วันเสาร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2557

กระบวนการตะแบงกฎหมาย

กระบวนการตะแบงกฎหมาย

              ในที่สุด การเลือกตั้งวุฒิสภาทั่วประเทศ 77 จังหวัดเมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา ก็ผ่านไปโดยความเรียบร้อยตามการรณรงค์ของคณะกรรมการเลือกตั้ง จึงคาดหมายกันว่าจะมีการรับรองผลการเลือกตั้ง และนำมาสู่การเปิดประชุมวุฒิสภาได้ในเวลาไม่นานนัก ที่การเลือกตั้งราบรื่นเป็นเพราะ ม็อบ กปปส.ที่ก่อกวนขัดขวางการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ไม่ได้ก่อกวนหรือปิดการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งหมายถึงว่า แนวทาง”ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง”ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ใช้เพื่อขัดขวางเฉพาะการเลือกตั้ง ส.ส.เท่านั้น แต่กระนั้น การเลือกตั้งวุฒิสภาก็ยังไม่ได้ทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองคลี่คลาย กลุ่ม กปปส.และฝ่ายองค์กรอิสระก็ยังคงหาทางที่จะล้มล้างรัฐบาลรักษาการของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และตะแบงกฎหมายเพื่อตั้งนายกรัฐมนตรีเถื่อนของตนเองต่อไป
           คงต้องอธิบายในที่นี้ว่า แม้ว่าประชาชนในแต่ละจังหวัดจะมีสิทธิในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา แต่กระนั้น โครงสร้างโดยรวมของวุฒิสภาถือว่าไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างยิ่ง เพราะยังมีสมาชิกวุฒิสภาแบบลากตั้ง หรือที่เรียกให้ภาพดีว่า “ส.ว.สรรหา” อีก 73 คน ซึ่งมีที่มาจากคณะกรรมการเพียง 7 คน คือ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้พิพากษาในศาลฎีกาที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามอบหมาย และตุลาการในศาลปกครองสูงสุดที่ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดมอบหมาย จะเห็นได้ว่า คณะกรรมการทั้ง 7 คนเป็น”เทวดา”ที่มีเสียงมากเสียยิ่งกว่า ประชาชนผู้มาลงคะแนน 18 ล้านคน

          แต่ที่ตลกจนขำไม่ออกก็คือ เมื่อรัฐสภาได้มีความพยายามที่จะขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อยกเลิก ส.ว.ลากตั้ง ให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งหมด ศาลรัฐธรรมนูญกลับมีคำวินิจฉัยในวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเช่นนี้กระทำไม่ได้ เพราะขัดรัฐธรรมนูญ ต้องให้มี ส.ว.ลากตั้งต่อไป จึงจะสอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย หลังจากนั้น ในวันที่ 8 มกราคม พ.ศ.2557 คณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็แจ้งข้อกล่าวหาให้ถอดถอน ส.ส.และ ส.ว.จำนวน 308 คน ที่ลงมติให้แก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ซึ่งทั้งหมด ก็คือ ส.ส.และ ส.ว.ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล ซึ่งถ้าหาก ส.ว.และ ส.ส.เหล่านี้ถูกถอดถอน ก็จะถูกตัดสิทธิทางการเมืองและการรับราชการเป็นเวลา 5 ปี

           ไม่เพียงแต่ประเด็นเหล่านี้เท่านั้น ที่องค์กรอิสระเหล่านี้ ใช้เป็นเครื่องมือในการเล่นงานรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ยังมีเรื่องที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทำการสอบสวนเพื่อชี้มูลความผิดนายกรัฐมนตรีในข้อกล่าวหาเรื่องการละเลยให้มีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ทั้งที่ยังไม่มีคดีเกี่ยวกับการจำนำข้าวคดีใดเลยที่มีหลักฐานถึงการทุจริตที่ชัดเจน และแสดงให้เห็นการเกี่ยวข้องกับการทุจริตของนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรี แต่คดีนี้ก็เห็นได้ว่า กรรมการ ปปช.ปฏิบัติหน้าที่อย่างน่าเคลือบแคลง และขัดต่อหลักนิติธรรม โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคดีของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ เช่น คดีเกี่ยวกับโครงการประกันราคาข้าว คดีทุจริตครุภัณฑ์อาชีวะศึกษา คดีทุจริตโครงการไทยเข้มแข็ง คดีก่อสร้างสถานีตำรวจ จำนวน 390 กว่าแห่ง ซึ่งล้วนแต่เป็นคดีที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นผู้ถูกกล่าวหาคดีเหล่านี้เกิดก่อนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่การไต่สวนข้อเท็จจริงของกรรมการ ป.ป.ช. กลับเป็นไปอย่างล่าช้า ส่วนคดีของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ป.ป.ช.ใช้ระยะเวลาไต่สวนข้อเท็จจริงเพียง 21 วัน ก็แจ้งข้อกล่าวหา

           ต่อมา ก็คือเรื่องที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาในวันที่ 7 มีนาคม ให้คืนตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติให้แก่นายถวิล เปลี่ยนศรีภายใน 45 วัน โดยอ้างว่า นายกรัฐมนตรีโยกย้ายข้าราชการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งที่รัฐบาลทุกชุด ก็ต้องมีการโยกย้ายข้าราชการตำแหน่งสำคัญเพื่อหาบุคคลที่สามารถทำงานประสานกับรัฐบาลได้ดี ดังนั้น ในเดือนกันยายน พ.ศ.2554 รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จึงได้โยกย้ายนายถวิลออกจากตำแหน่ง แล้วแต่งตั้ง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เข้าแทนที่ ซึ่งก็ไม่ต่างจากการที่ รัฐบาลอภิสิทธิ์ย้ายนายถวิล เข้ามาเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแทน พล.ท.สุรพล เผื่อนอัยกา เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2552 เช่นเดียวกัน ซึ่งในกรณีนี้ คำพิพากษาของศาลปกครองก็ยอมรับว่า อำนาจในการโยกย้ายเป็นของฝ่ายบริหาร แต่ก็อ้างว่า รัฐบาลทำผิดเพราะ”ไม่มีคำอธิบายว่า นายถวิลบกพร่องอย่างไร และไม่มีประสิทธิภาพในการทำหน้าที่อย่างไร” แต่เรื่องอย่างนี้ ก็ตีความได้ว่าเป็นการตั้งใจหาเหตุ เพราะสมมุติว่า รัฐบาลมีคำอธิบายถึงความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ของนายถวิล ก็จะถูกกล่าวหาได้อีกว่า ไปกล่าวร้ายนายถวิลอย่างไม่เป็นธรรม

          จากนั้น กลุ่ม ส.ว. 27 คน ได้นำเรื่องนี้ไปเป็นเครื่องมือในการถอนถอนนายกรัฐมนตรี โดยการยื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัย กลุ่มต่อต้านประชาธิปไตยนั้นดีดลูกคิดรางแก้วไปว่า ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า กรณีโยกย้ายนายถวิลขัดรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีรักษาการจะต้องพ้นสภาพ และได้มีความพยายามในการตีความด้วยว่า คณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องหมดต้องสภาพไปด้วย และในภาวะที่ขณะนี้ไม่มีสภาผู้แทนราษฎร บทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจึงไม่สามารถนำมาใช้บังคับได้ และจากความจำเป็นที่ประเทศนี้จะต้องมีรัฐบาล ก็ถึงคราวที่จะต้องนำมาตรา 7 มาใช้เพื่อแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ก็จะได้รับ ”ราชรถ” มาเป็นผู้นำคนใหม่อย่างถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ

           จะเห็นได้ว่า กระบวนการที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก็มาจากการคบคิดรับลูกกัน ตั้งแต่ กปปส.โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ถือโอกาสเอาเรื่องความผิดพลาดในการออกกฎหมายนิรโทษกรรมเหมาเข่ง มาก่อการประท้วงใหญ่ขับไล่รัฐบาลและขัดขวางการเลือกตั้ง ต่อมา คณะกรรมการเลือกตั้ง(ก.ก.ต.)ก็ทำหน้าที่จัดการให้การเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์มีปัญหาไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แล้วเปิดทางให้ศาลรัฐธรรมนูญตะแบงกฎหมายประกาศให้การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์เป็นโมฆะ แล้วจะนำมาสู่นายกคนกลางตามที่ฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยคาดหวัง

           แต่ปัญหาทั้งหมดนี้อยู่ที่ว่า ประชาชนส่วนข้างมากของประเทศนั้นไม่เอาด้วย ไม่ยอมรับ และถ้ามีการเลือกตั้งอย่างถูกต้องชอบธรรมครั้งใด พรรคเพื่อไทยก็จะได้รับชัยชนะด้วยการสนับสนุนของประชาชนอีกทุกครั้ง กลายเป็นว่า ฝ่ายศาลและองค์กรอิสระเหล่านี้เลือกข้างสนับสนุนพวกขี้แพ้ในการเลือกตั้ง จึงไปยอมรับการก่อกวนของ ม็อบ กปปส.ว่าเป็นชอบธรรม ปฏิเสธการเลือกตั้งเฉพาะการเลือกสภาผู้แทนราษฎร และใช้การวิธีการ”ศรีธนนชัย”ทางกฏหมายมาล้มล้างกระบวนการประชาธิปไตย ละเลยเสียงประชาชน 20 ล้านคนที่มาออกเสียงเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ และละเมิดสิทธิของพรรคการเมือง 53 พรรคที่ส่งผู้สมัครลงแข่งขันรับเลือกตั้งตามกติกา เพื่อไปโอบอุ้มพรรคที่สมัครใจคว่ำบาตรการเลือกตั้ง

         ด้วยการดำเนินการเช่นนี้ องค์กรอิสระจึงร่วมมือกับ กปปส.สร้างภาวะมิคสัญญีขึ้นในประเทศ และทำให้เศรษฐกิจของประเทศพังเสียหายยับเยิน แต่ก็ยังไม่บรรลุเป้าหมายในการล้มรัฐบาล จึงทำให้สถานการณ์ยืดเยื้อมาถึงในวันนี้

         ความจริงแล้ว บทเรียนจากต่างประเทศก็ชี้ว่า ประชาธิปไตยนั้นเอง คือ วิธีการแก้ปัญหาวิกฤตได้ถูกต้องและตรงจุด และเป็นวิธีการสันติ ที่ได้รับการยอมรับ การแต่พวกชนชั้นนำ สลิ่ม ศาลและองค์กรอิสระ กปปส.และผู้สนับสนุน พยายามใช้วิธีการอันฝืนใจประชาชน อนาคตของพวกเขาจึงเป็นไปไม่ได้
 เผยแพร่ครั้งแรกใน โลกวันนี้วันสุข ฉบับ 458 วันที่ 5 เมษายน 2557

ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ เสนอตั้งองค์กร 'เก็บขยะแผ่นดิน' จัดการคนหมิ่นสถาบัน

ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ เสนอตั้งองค์กร 'เก็บขยะแผ่นดิน' จัดการคนหมิ่นสถาบัน

           ผอ.โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โพสต์ไอเดียผ่านทางเฟซบุ๊ก เสนอตั้ง "องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน" ใช้จัดการคนหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์
            12 เม.ย. 2557 มติชนออนไลน์ รายงานว่า พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ได้โพสต์ข้อความที่ตั้งค่าเป็นสาธารณะ ผ่านทางเฟซบุ๊กเหรียญทอง แน่นหนา เสนอให้ตั้ง "องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน" มีเนื้อหาดังต่อไปนี้
แชร์ถึงมวลมหาประชาชน...ท่านทั้งหลาย คือ ‘ทหารของพระราชา...คนเก็บขยะของแผ่นดิน’ ได้โปรดพิจารณาแนวความคิดในการจัดตั้ง ‘องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน’ (องค์กรนี้เป็นองค์กรเปิดเผย ไม่ใช่องค์กรลับ องค์กรนี้จะเกิดขึ้น ต่อเมื่อผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายยังคงปล่อยปละละเลย ไม่จัดการอย่างเป็นรูปธรรมในการเก็บ ‘ขยะแผ่นดิน’ และหากปล่อยทิ้งไว้จะบั่นทอนต่อความมั่นคงของชาติอย่างร้ายแรง) แนวความคิดนี้จัดทำขึ้นโดยอดีตนายทหารยุทธการ เพื่อเสนอต่อมวลมหาประชาชนคณะผู้ก่อตั้ง ‘องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน’ ดังสรุปต่อไปนี้
1) นิยามศัพท์ ‘ขยะแผ่นดิน’ หมายถึง ผู้กระทำการอาฆาต มาดร้าย หมิ่นพระบรมเดชานุภาพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และผู้ให้การสนับสนุน คุ้มครอง ช่วยเหลือ รวมถึงที่พักพิงอาศัย และให้อาชีพการงาน
2) ภารกิจของ ‘องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน’ คือ การเก็บขยะเพื่อปฏิรูปความสะอาดของแผ่นดินภายใน 12 - 24 เดือน
3) โครงสร้างการจัดเฉพาะกิจ ประกอบด้วย
  • 3.1) ‘หน่วยบริหารงานกองทุนและการสนับสนุน’
  • 3.2) ‘หน่วยปฏิบัติงานสำรวจขยะ’
  • 3.3) ‘หน่วยปฏิบัติงานเก็บขยะทั่วไป’
  • 3.4) ‘หน่วยปฏิบัติงานเก็บขยะพิเศษ’

4) การปฏิบัติของหน่วยเฉพาะกิจแต่ละหน่วย มีแนวความคิดในการยุทธ (CONCEPTS OF OPERATION) ดังนี้
  • 4.1) ‘หน่วยบริหารงานกองทุนและการสนับสนุน’ จะเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบเงินทุนสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมากกว่า 10 ล้านคนๆ ละ 50 บาท หรือคิดเป็นเงินทุนไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท เพื่อใช้ในภารกิจการเก็บขยะเพื่อปฏิรูปความสะอาดของแผ่นดินให้แล้วเสร็จใน 12 - 24 เดือน โดยจะจัดสรรให้แก่การเก็บขยะแต่ละชิ้น จำแนกตามประเภทของขยะ ตลอดจนการปฏิบัติงานสนับสนุนทั่วไป
  • 4.2) ‘หน่วยปฏิบัติงานสำรวจขยะ’ จะเป็นหน่วยข่าวกรอง เพื่อการสำรวจขยะ คัดแยกประเภท และขึ้นบัญชี
  • 4.3) ‘หน่วยปฏิบัติงานเก็บขยะทั่วไป’ จะรับผิดชอบขยะประเภท’ทั่วไป’ ประกอบด้วย ‘ชุดเก็บขยะ’ จำนวนมาก แต่ละชุดจะรับผิดชอบโดยติดตามดำเนินการเก็บ ‘ขยะ’ เป็นรายชิ้น ทั้งนี้เพื่อให้การจัดเก็บขยะเห็นผลเป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็วโดย ‘ชุดเก็บขยะ’ จะมีรูปแบบในการปฏิบัติดังนี้
  •          4.3.1) ‘ชุดเก็บขยะ’ จะติดต่อขอเข้าพบ ‘ขยะ’ เป็นรายชิ้น เพื่อทำความเข้าใจอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย (ไม่ใช้ความรุนแรง แต่ไม่หน่อมแน้ม) หากสามารถทำความเข้าใจกันได้โดยดีแล้ว ให้ลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อสิ้นสุดการเป็นขยะอย่างสันติวิธี
  •          4.3.2) ในกรณีที่ ‘ชุดเก็บขยะ’ ไม่สามารถติดต่อเข้าพบ ‘ขยะ’ เป็นรายชิ้นได้ ให้ ‘ชุดเก็บขยะ’ นำฝากหนังสือเพื่อเชื้อเชิญและกำหนดวันนัดหมายใหม่กันอีกครั้ง ภายในระยะเวลาที่กำหนด ทั้งนี้เพื่อนัดพบและทำความเข้าใจ อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย (ไม่ใช้ความรุนแรง แต่ไม่หน่อมแน้ม) หากสามารถทำความเข้าใจกันได้โดยดีแล้ว ให้ลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อสิ้นสุดการเป็นขยะอย่างสันติวิธี
  •          4.3.3) ในกรณีที่พ้นระยะเวลาตามข้อ 4.3.2) ที่ ‘ชุดเก็บขยะ’ กำหนดแล้ว ให้ ‘ชุดเก็บขยะ’ ดำเนินการตามกฎหมาย และติดตามความคืบหน้าเป็นรายสัปดาห์ โดย ‘ชุดเก็บขยะ’ จะไม่ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการตามลำพังโดยไม่มีการติดตามความคืบหน้า แต่ ‘ชุดเก็บขยะ’ จะคอยติดตามและช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจในทุกรูปแบบ เช่น การออกประกาศผ่านเครือข่ายสื่อสาธารณะเพื่อขอความร่วมมือจากผู้พบเห็น ‘ขยะ’ ที่กำลังติดตาม เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อทราบที่พักพิง หลบซ่อน ที่ทำงาน เพื่อให้การติดตามจับกุม’ขยะ’ ของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นไปอย่างมีประสิทธิผลและรวดเร็ว ในกรณีที่สามารถติดตามจับกุมเก็บ ‘ขยะ’ ได้แล้ว ให้ ‘ชุดเก็บขยะ’ ยังคงสังเกตุการณ์การจัดทำสำนวนคดีอย่างใกล้ชิดต่อไป ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดจุดอ่อนในกระบวนการยุติธรรมและติดตามการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมจนถึงที่สุด
  •            4.3.4) ‘ชุดเก็บขยะ’ แต่ละชุดจะมีความสามารถในการระวังป้องกันตนเองจาก ‘พิษ’ ของขยะที่อาจเกิดขึ้นโดยเหนือความคาดหมาย ทั้งนี้เพื่อการรักษาความปลอดภัยต่อชีวิตของ ‘ชุดเก็บขยะ’ ตามศักยภาพและขีดความสามารถของ ‘ชุดเก็บขยะ’
  • 4.4) ‘หน่วยปฏิบัติงานเก็บขยะพิเศษ’ จะรับผิดชอบเฉพาะขยะประเภท ‘มีพิษ’ เท่านั้น ทั้งนี้จะจำแนกตามระดับความเป็นพิษต่ำสุด ถึง ระดับความเป็นพิษสูงสุด ซึ่ง ‘หน่วยปฏิบัติงานเก็บขยะพิเศษ’ นี้จะพิจารณารูปแบบในการปฏิบัติอย่างจำเพาะเจาะจงตามแต่กรณี ไม่มีรูปแบบที่เป็นสูตรสำเร็จ

5) อัตรากำลังพล : จิตอาสาที่มีความจงรักภักดี ไม่จำกัดวิชาชีพ ไม่จำกัดคุณวุฒิ ไม่จำกัดเพศ สามารถเป็นกำลังพลในตำแหน่ง ‘คนเก็บขยะแผ่นดิน’ ได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้จะประกาศรับสมัครกำลังพลเพื่อจัดกำลังเฉพาะกิจให้ทราบเป็นระยะๆ
6) มวลมหาประชาชนจงกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณ ณ โอกาสนี้ว่า “ข้าพระพุทธเจ้า จะจงรักภักดี และถวายความปลอดภัยต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จนชีวิตหาไม่” เสร็จสิ้นจากคำสัตย์ปฏิณาณตนนี้แล้ว ท่าน คือ ‘ทหารของพระราชา...คนเก็บขยะของแผ่นดิน’ นับแต่นี้เป็นต้นไป อ้าย อี มันผู้ใดที่เหิมเกริมต่อองค์พระประมุข มันผู้นั้นจะต้องถูกกำจัดให้สิ้นซากไปจากแผ่นดินที่เรียกว่า ′ราชอาณาจักรไทย′
ด้วยจิตคารวะต่อ พ่อ แม่ พี่ น้อง มวลมหาประชาชน
พลตรี เหรียญทอง แน่นหนา
อดีตนายทหารนักเรียน โรงเรียนเสนาธิการทหารบก หลักสูตรหลักประจำชุดที 73 (พ.ศ.2537 - 2538)
12 เม.ย.57

ศาลอนุมัติหมายจับ 'โกตี๋' หมิ่นสถาบัน

ศาลอนุมัติหมายจับ 'โกตี๋' หมิ่นสถาบัน

 
              11 เม.ย. 2557 สำนักข่าวไทยรายงานว่า พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รองผู้บังคับการกองปราบปราม เปิดเผยว่า ศาลอาญา รัชดาฯ อนุมัติหมายจับ นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ แกนนำเสื้อแดงจังหวัดปทุมธานี ในความผิดฐานหมิ่นสถาบัน กรณีให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ หลังพนักงานสอบสวนได้นำพยานหลักฐานคลิปวิดีโอ และพยานบุคคลกว่า 10 ปากเบิกความต่อศาล โดยคดีนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มอบหมายให้ กองปราบปราม, กองบังคับการปราบปราบการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และตำรวจภูธรภาคต่างๆ ร่วมกันสืบสวนพิจารณาอย่างรอบคอบ เบื้องต้นแจ้งข้อหาหมิ่นสถาบัน ความตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 มีโทษจำคุก 3-15 ปี เพียงขัอหาเดียวก่อน ส่วนข้อหาอื่นจะมีการสืบสวนต่อไป

ศาลออกหมายจับโกตี๋หมิ่นสถาบัน
 
      
ส่วนการติดตามจับกุมนายวุฒิพงศ์ ส่งชุดสืบสวนลงพื้นที่ตรวจค้นเป้าหมายแล้ว คาดว่ายังอยู่ในประเทศไทย เนื่องจากตำรวจตรวจคนเข้าเมืองยังไม่พบข้อมูลการเดินทางออกนอกประเทศ หากมีการควบคุมตัวนายวุฒิพงศ์ได้ จะนำตัวมาสอบสวนที่กองปราบปรามต่อไป

คณะราษฎรสุรินทร์ แจ้งจับสุเทพข้อหากบฎ

คณะราษฎรสุรินทร์ แจ้งจับสุเทพข้อหากบฎ


               วันที่ 12 เม.ย. 2527ที่เวลา 11.00 น. คณะราษฎรเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดสุรินทร์ หรือ คฎป. ได้นัดรวมพลสมาชิก ในเขตตำบล สะเดา ตำบลสำเภาลูน ตำบลตาวัง ของอำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ เพื่อแสดงเจตนารมณ์ปกป้องประชาธิปไตย และแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ณ.สถานีตำรวจภูธร ตำบลสะเดา (สภ.สะเดา) อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ ในกรณี ผลการวินิจฉัย พรฎ. การเลือกตั้ง ณ.วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญของ คณะตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการทำลายสิทธิของประชาชน ตามรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2550 หมวด 4 ในมาตรา 70 มาตรา 71 มาตรา 72 รวมทั้งร้องทุกกล่าวโทษ ต่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณและพวก จากกรณีการปราศรัย ในคืนวันที่ 5 เมษายน 2557 ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 และมาตรา 116

                  จากนั้นเวลา 11.20 น. คณะราษฎรเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดสุรินทร์ ได้มีการอ่านแถลงการณ์ฉบับที่ 2 โดยนาย เฮียบ สาแก้ว บริเวณหน้าสถานีตำรวจภูธรตำบลสะเดา ต่อมาในเวลา 11.30 น. นาย เฮียบ สาแก้วได้พาสมาชิก คฎป. 83 ราย ยื่นแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ คณะตลก.ศาลรัฐธรรมนูญ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณกับพวก โดยพันตำรวจโท สมยศ วงค์สุรินทร์ รองผู้กำกับการ สภ.สะเดา เป็นเจ้าหน้าที่หน้าที่รับเรื่องจากนั้นพันตำรวจโท สมเด็จ จูฑะพันธ์ ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธร ตำบลสะเดา ได้กล่าวกับสมาชิก คฎป. ว่า “ทางสถานีตำรวจภูธรตำบลสะเดา จะรับเรื่องการร้องทุกข์ จะดำเนินการให้ถูกต้องและรวดเร็ว และจะรายงานผลให้ทราบทุกระยะ”เมื่อกล่าวจบ สมาชิกคฎป.ได้ปรบมือชื่นชมในท่าทีที่ดีของผู้กำกับสถานีตำรวจภูธร ตำบลสะเดา
๐๐๐๐
แถลงการณ์ ฉบับที่ สอง
คณะราษฎรเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดสุรินทร์   ( ค ฎ ป .)
รากฐานอุดมการณ์ประชาธิปไตยนั้น คือ ความเสมอภาค กว่า 82 ปี ที่อำนาจอธิปไตยของประชาชนถูกหนอน มอด แมลงสาบประชาธิปไตยแทะกัดกิน บิดเบือนและลดทอนให้คุณค่าประชาชนต่ำต้อยด้อยค่า แล้วหลอกลวง ครอบงำ เพื่อควบคุม กอบโกยผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและอำนาจทางการเมือง อย่างไม่ใส่ใจ ไม่สำเหนียกต่อระเบียบ กฎเกณฑ์ทางสังคม
ณ วันนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ขบวนการเยื้อแย่ง ปล้นอำนาจอธิปไตยของประชาชนนั้น มีอยู่จริง ด้วยใบหน้าที่สวยงาม แต่โชยกลิ่นลมหายใจที่เน่าเหม็นจากซากศพ ของประชาชน

ดังนั้น นับแต่เวลานี้ ประเทศไทยเดินทางมาไกลแล้ว จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะระบอบประชาธิปไตยกำลังผลิดอกออกผลเติบใหญ่ ในทุกตารางนิ้วบนแผ่นดินนี้ และ ไม่มีที่ว่างให้กับระบอบอำมาตยาธิปไตย

คณะราษฎรเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดสุรินทร์ จึงได้มีความเห็นต่อสถานการณ์และสันดานอันเป็นภัยคุกคามต่อระบอบประชาธิปไตย และเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญ  ดังนี้
1. ไม่ขอยอมรับ นายกรัฐมนตรี ม.7 อันเป็นร่างทรง ของระบอบอำมาตยาธิปไตย และขอเรียกร้อง เชิญชวนผู้รักประชาธิปไตย รวมกลุ่มรวมก้อน ต่อต้านเครือข่ายซากเดนอำมาตย์และการรัฐประหารทุกรูปแบบ

2. ให้รัฐบาลรักษาการณ์ เดินหน้ากำหนดวันเลือกตั้ง เพื่อให้กระบวนการประชาธิปไตยได้เดินหน้าไป จนเกิดรัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน บนฐานคิดการเคารพสิทธิเท่าเทียม ความเสมอภาค และเสรีภาพของประชาชน

3. สนับสนุนการปฏิรูปประเทศตามหลักการและกระบวนการประชาธิปไตยเท่านั้น และขอเชิญชวนให้ผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน ทุกกลุ่ม เฝ้าติดตามกระบวนการปฏิรูปประเทศ ที่จะถูกใช้แอบอ้าง แหกตาประชาชน ดังที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

จึงแถลงการณ์มาให้ทราบโดยทั่วกัน
ขอคารวะต่อดวงจิตผู้รักชาติรักประชาธิปไตยทุกดวง
หน้าสถานีตำรวจภูธรตำบลสะเดา อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์
คณะราษฎรเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดสุรินทร์
12 เมษายน 2557

 


"เพื่อไทย" ไม่สบายใจเห็น "ปลัดกระทรวงสาธารณสุข" เป่านกหวีดทองคำ และล่ารายชื่อบังคับหมอ-พยาบาลลงชื่อขับไล่รัฐบาล


"เพื่อไทย" ไม่สบายใจเห็น "ปลัดกระทรวงสาธารณสุข" เป่านกหวีดทองคำ และล่ารายชื่อบังคับหมอ-พยาบาลลงชื่อขับไล่รัฐบาล



              เมื่อเวลา 15.00 น. นพ.ทศพร เสรีรักษ์ รองเลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะบุคคลากรทางการแพทย์ กล่าวว่า ประชาชนและบุคคลากรทางการแพทย์เริ่มมีความไม่สบายใจในกรณีที่นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เรียกประชุมนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดต่างๆ เพื่อล่ารายชื่อบุคคลากรทางการแพทย์เพื่อทำหนังสือขับไล่รัฐบาล รวมทั้งสั่งให้มีการติดป้ายขับไล่รัฐบาลให้ลาออกภายในบริเวณโรงพยาบาลด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่หมอส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยแต่ถูกข่มขู่ เพราะหากไม่ทำตามที่ปลัดกระทรวงฯ บอกก็อาจจะถูกย้ายได้ ทั้งนี้ ขอเตือนไปยังปลัดกระทรวงฯ ในฐานะที่เป็นหมอด้วยกันว่า หมอมีหน้าที่รักษาคนไข้ การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองถ้าสุดขั้วสุดโต่งเกินไปจะทำให้ประชาชนไม่สบายใจ ประชาชนจะไม่มีความสุขที่มาโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามระเบียบข้าราชการพลเรือน เพราะข้าราชการต้องวางตัวเป็นกลางทางการเมือง หากปลัดกระทรวงฯ หรือหมอคนใดไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลก็ขอให้เลือกพรรคอื่นที่ไม่ใช่พรรครัฐบาล การใช้วิธีทางนอกรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และขณะนี้ประชาชนได้เรียกร้องให้รัฐบาลเอาผิดกับปลัดกระทรวงฯ อย่างจริงจังแล้ว

ลือสะพัด! "เปรม มาเป็นนายกฯ คนกลาง?" เจ้าตัวปฏิเสธไม่ตอบคำถาม


ลือสะพัด! "เปรม มาเป็นนายกฯ คนกลาง?" เจ้าตัวปฏิเสธไม่ตอบคำถาม



เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 10 เม.ย. ที่สโมสรกองทัพบก เทเวศร์ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ถึงทางออกต่อสถานการณ์ความขัดแย้งการเมืองภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการสานใจไทยครั้งที่ 21 โดยกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า อยากให้สื่อนำเสนอในสิ่งที่ดีต่อประเทศ และช่วยชาติบ้านเมือง

เมื่อถามถึงบางฝ่ายอยากให้พล.อ.เปรม เรียก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปฏิบัติหน้าที่ นายกฯและรมว.กลาโหม และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.มาพูดคุยเพื่อแก้ปัญหา พล.อ.เปรมกล่าวว่า ตนไม่เคยได้ยินมาก่อน เพิ่งได้ยินจากสื่อเป็นคนแรก เมื่อถามว่าจะลองเชิญทั้ง 2 คนมาพูดคุยหรือไม่ เพราะทั้งสองฝ่ายน่าจะฟังท่าน พล.อ.เปรม หัวเราะก่อนกล่าวว่า "คุณคิดว่าเขาจะฟังผมหรือ" เมื่อถามว่าเพราะ พล.อ.เปรม เป็นที่เคารพรักของทั้งสองฝ่ายเนื่องจากขณะนี้ไม่มีใครคุยกับสองฝ่ายได้ พล.อ.เปรมกล่าวว่า ตนก็โดนเหมือนกัน

เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่าจะเชิญ พล.อ. เปรม มาเป็นนายกฯ คนกลาง พล.อ.เปรมปฏิเสธที่จะตอบคำถาม เพียงแต่ยิ้มเท่านั้น ทั้งนี้ ก่อนที่ พล.อ.เปรม จะเดินกลับเข้าบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ โดยมี ผบ.เหล่าทัพเดินไปส่งนั้น พล.อ.เปรมได้พูดคุยกับ ผบ.เหล่าทัพเล็กน้อย ก่อนหันมากล่าวกับพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ว่า "อดทนหน่อย แต่ต้องทำต่อไป"

สุขสันต์วันสงกรานต์


สวัสดีปีใหม่ไทยบรรจบ
วาระครบรอบปีศรีสมัย
ขออำนาจคุณพระรัตนตรัย
อำนวยชัยบันดาลประทานพร

ให้มั่งมีสมบัติพัสถาน
สำเร็จงานรุ่งเรืองประภัสสร
พูนและเพิ่มเติมค่าฐานันดร
เกียรติกำจรยืนนานกาลเวลา


ปราศจากเภทภัยสิ้นไร้โรค
ประสบโชคคืนวันสุขหรรษา
มีแต่คนรักใคร่และเมตตา
เป็นที่รักปรารถนาของผู้คน

ขอพรพระสัมฤทธิ์เพื่อมิตรสหาย 
ทั้งหญิงชายพรประเสริฐบังเกิดผล 
เถลิงศกสงกรานต์ผ่านมาดล 

ทุกชั้นชนคนไทยมีสุขเอย...