พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวอีกว่า
นอกจากนี้ยังได้ดำเนินการที่จะประกวดราคาใหม่ ซึ่งก็มีความยุ่งยาก
เนื่องจากว่าเราต้องเตรียมการภายหลังถ้าบริษัทผู้รับเหมาไม่สามารถส่งมอบงาน
ได้ จึงต้องดำเนินการอีกช่องทางเพื่อให้แต่ละโรงพักสามารถทำงานได้
รวมถึงตั้งทีมสอบสวนว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติเสียหายอย่างไร
โดยนำผลสอบสวนไปประกอบกับประเด็นผู้รับเหมาสามารถส่งงานได้ทันตามกำหนดหรือ
ไม่ด้วย
“ขณะเดียวกันผมและพล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผบ.ตร.
ร่วมกันพิจาณาให้โรงพักที่ถูกรื้อได้ปรับปรุงโรงพักชั่วคราวขึ้นมา
เพื่อสามารถทำงานได้ โดยจัดงบประมาณสนับสนุนสำหรับโรงพักที่ถูกรื้อ 300,000
บาท และโรงพักที่ไม่ถูกรื้อ 100,000 บาท
อย่างไรก็ตามได้ประกาศแนวทางปฏิบัติไว้ มีเกณฑ์ประเมินผล
และมีการแข่งขันอีก 3 เดือน ว่าโรงพักใดจะเป็นโรงพักดีเด่น
สามารถนำหน่วยได้ดีมาก ก็จะมีรางวัลให้ ภายหลังจากเมื่อวันที่ 25
ก.พ.ที่ผ่านมา ได้ไปตรวจเยี่ยมโรงพักชั่วคราวที่บช.ภาค 1 สภ.คลองห้า บช.ภาค
3 สภ.สูงเนิน เริ่มมีการขับเคลื่อนและมีกาปรับปรุงมากขึ้นแล้ว”ผบ.ตร.
กล่าว
วันเดียวกันที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์
อธิบดีดีเอสไอ
แถลงความคืบหน้าผลสืบสวนสอบสวนโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ(ทด
แทน) 396 หลัง ว่า คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตั้งประเด็นสอบสวนไว้ 2 ประเด็น
คือ 1.ประเด็นการกระทำความผิด
ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2552
และ 2.ประเด็นบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด
หรือบริษัทพีซีซีฯ มีพฤติการณ์
โดยการหลอกลวงด้วยความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้ง
และการหลอกลวงได้ไปซึ่งเงินงบประมาณของแผ่นดิน จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
หรือทำให้ผู้รับเหมาช่วงงานก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทนได้รับความเสียหายจากการ
ถูกหลอกลวง
นายธาริต กล่าวว่า ประเด็นกระทำความผิด
ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2552
พนักงานสอบสวนคดีพิเศษอยู่ระหว่างตรวจสอบความถูกต้องของพยานเอกสารทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นการลงลายมือชื่อรับรองเอกสาร เอกสารทางการเงิน
นอกจากนี้ต้องตรวจสอบความถูกต้องของมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)
เนื่องจากสำนักงบประมาณเคยเสนอต่อครม.ว่า
หากมีการกระจายการจัดซื้อจัดจ้างไปยังหน่วยงานตามพื้นที่จะทำให้โครงการ
สำเร็จได้เร็วยิ่งขึ้น
ประกอบกับคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์(กวพ.อ.)มี
หนังสือตอบข้อหารือกรณีที่บริษัท ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน)
ร้องเรียนขอความเป็นธรรมในการประมูลงานโครงการดังกล่าว
โดยมีข้อสังเกตว่าครม.มีมติให้กระจายการจัดซื้อจัดจ้างไปยังหน่วยงานตาม
พื้นที่ที่จะดำเนินการจะทำให้โครงการสำเร็จเร็วยิ่งขึ้น
นายธาริต กล่าวอีกว่า
นอกจากนี้ยังพบพยานหลักฐานสำคัญคือโครงการดังกล่าวนำเรื่องเข้าครม.วันที่
17 ก.พ. 2552 ต่อมาครม.เห็นชอบตามข้อเสนอของสำนักงบประมาณ
ให้จัดจ้างเป็นรายภาค จากนั้นปลายปี 2552 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
อดีตนายกรัฐมนตรี อนุมัติยกเลิกรายภาค และให้รวมสัญญาเป็นรายเดียว
ซึ่งมีหลายบริษัทคัดค้านแต่ก็ไม่เป็นผล จนกระทั่งปี 2554 บริษัทซินเท็คฯ
ร้องเรียนไปยังกวพ.อ.ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
และแจ้งมติไปให้ผบ.ตร.รับทราบ
นายธาริต กล่าวต่อว่า การกระทำของผู้มีอำนาจในขณะนั้นคือ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ
จึงเป็นการฝ่าฝืนมติครม. ทำให้เกิดความเสียหายอย่างมาก
จึงเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ.ฮั้วประมูลฯ
และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
(เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ) ด้วย
ทั้งนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษคาดว่าน่าจะส่งสำนวนการสอบสวนให้คณะกรรมการป.ป.ช.
ได้ภายในสัปดาห์หน้า
อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ในส่วนประเด็นบริษัทพีซีซีฯนั้น
คณะทำงานสอบสวนคดีพิเศษได้รวบรวมพยานหลักฐาน
กรณีทุจริตโครงการนี้มาระยะหนึ่งแล้ว
มีข้อเท็จจริงและหลักฐานตามสมควรว่าผู้บริหารและบริษัทพีซีซีฯ
น่าจะได้กระทำความผิดอาญาฐานร่วมกันฉ้อโกงผู้รับเหมาช่วง
โดยมีข้อเท็จจริงสรุปว่าบริษัทพีซีซีฯ
ได้ประมูลงานก่อสร้างสถานีตำรวจจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาจำนวน 396
แห่งทั่วประเทศ
แต่ได้กระทำผิดเงื่อนไขในสัญญานำเอางานก่อสร้างทั้งหมดหรือบางส่วนดังกล่าว
ไปจ้างผู้รับเหมาช่วงอีกต่อหนึ่ง โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ว่าจ้างก่อน
ซึ่งเป็นสาระสำคัญที่คู่สัญญาต้องปฏิบัติตาม
ที่ได้กำหนดไว้ในสัญญาจ้างก่อสร้างตามข้อ 8
ผู้รับเหมาช่วงหรือผู้เสียหายต่างเข้าใจว่าการนำเอางานก่อสร้างของทางราชการ
ตำรวจมาจ้างช่วงนั้นสามารถกระทำได้โดยชอบ
จึงหลงเชื่อข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งดังกล่าว
โดยสุจริตใจ จึงได้ทำสัญญาและลงทุนก่อสร้างโรงพักให้บริษัทพีซีซีฯ
ไปก่อนล่วงหน้า แต่ไม่ได้เงินค่าก่อสร้างตามสัญญา โดยที่บริษัทพีซีซีฯ
ได้เบิกเงินค่างวดบางส่วนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาแล้ว
ตามพฤติการณ์ส่อว่าบริษัทพีซีซีฯไม่มีเจตนาที่จะผูกพันหรือปฏิบัติตามสัญญา
กับผู้เสียหายมาตั้งแต่ต้น
แต่อาศัยประโยชน์จากสัญญาเป็นช่องทางแสวงหาประโยชน์ที่เป็นทรัพย์สินโดยมิ
ชอบ ถือว่าบริษัทพีซีซีฯฝ่าฝืนคำสั่งและกระทำผิดสัญญาชัดเจน
หลอกผู้รับเหมาช่วงลงทุนสร้างล่วงหน้าไปก่อน แต่ยังไม่ยอมจ่ายเงินให้
แต่บริษัทพีซีซีฯกลับไปเบิกเงินกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง
อธิบดีดีเอสไอ กล่าวอีกว่า
ขณะนี้มีผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงให้สร้างโรงพักไปก่อนล่วงหน้าและยังไม่ได้
รับเงินประมาณ 20 ราย
ซึ่งได้แจ้งความร้องทุกข์มอบคดีให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการแล้ว
รวมมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้นประมาณกว่า 69 ล้านบาท
อันเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้การก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญา
ต้องหยุดการก่อสร้างลง และทำให้ผู้รับเหมาช่วงต้องละทิ้งงานในที่สุด
สำหรับผู้บริหารบริษัทพีซีซีฯ ที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย นายพิบูลย์
อุดมสิทธิกุล, นายวิศณุ วิเศษสิงห์, นายจาตุรงค์ อุดมสิทธิกุล
และอาจมีผู้ร่วมก่อให้มีการกระทำผิดเพิ่มอีกบางส่วนด้วย ทั้งนี้พ.ต.ท.ถวัล
มั่งคั่ง หัวหน้าคณะทำงานสอบสวนคดีพิเศษ
จะมีหนังสือเชิญผู้บริหารบริษัทพีซีซีฯมารับทราบข้อกล่าวหา ภายในวันที่ 15
มี.ค.นี้
ซึ่งความผิดคดีนี้เป็นความผิดหลายกรรมต่างวาระกันตามจำนวนผู้เสียหาย
ซึ่งเชื่อว่าจะมีผู้เสียหายอีกหลายรายเข้าแจ้งความเพิ่มขึ้น
ด้านพ.ต.ท.ถวัล กล่าวว่า
จากการลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการในภาคอีสานนั้น
ทางเจ้าหน้าที่เรียกบริษัทผู้รับเหมาช่วงในฐานะผู้เสียหายเข้าพบ
เพื่อให้ข้อมูลประมาณ 20 ราย แต่พอถึงเวลาจริงกลับมาเข้าพบเพียง 2-3
รายเท่านั้น
ซึ่งจากการสืบสวนพบว่ามีนักการเมืองท้องถิ่นบางคนให้ความช่วยเหลือบริษัทพี
ซีซีฯ
โดยกีดกันไม่ให้ผู้รับเหมาช่วงในฐานะผู้เสียหายเข้าให้ข้อมูลต่อดีเอสไอ
ขณะนี้เจ้าหน้าที่ทราบตัวผู้กระทำผิดแล้ว
อยู่ระหว่างพิจารณารวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับนักการเมืองท้องถิ่น
ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในฐานะเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด
ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงผู้อื่นต่อไป
รายงานข่าวแจ้งว่า จากการตรวจสอบพบว่านักการเมืองท้องถิ่นดังกล่าวเป็นอดีตส.จ.อุดรธานี
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ
รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงผลประชุมครม.ว่า ครม.อนุมัติงบประมาณกลางปี
2556 ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามโครงการจัดหาครุภัณฑ์ อาวุธยุทโธปกรณ์
เครื่องมือพิเศษ และอาคารที่พักอาศัยสำหรับชั้นประทวนที่จะบรรจุใหม่ในปี
2556 จำนวน 862 ล้านบาท จากที่ขอมา 4,600 ล้านบาท
งบประมาณที่เหลือให้ตั้งเรื่องเป็นงบประมาณประจำปี 2556
เสนอเรื่องกลับมาอีกครั้ง