหลัก

การปรับคณะรัฐมนตรี
ท่านนายกฯ ท่านเป็นยุคใหม่ ผมเป็นยุคเก่า ผมพอบอกได้ว่าคนไหนประวัติเป็นอย่างไร ผมพอบอกได้  แล้วตัวนายกฯ ก็จะเป็นคนเลือกในการตัดสินใจสุดท้ายว่าจะเลือกใคร  ตอนแรกผมก็คาดหมายว่านายกฯทำงานได้ แต่ปรากฏว่าทำงานได้ดีกว่ามากกว่าที่คิด นายกฯ ทำงานบริหารองค์กรมาตั้งแต่เรียนจบ  วันนี้นายกฯ รู้จักคนมากขึ้น รู้จักกฎ กติกาการเมืองมากขึ้น วันนี้ นายกรัฐมนตรีมีภาวะผู้นำในตัว มีการมาปรึกษาอยู่บ้างเพราะในฐานะเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นปกติ แต่การบริหาร เป็นสิ่งที่นายกฯ มีอิสระของท่านเองที่ท่านทำได้ดีมากๆ 

บทบาทในสภาฯ
บทบาทของนายกฯนอกสภามีมาก ทั้งสังคม ต่างประเทศ สส.  ดังนั้นจึงไม่สามารถไปงานสภาได้ แต่ขณะเดียวกัน งานต่างๆ ได้ถูกแบ่งให้รองนายกฯ และรัฐมนตรีดูแล ได้ชัดเจน

พ.ร.บ.ปรองดอง
เป็นเรื่องของสภา  ผมทุกวันนี้ใช้เวลาเดินทางไปต่างประเทศ พบผู้นำประเทศ พบนักธุรกิจ แต่ผมไม่ใช่นักการเมืองวันนี้ ผมจึงพูดไม่ได้ แต่ก็เจอกันคุยกัน ทำไงที่จะเอาสินค้าเกษตร เอาสินค้าประเทศไปขายให้ทุกประเทศที่ไปพบ

สุขภาพ
ยังแข็งแรงดี เขาบอกผมเป็น “มะเร็ง” แต่ผมเป็น “มาเล็ง” คือ.. เอาอะไรมาเสริฟ ผมเล็งกินหมด ฮา
ประเทศทำงานยาก เพราะรัฐธรรมนูญที่ทำให้ทำงานยาก เพราะมันจ้องล้มทุกขั้นตอน  ส่วนราชการก็ซื้อขายตำแหน่ง แต่มันต้องใช้เวลาเปลี่ยน มันยาก... ยากมากนะสมัยนี้ทำงานได้ยากกว่าสมัยผมมาก  สมัยผมปี ๔๐ เป็น รธน.ที่รัฐบาลมีอำนาจ แต่รัฐธรรมนูญนี้ มีแต่กับระเบิดตลอดทาง หากบ้านเมืองเป็น ปชต.จริงๆ บ้านเมืองเราจะไปได้

๖ปี รัฐประหาร
มีคนบอกผมสมัยเป็นนายกฯ บอกผมว่า “ตราบใดที่สิบล้อยังกินยาบ้า ปฏิวัติก็ไม่พ้นจากประเทศไทย”  เค้ากำลังบอกผมว่า สิ่งบ้าๆ มันยังมีอยู่ในประเทศไทย ไม่คุ้ม  หากคิดจะปฏิวัติวันนี้  ไม่คุ้มกับ คนทำปฏิวัติ ไม่คุ้มกับคนสั่งปฏิวัติ ไม่คุ้มกับคนถูกปฏิวัติ และไม่คุ้มกับประชาชนเลย   หากอยากปฏิวัติก็ปฏิวัติสิ!

วัฒนธรรมสลิ่มคลั่งระบาดพารากอน

สลิ่มคลั่งไล่ด่า "ดารุณี" ไฮโซเสื้อแดง กลางห้างพารากอน



ด่วนสลิ่มเลว ไล่ด่า “ดารุณี กฤตบุญญาลัย” กลางห้าง

ทีมงาน go6TV ได้สัมภาษณ์ดารุณี กฤตบุญญาลัย ถึงกรณีคลิปผู้หญิงเสื้อสีดำคนหนึ่ง ยืนด่าใส่ร้ายว่า “ด่าในหลวง” กลางห้างพารากอนชั้น 5 ในร้านก๋วยเตี๋ยว

คุณดารุณี ได้เล่าเหตุการณ์ดังกล่าวให้ฟังอย่างตื่นตระหนกว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อหัวค่ำของวันนี้ (วันที่ 31 สิงหาคม 2555 เวลาประมาณ 19.00 น.)  ตนได้ไปทานก๋วยเตี๋ยวเนื้อที่ห้างพารากอนชั้น 5 ระหว่างทานอยู่นั้น ปรากฏมีหญิงเสื้อดำคนหนึ่งอายุประมาณ 40 ปี ได้เดินเข้ามาแล้วถามว่า “นี่ใช่ ดาหรือเปล่า”   คุณดารุณีเงยหน้าตอบว่า “ใช่ค่ะ ดิฉันชื่อดา” (หมายถึงชื่อเล่นชื่อดา) พอคู่สนทนาสลิ่มเสื้อดำได้รับคำตอบว่า “ดา” เท่านั้น เธอเริ่มด่า “มึงด่าในหลวงทำไม อีห่า มึงใช่ไม๊ อีดา ที่ด่าในหลวงที่สนามหลวง” 

คุณดารุณี จึงตอบว่า “ไม่ใช่ค่ะ... “ดา” ที่สนามหลวงคนนั้น คือ “ดาร์ตอปิโด” แต่ดิฉัน “ดารุณี”

หญิงสลิ่มใจทรามไม่ยอมหยุดตอบว่า “มันคือคนเดียวกัน อีนี่แหละใช่เลย มึงนี่แหละ” และด่าอีกนานกว่า นาที
ขณะนั้น พนักงานในร้านมาขอร้องให้หยุดด่า และเชิญหญิงสลิ่มออกจากร้าน เธอตะคอกใส่ว่า “ฉันเป็นประชาชน ทำไมจะด่าไม่ได้”

หลังจากนั้น คนในร้านที่รักความยุติธรรมเริ่มลุกมาช่วย และกดดันสลิ่มเสื้อดำเลว โดยถ่ายคลิปไว้ 
คุณดารุณีจึงบอกว่า ให้ไปตามรักษาความปลอดภัยมา และจะไปโรงพักด้วยกัน
หลังจากนั้น เมื่อทราบว่ามีกล้องวงจรปิดบันทึกภาพ และฝ่ายรักษาความปลอดภัยกำลังมา เธอคนนั้นก็รีบเดินหนีไปทันที

ล่าสุด คุณดารุณี กฤตบุญญาลัยกล่าวว่า จะไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันที่โรงพักในวันพรุ่งนี้

1 ปี ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ