วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2558

FCCT จัดวงถกซิงเกิลเกตย์เวย์ ทุกฝ่ายเห็นร่วม 'ผลลบ' ไอซีทีถอนตัวนาทีสุดท้าย

ยิ่งชีพ-ปริญญา-สุภิญญา-ประสงค์ (ซ้ายไปขวา)

7 ต.ค. 2558 สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) จัดเสวนาเรื่องซิงเกิลดิจิทัลเกตเวย์ของประเทศไทย โดยก่อนหน้านี้ กระทรวงเทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศ (ไอซีที) จะส่งตัวแทนมาโดยเตรียมตัวมาพูดเรื่องแผนเศรษฐกิจดิจิทัล แต่เมื่อทราบว่าเป็นหัวข้อเรื่องซิงเกิลเกตเวย์จึงขอถอนตัวไป ขณะที่ วานนี้ FCCT ระบุในใบแจ้งข่าวว่า รู้สึกผิดหวังที่รัฐบาลไม่สามารถพูดถึงนโยบายที่มีความสำคัญและกำลังเป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้ได้
ปริญญา หอมเอนก ประธานและผู้ก่อตั้ง บริษัท เอซิส โปรเฟสชั่นเนล เซ็นเตอร์ จำกัด กล่าวว่า คงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำซิงเกิลเกตเวย์ และส่วนตัวไม่สนับสนุนให้ทำ โดยชี้ว่าไทยมีเกตเวย์ 17 แห่งและมีเกตเวย์ภายในอีกเป็นร้อย คงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเกตเวย์เดียวออกจากไทยไปสู่ต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม มองว่ารัฐบาลไทยก็ไม่อยู่ในสถานะที่จะทำเช่นนั้น เพราะนโยบายหลังรัฐประหารเน้นไปที่เศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งเป็นเรื่องตรงข้ามกับซิงเกิลเกตเวย์ พร้อมเล่าด้วยว่า ตอนที่เขาอยู่ในปักกิ่ง ประเทศจีน ก็ยังสามารถเข้าใช้งานเฟซบุ๊กและกูเกิลได้ ทำให้เห็นว่า เทรนด์การใช้ TOR (ซอฟต์แวร์เสรี ที่ช่วยปกปิดตัวตนผู้ใช้และช่วยเข้าเว็บที่ถูกบล็อค) ก็ทำให้การทำซิงเกิลเกตเวย์เป็นไปไม่ได้ด้วย
สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กสทช. กล่าวว่า นิยามของซิงเกิลเกตเวย์นั้นยังไม่ชัดเจน  ปัจจุบันมีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการ 17 รายจาก กสทช. โดยใบอนุญาต มีอายุ 15-20 ปี หากจะมีการทำซิงเกิลเกตเวย์ หรือเกตเวย์เดียว  อาจหมายถึงได้สองแบบ คือ หนึ่ง หมายถึงการที่ผู้ประกอบการทั้งหมดต้องหยุดให้บริการ ซึ่งก็คงเป็น "ฝันร้าย" และสอง หมายถึงการที่ผู้ประกอบการทั้งหมดต้องมาอยู่ใต้เกตเวย์หนึ่งของรัฐ ก็จะเป็นภาระที่เอกชนต้องจ่ายให้กับเกตเวย์รัฐด้วย
สุภิญญา มองว่า แนวคิดเรื่องซิงเกิลเกตเวย์นั้นมีเพื่อหาทางไปต่อด้านธุรกิจให้กับรัฐวิสาหกิจอย่าง กสท และ ทีโอที ซึ่งคลื่นในมือใกล้หมดสัมปทานในไม่ช้า โดยส่วนตัวไม่ทราบว่าทั้งสองรัฐวิสาหกิจจะรับรู้ถึงแนวคิดนี้ของรัฐบาลมาก่อนหรือไม่ แต่ถ้ารัฐบาลจะทำเช่นนี้จริง จะกระทบต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคมทั้งหมด เพราะเรามีผู้เล่นจำนวนมากแล้ว คงยากจะถอยกลับไปยุคที่มีผู้เล่นไม่กี่ราย
นอกจากนี้ เธอยังมองว่าอีกเหตุผลหนึ่งของการทำซิงเกิลเกตเวย์ก็เพื่อควบคุมการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสาร ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะทำได้จริง โดยเทียบการทำเช่นนี้เป็นการ "ขี่ช้างจับตั๊กแตน"
ประสงค์ เรืองศิริกูลชัย กรรมการบริหารสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท เอ็นทีที คอมมิวนิเคชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าขอแสดงความเห็นในนามส่วนตัว โดยเขาชี้ว่า เมื่อพูดถึงซิงเกิลเกตเวย์ผู้ที่เชี่ยวชาญด้านเทคนิค 80% มักนึกถึงซิงเกิลเกตเวย์ในทางกายภาพ คือตัดท่อทั้งหมดมาต่อออกท่อเดียว ซึ่งถ้าทำจริงจะก่อให้เกิดปัญหา redundancy หรือกรณีที่ท่อมีปัญหา ระบบก็จะล่มทั้งหมด เพราะมีท่อเดียว ซึ่งส่วนตัวคิดว่ารัฐบาลจะไม่ทำ เพราะจะกระทบกับนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลและแนวคิดเรื่องศูนย์กลางดิจิทัลของเอเชียของรัฐบาลเองด้วย ซึ่งตรงนี้เขาเสนอเพิ่มเติมว่า รัฐบาลควรจะมีเคเบิลใต้น้ำของตัวเองได้แล้ว เพื่อสร้างทางเลือกในการไม่ต้องไปต่อกับเคเบิลใต้น้ำของสิงคโปร์ โดยเปรียบเทียบคล้ายการขุดคอคอดกระ ที่จะช่วยลดระยะทางและประหยัดต้นทุน
ทั้งนี้ ประสงค์ยกตัวอย่างการทำซิงเกิลเกตเวย์ในประเทศต่างๆ ว่า ในจีน ที่ใช้ Great Firewall นั้นก็ยังต้องมีท่อออกนอกประเทศ 3 ทาง คือที่ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกวางโจว เพื่อที่ว่าหากท่อใดท่อหนึ่งล่มก็ยังสามารถต่อออกนอกประเทศได้ ขณะที่ประเทศลาวนั้นก็พยายามทำซิงเกิลเกตเวย์ ภายใต้ชื่อที่แปลได้ว่า "ออกประตูเดียว" มาราว 5 ปีแล้ว แต่ปรากฏว่าตอนนี้ก็ยังไม่สามารถตัดการเชื่อมต่อใดของเอกชนได้เลย เพราะเอกชนไม่ยินยอม จากกรณีนี้จะเห็นว่า ถ้ารัฐบาลไม่มีอำนาจพอก็จะทำไม่ได้
ด้านยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) มองว่า แนวคิดซิงเกิลเกตเวย์เป็นความพยายามหนึ่งของรัฐบาลในการควบคุมเนื้อหาที่อาจเข้าข่ายหมิ่นประมาทกษัตริย์ในอินเทอร์เน็ต โดยชี้ว่าหลังรัฐประหารเป็นต้นมาจะเห็นความพยายามควบคุมอินเทอร์เน็ตผ่านการใช้กฎอัยการศึก การพยายามขอความร่วมมือกับบริษัทโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างไลน์ ความพยายามผ่านกฎหมายความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
ยิ่งชีพ กล่าวถึงสถานการณ์คดี ม. 112 หลังรัฐประหารว่า มีผู้ถูกจับกุมอย่างน้อย 54 ราย โดยจำนวนมากเป็นการกระทำก่อนรัฐประหารแต่ถูกจับภายใต้กฎอัยการศึก โดยมีข้อสังเกตว่า 40 รายเป็นการแสดงความเห็นทางออนไลน์ ส่วน 3 รายเป็นการกระทำในโลกออฟไลน์ แต่มีหลักฐานในโลกออนไลน์
ทั้งนี้ ยิ่งชีพชี้ว่า รัฐบาลมีเครื่องมือทั้งมาตรา 18-20  ของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ในการเรียกข้อมูลจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเพื่อรวบรวมหลักฐานรวมถึงขอหมายศาลให้มีการปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์ต่างๆ ได้ รวมถึงมาตรา 9 ของกฎอัยการศึก ในการเข้าถึงข้อมูลการสื่อสารได้โดยไม่ต้องใช้หมายศาล อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน รัฐบาลทหารยังประสบอุปสรรคอยู่บ้าง เพราะเว็บไซต์หลายแห่งของต่างประเทศ เช่น เฟซบุ๊ก ยูทูบ ไม่ให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลผู้ใช้ด้วยนโยบายเรื่องความเป็นส่วนตัว รวมถึงไม่ปิดกั้นการเข้าถึงเนื้อหาในเว็บ ทำให้หากรัฐบาลต้องการบล็อคก็ต้องส่งคำขอไปที่ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแต่ละราย ซึ่งกินเวลานาน ขณะที่หากมีซิงเกิลเกตเวย์ การทำงานของรัฐก็จะง่ายขึ้น
ยิ่งชีพขยายความถึงการใช้อำนาจใต้กฎหมายที่มีด้วยว่า แม้จะมีกฎหมาย มีขั้นตอนปฏิบัติเช่นต้องขอหมายศาล แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครรู้จำนวนเว็บที่ถูกบล็อคที่แน่ชัด และบางครั้งเราไม่รู้ว่ามีคนถูกจับได้อย่างไร ทั้งที่เขาบอกว่าเขาซ่อนตัวด้วย VPN หรือใช้ TOR แล้ว เพราะมีคดีจำนวนมาก ที่มีการสารภาพตั้งแต่ในชั้นต้นๆ ทำให้เราไม่เห็นหลักฐานว่าตำรวจรู้ตัวผู้กระทำผิดได้อย่างไร
ยิ่งชีพชี้ว่า โดยสรุป หากมีซิงเกิลเกตเวย์ สถานการณ์ด้านคดี 112 ก็คงไม่เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก เพราะรัฐบาลมีกฎหมายต่างๆ เป็นเครื่องมืออยู่แล้ว เพียงแต่เราจะมีโอกาสรู้ได้ยากขึ้นว่าเขาทำอะไรบ้าง

‘สุชน-สมพงษ์’ ลาออกเพื่อไทย ร่วมสปท.


สุชน ชาลีเครือ ยื่นใบลาออก เพื่อไทย เพราะได้เก้าอี้สภาขับเคลื่อนฯ แต่ไม่ตัดขาดจากกัน สมพงษ์ สระกวี แกนนำแดง ออกด้วย แจงนั่ง สปท. เผยเดินหน้าดัน 'นิรโทษกรรม'
6 ต.ค.2558 ที่พรรคเพื่อไทย อาคารโอไอเอทาวเวอร์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เมื่อเวลา 13.30 น. นายสุชน ชาลีเครือ สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยต่อ พล.ต.อ.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรค หลังจากได้รับการประกาศแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)
โดย นายสุชน กล่าวว่า ตนได้ไปยื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย เพื่อไปทำหน้าที่ สปท. ดังนั้น เพื่อให้การทำงานในฐานะ สปท. เป็นไปด้วยความอิสระ เป็นกลางทางการเมือง ไม่ผูกมัดสถานะสมาชิกพรรค จึงยื่นหนังสือลาออก และขอขอบคุณพรรคเพื่อไทยที่เปิดโอกาสให้ทำงานเพื่อประเทศในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา ซึ่ง พล.ต.ท.วิโรจน์ ไม่ได้คัดค้านอะไร การมาทำงานเป็น สปท. ครั้งนี้ มาในนามส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับพรรคเพื่อไทย ตนยอมรับในเงื่อนไขของพรรคว่า หากใครจะไปเป็น สปท. ต้องลาออก แต่ไม่อยากให้ใครตีความการลาออกไปในทางเสียหาย แต่ตนมีเจตนารมณ์ต้องการมาช่วยสร้างความปรองดอง ยุติความขัดแย้ง
เมื่อถามว่า การลาออกครั้งนี้ พร้อมตัดขาดจากพรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ นายสุชน กล่าวว่า เป็นเรื่องของอนาคต แต่ตอนนี้มีความเป็นอิสระ พร้อมจะมาทำงานเพื่อสร้างความปรองดอง แม้จะไปทำงานคนละหน้าที่กับพรรคเพื่อไทย แต่ความเป็นพี่น้อง เพื่อนยังคงอยู่เหมือนเดิม ทั้งนี้จะเดินทางมารายงานตัวเป็น สปท. ที่รัฐสภา ในวันที่ 7 ต.ค. เวลา 09.00 น.
รายงานข่าวเพิ่มเติมแจ้งว่า ขณะที่ นายสมพงษ์ สระกวี สมาชิกพรรคเพื่อไทย อดีต ส.ว.สงขลา และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็น สปท. และเข้ารับการรายงานตัวแล้วในวันนี้ ก็เตรียมเข้ายื่นหนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทยเช่นกัน
แกนนำแดง แจงนั่ง สปท. เผยเดินหน้าดัน 'นิรโทษกรรม'
นายสมพงษ์ ว่า ขณะนี้กำลังตรวจสอบว่ายังเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยอยู่หรือไม่ เนื่องจากไม่แน่ใจว่าเคยยื่นใบลาออกจากพรรคช่วงไปลงสมัคร ส.ว.สงขลา แล้วหรือยัง แต่ไม่ซีเรียสอะไร เพราะไม่ได้มีตำแหน่งในพรรค และการเป็น สปท.ไม่มีข้อห้ามสมาชิกพรรคการเมืองมาดำรงตำแหน่ง การได้เป็น สปท.ครั้งนี้ เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยมาช่วยงานคณะกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่มี นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ อดีต สปช. เป็นประธาน ต่อมาเมื่อคณะกรรมการชุดดังกล่าวถูกยุบไป ทางคณะกรรมการฯ ได้เสนอชื่อตนและคนอื่นๆ มาเป็น สปท.เพื่อสานงานต่อเรื่องความปรองดอง จึงมาเป็น สปท.ในโควตาของคณะกรรมการปรองดองฯ ไม่ใช่ในนามพรรคเพื่อไทยหรือ นปช.
นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า จะมาเดินหน้าผลักดันเรื่องการนิรโทษกรรมให้สำเร็จ เพราะเป็นหนทางเดียวที่ทำให้เกิดความปรองดอง จะให้นิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนไม่เกี่ยวกับแกนนำและคดีทุจริต คดีตามมาตรา 112 อย่างไรก็ตาม ในส่วนประชาชนที่ต้องโทษคดีเผาบ้านเผาเมือง เห็นว่าควรอยู่ในข่ายได้รับการนิรโทษกรรมด้วย เพราะที่ผ่านมาเคยมีการนิรโทษกรรมให้นักศึกษาที่เผาทำลายสถานที่ราชการ ในเหตุการณ์ วันที่ 14 ต.ค. 2516 และ 6 ต.ค.2519 และเหตุการณ์เดือนพฤษภาฯ ทมิฬมาแล้ว 3 ครั้ง ส่วนที่กลุ่ม นปช.และพรรคเพื่อไทย จะตัดขาดสมาชิกพรรคที่ไปเป็น สปท.นั้น ที่ผ่านมา นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. เคยทักท้วงตนไม่อยากให้ไปเป็น สปท. แต่ตนพิจารณาแล้วอยากมาผลักดันเรื่องการนิรโทษกรรม เพราะขณะนี้มีคดีที่เกี่ยวกับกลุ่มพันธมิตรฯ และคนเสื้อแดงค้างคาอยู่ถึง 6,000 คดี บางส่วนก็ติดคุกอยู่ จึงต้องมาผลักดันเรื่องนี้ ส่วนความสัมพันธ์กับกลุ่ม นปช. หลังจากนี้คิดว่าในส่วนของแกนนำ นปช.ยังสามารถอธิบายเหตุผลการมาเป็น สปท.ให้เข้าใจได้ แต่ยอมรับว่า คนเสื้อแดงผิดหวังมาก รู้สึกว่าเหมือนถูกหักหลัง ซึ่งไม่รู้จะอธิบายอย่างไร อย่างไรก็ตามตนยังมีความเป็นเสื้อแดงในหัวใจอยู่ และยังรักคนเสื้อแดงอยู่เหมือนเดิม

มีชัย รับทาบ บวรศักดิ์ เป็นทีมที่ปรึกษา กรธ.


เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงการทาบทามบุคคลเพื่อเข้ามาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา กรธ. ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงเรื่องการอำนวยความสะดวกในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ โดยยอมรับว่า ได้ทาบทามนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญและในฐานะอดีตเลขานุการกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ให้เข้ามาดำรงตำแหน่งดังกล่าว
“แต่จากพูดคุยกับนายบวรศักดิ์ จะไม่ขอรับตำแหน่งดังกล่าว เพราะเคยร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ลงมติไม่เห็นชอบมาแล้ว แต่การพูดคุยได้ระบุไปว่าเชิญนายบวรศักดิ์ในฐานะที่เป็นอดีตเลขานุการ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 แต่นายบวรศักดิ์ยังรีรอที่จะให้คำตอบ เพราะกังวลว่าสื่อมวลชนจะวิพากษ์วิจารณ์ แต่หากสื่อมวลชนสัญญาว่าจะไม่วิพากษ์วิจารณ์ ผมจะไปพูดคุยกับนายบวรศักดิ์อีกครั้ง เพราะมองว่าหากนายบวรศักดิ์ตอบรับ จะทำให้การร่างรัฐธรรมนูญรอบปัจจุบันจะเกิดประโยชน์ ส่วนจำนวนของที่ปรึกษานั้น ยังไม่ได้กำหนดว่าจะตั้งครบ 9 คนหรือไม่ เพราะต้องรอหารือต่อที่ประชุม กรธ.อีกครั้ง เบื้องต้นอาจมีจำนวนไม่ครบตามที่ระบุก็ได้” นายมีชัย กล่าว
ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนแสดงความเห็นร่าง รธน.
“อยากขอความร่วมมือให้ทุกภาคส่วนแสดความคิดเห็นต่อประเด็นต่าง ๆ ด้วย โดยไม่ปล่อยให้เป็นเรื่องของ กรธ. ที่มีเพียง 21 คนเท่านั้น ขณะที่แนวทางการป้องกันการทุจริตในวงการภาครัฐนั้น ยอมรับว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่เขียนมานั้นยังไม่ดีพอ แต่จะทำกลไกให้มีประสิทธิภาพอย่างไรนั้น ต้องขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนร่วมแสดงความเห็นเพื่อกำหนดเป็นมาตรการที่บังคับใช้ได้จริง การทำการปกครองให้เหมาะกับสภาพสังคมไทยนั้น ผมยอมรับว่ายาก แต่ขอให้ทุกฝ่ายช่วยกัน เพราะรอบนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ทุกคนจะได้มีส่วนร่วม และทำรัฐธรรมนูญให้เป็นของทุกคน แต่หากถามผม เรื่องนี้ก็ยังคิดไม่ออก เมื่อคืนก็คิดก็ยังคิดไม่ออก” นายมีชัย กล่าว
ตั้งอนุกรรมการศึกษาด้านนิติบัญญัติ-ฝ่ายบริหาร
นายอมร วาณิชวิวัฒน์ และนายนรชิต สิงหเสนี โฆษก กรธ. แถลงผลการประชุมกรธ.ว่า ที่ประชุมมีมติตั้งคณะอนุกรรมการ 2 คณะ คือ คณะทำงานศึกษาโครงสร้างฝ่ายนิติบัญญัติ และคณะทำงานศึกษาโครงสร้างฝ่ายบริหาร คณะละ 5-6 คน ทำหน้าที่ศึกษาข้อดี-ข้อเสียของรูปแบบระบบการเมืองในต่างประเทศ เพื่อนำมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับสังคมไทย โดยจะเปิดรับฟังความคิดเห็นของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและใช้เวลา 1 เดือนรวบรวมข้อมูล ก่อนเสนอให้ที่ประชุมกรธ.พิจารณาต่อไป
ทั้งนี้  คณะอนุกรรมการทั้ง 2 ชุด อาจเชิญบุคคลภายนอกมาร่วมด้วย นอกจากนี้ ยังมีมติที่จะตั้งคณะอนุกรรมการว่าด้วยการผลิตสื่อ โดยจะมีบุคคลภายนอกมาเป็นองค์ประกอบหลัก ส่วนใหญ่จะให้เป็นนักวิชาการที่เข้ามาช่วยเผยแพร่เนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญในรูปแบบที่ประชาชนเข้าใจง่าย เน้นเผยแพร่ผ่านสื่อดิจิตอลและสื่อออนไลน์เป็นหลัก

ประยุทธ์เผยเตรียมเล่นงานคนบันทึกประชุม Single gateway ชี้อาจเขียนไม่ครบถ้วน


8 ต.ค.2558 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการตั้ง Single gateway ว่า "จะถามอะไรอีก ก็บอกแล้วว่ายังไม่ได้คิด ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ยังไม่ได้สั่งอะไรเลย"
ต่อประเด็นที่เอกสารสรุปจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีการสั่งการเรื่องดังกล่าวถึง 4 ครั้งนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า จะต้องไปฟังรายละเอียด เพราะบางครั้งเวลาเขียนอาจจะเขียนไม่ครบถ้วน เดี๋ยวตนจะไปเล่นงานคนบันทึกการประชุม แต่ตนได้ถามกับรัฐมนตรีแล้วและมีการคุยกันในที่ประชุมครม. คือไปหาวิธีการดำเนินการ แต่จะต้องดำเนินการไปตามกฎหมายและไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า ทำไมไม่อ่านตรงนั้น และถ้าละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือถ้าไม่มีกฎหมายก็ทำไม่ได้ ก็แค่นั้นเอง
"ผมถามว่าวันนี้มันเดือดร้อนหรือเปล่า เด็กนักเรียนดูรูปโป๊อะไรก็ได้ จะทำยังไง ผมไม่ได้หมายความว่าซิงเกิล เกตเวย์ มันแก้ปัญหาได้หมด แต่จะทำยังไง ถ้าไม่ทำอะไรท่านอย่ามาร้องเรียนอะไรกับผม" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า คนหนึ่งบอกว่าเรื่องนี้ห้าม แต่อีกพวกหนึ่งก็บอกว่าเดือดร้อนจากเรื่องนั้นๆ แล้วรัฐบาลจะอยู่ตรงไหน พร้อมกล่าวด้วยว่า "ยังไม่ได้ทำ เพราะฉะนั้น เลิกพูด เรื่อง Single gateway อย่ามาพูดกับผม เบื่อแล้ว เก่าแล้ว ขุดอยู่นั่นแหละ"
      
ต่อประเด็นเรื่องการแนวทางอื่นทดแทนการทำ Single gateway นั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ไปคิดและศึกษาจากต่างประเทศว่าทำได้อย่างไร ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ทำ แต่ปัญหาคือเราชอบนำสิ่งที่เกิดในต่างประเทศมาเปรียบเทียบกับบ้านเรา ซึ่งมันไม่ได้ เพราะความคิดคนไทยกับต่างชาติไม่เหมือนกัน ทุกอย่างจะเอาแต่สบายหมด เขาพัฒนาเกินหน้าเราไปมาก เพราะมันติดอยู่อย่างนี้ ติดความคิดเดิม ติดการสร้างความเข้าใจแบบเดิม มันไปไหนไม่ได้ แก้ให้ตายก็ไปไม่ได้ อยู่แค่นี้กลับมาที่เดิม จะขับเคลื่อนเดินหน้าไปก็ไม่ได้สักที มีแต่ขับเคลื่อนถอยหลัง
เมื่อถามว่า นายกฯ รู้สึกอย่างไรพอจะขยับก็มีเรื่องเข้ามา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าไม่รู้สึกอะไรเพราะเป็นเรื่องธรรมดา และคนจะเป็นผู้นำไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่เป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อคนบางกลุ่มบางพวก ก็ต้องเลือกเอาว่าจะทำให้ดีขึ้นหรือเท่าเดิม ถ้าเท่าเดิมตนก็ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องเข้าประชุมให้ปวดหัว ไม่ต้องเริ่มอะไรใหม่ๆ แค่รักษาเวลาไว้ให้เลือกตั้ง ถ้าวันนี้ยังสร้างความเข้าใจเหมือนเดิม เขียนเหมือนเดิมสื่อต้องเขียนให้รู้ว่าปัญหาชาติอยู่ที่ไหน หรือยังไม่รู้แล้วมาเก็บสิ่งที่ตนพูดให้ตีกันอยู่อย่างนี้ ตนคิดว่ามันไม่ใช่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พบความคืบหน้าของเรื่องนี้ในข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเป็นระยะๆ ดังนี้
30 มิ.ย. 2558
ให้กระทรวงไอซีทีร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงยุติธรรมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการจัดตั้ง Single Gateway เพื่อใช้เป็นเครื่องมือควบคุมเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมและการไหลเข้าของข้อมูลข่าวสารจากต่างประเทศผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต โดยให้ตรวจสอบข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหากมีความจำเป็นต้องออกกฎหมายเพิ่มเติม ก็ให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไปด้วย
21 ก.ค. 2558
ให้กระทรวงไอซีทีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการจัดตั้ง Single Gateway เพื่อใช้เป็นเครื่องมือควบคุมเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมและการไหลเข้าของข้อมูลข่าวสารจากต่างประเทศผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต ตามมติคณะรัฐมนตรี (30 มิถุนายน 2558) โดยด่วนต่อไป
4 ส.ค. 2558
ให้ทุกส่วนราชการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการดำเนินการทุกอย่างของรัฐบาลให้แก่ประชาชนตั้งแต่เริ่มแรก รวมทั้งต้องมีการแก้ไขข้อสงสัยที่เกิดขึ้น เพื่อให้ประชาชนมีความไว้วางใจต่อรัฐบาลและข้าราชการให้ได้ โดยไม่ควรมุ่งที่จะใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการบังคับแต่เพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบมาตรการและโครงการสำคัญต่าง ๆ เร่งรัดการดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 นี้ โดยให้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการให้นายกรัฐมนตรีทราบภายในเดือนสิงหาคม 2558 ดังนี้
- กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รายงานความคืบหน้าการจัดตั้ง Single Gateway เพื่อเป็นเครื่องมือควบคุมเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมและการไหลเข้าของข้อมูลข่าวสารผ่านอินเทอร์เน็ต
25 ส.ค. 2558
ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (4 สิงหาคม 2558) ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบมาตรการและโครงการสำคัญต่างๆ เร่งดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ซึ่งรวมถึงเรื่องการจัดตั้ง single gateway ที่ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้รับผิดชอบ โดยให้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการให้นายกรัฐมนตรีทราบภายในเดือนสิงหาคม 2558 นั้น ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเร่งรัดการดำเนินการเรื่องดังกล่าวและรายงานความคืบหน้าให้นายกรัฐมนตรีทราบภายในเดือนกันยายน 2558 ต่อไปด้วย