วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557

อุดมการณ์ กินไม่ได้แต่ตายแทนได้


ยุกติ มุกดาวิจิตร: อุดมการณ์ กินไม่ได้แต่ตายแทนได้



การอัตวินิบาตกรรมของคุณนวมทอง ไพรวัลย์ทำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง นัยหนึ่งถือว่าเป็นการประท้วงต่อการรัฐประหาร อีกนัยหนึ่งถือเป็นการยืนยันความจริงจังและบริสุทธิ์ใจต่ออุดมการณ์ อีกนัยหนึ่งอาจปลุกเร้าสำนึกของผู้ร่วมอุดมการณ์ หรืออีกนัยหนึ่งก็เกรงว่าจะเป็นความสูญเสียที่สูญเปล่า

นัยยะต่างๆเหล่านั้นล้วนนำเรากลับไปสู่คำถามที่เกินเลยไปกว่าเพียงการตระหนักถึงความสำคัญของประชาธิปไตย เป็นการนำสังคมไทยไปสู่คำถามใหญ่ๆที่ว่า อุดมการณ์คืออะไร ทำไมคนจึงยอมตายเพื่ออุดมการณ์

คำถามนี้ส่วนหนึ่งช่วยให้เราเข้าใจต่อไปด้วยว่า ทำไมเราจึงควรเข้าใจการต่อต้านการรัฐประหารครั้งนี้ในฐานะที่เป็นการต่อสู้เชิงอุดมการณ์ ทำไมหลายกลุ่มจึงยืนยันว่าการต่อต้านรัฐประหารไม่ใช่การพิทักษ์ผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม ตลอดจนประเด็นที่ว่า ทำไมอุดมการณ์ประชาธิปไตยจึงไม่ใช่สิ่งเพ้อฝัน แต่ปฏิบัติได้จริง และเหมาะกับสังคมไทยปัจจุบัน


เพื่อเป็นการไว้อาลัยแด่การจากไปพร้อมๆกันของคุณนวมทอง ไพรวัลย์ นักประชาธิปไตยสามัญชนที่ยิ่งใหญ่ (เสียชีวิต 31 ตค. 2549) และคลิฟฟอร์ด เกียร์ตซ์ (Clifford Geertz) นักมานุษยวิทยาคนสำคัญของโลก (เสียชีวิต 30 ตค. 2549) ผู้เขียนขออาศัยแรงบันดาลใจจากคุณนวมทองมาทำความเข้าใจธรรมชาติของอุดมการณ์ ผ่านแนวคิดของเกียร์ตซ์

เกียร์ตซ์เสนอว่า "มนุษย์เป็นสัตว์ประเภทหนึ่งที่ถูกยึดโยงอยู่ในเครือข่ายของการให้ความหมายที่ตนเองปลุกปั่นมันขึ้นมา" (Interpretation of Culture, 1973, p. 5) ดังนั้นการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์จึงต้องอาศัยการ 'ตีความ' หรือเรียกอีกอย่างว่า 'การทำความเข้าใจ'

การที่คุณนวมทองอุทิศชีวิตตนเองเพื่อประกาศอุดมการณ์จึงเป็นการกระทำที่มีความหมายอย่างหนึ่ง ไม่สามารถประเมินได้ด้วยตัวเลขโพลล์ของสำนักต่างๆ เราต้องทำความเข้าใจความหมายที่คุณนวมทองสื่อ ไม่ใช่ไป "เพิ่มการประชาสัมพันธ์การทำงานของ คมช.ให้มากขึ้น" ดังคำกล่าวของพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช. (ไทยโพสต์, 2 พย. 2549) และ พ.อ.อัคร ทิพยโรจน์ โฆษกกองทัพบก (กรุงเทพธุรกิจ, 1 พย. 2549)

นั่นเพราะการกระทำของมนุษย์วางอยู่บนการให้ความหมายต่อข้อเท็จจริงต่างๆ เกียร์ตซ์กล่าวว่า "ความคิด เกิดขึ้นมาจากการเสกสรรค์และการจัดการของระบบสัญลักษณ์ ด้วยการที่ความคิดให้ความหมายหลักๆแก่การกระทำ ความคิดจึงเป็นต้นแบบให้กับการกระทำลักษณะต่างๆ อันได้แก่การกระทำทางกายภาพ การกระทำทางชีวภาพ การกระทำทางสังคม และการกระทำทางจิตใจ" (เล่มเดิม, p. 214)


"แบบแผนของวัฒนธรรมก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นศาสนา ปรัชญา สุนทรียศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรืออุดมการณ์ ล้วนเป็นโปรแกรมที่เป็นแม่แบบหรือพิมพ์เขียวสำหรับการจัดการทางสังคมและจิตใจ" (เล่มเดิม, p. 216)

ดังนั้นไม่ว่าเราจะเอาข้อเท็จจริงมากมายแค่ไหนไปกองต่อหน้าคุณนวมทอง ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความยึดมั่นต่ออุดมการณ์ของคุณนวมทองได้ เช่นเดียวกับที่ไม่ว่าฝ่ายต่อต้านรัฐประหารจะนำข้อมูลมากมายแค่ไหนไปกองให้คณะรัฐประหารดู ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอุดมการณ์ของคณะรัฐประหารได้ การกระทำของคุณนวมทองจึงไม่ได้เป็นผลมาจากการรู้ข้อมูลน้อยไป แต่เพราะเขาให้ความหมายต่อชีวิตและโลกต่างออกไปจากที่คณะรัฐประหารเข้าใจ

อันที่จริงหากเข้าใจดังนี้ เราจะไม่เพียงเข้าใจการกระทำของคุณนวมทองได้ แต่เราจะเข้าใจได้ด้วยว่า การกระทำของคณะรัฐประหารก็มีฐานะเป็นอุดมการณ์เช่นกัน เพียงแต่ต่างฝ่ายต่างยืนอยู่บนการให้ความหมายที่แตกต่างกัน และฝ่ายหนึ่งมีอำนาจมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง กล่าวคือ

ประการแรก มนุษย์ล้วนให้ความหมายต่อสิ่งต่างๆ ล้วนใส่ความคิดฝันไปในการกระทำ 'ก่อน' ที่จะลงมือกระทำสิ่งใดทั้งสิ้น มนุษย์ทุกคนจึงกระทำไปโดยอาศัยหลักทฤษฎี หรือแนวทางอะไรบางอย่างเป็นเครื่องโน้มนำทั้งสิ้น (แม้แต่สิ่งที่เรียกว่าการกระทำตาม 'สามัญสำนึก' เพราะสามัญสำนึกก็เป็นระบบความหมายอย่างหนึ่ง ถูกให้ความหมายก่อนแล้วเช่นกัน อ่านเพิ่มเติมได้ใน Clifford Geertz "Common Sense as a Cultural System" In Local Knowledge)


อุดมการณ์ทางการเมืองจึงเป็นแนวทางทางการเมือง เป็นโลกทัศน์ทางการเมือง ที่ทำให้ชีวิตทางการเมืองเป็นไปอย่างปกติธรรมดาแบบใดแบบหนึ่ง โลกทัศน์ดังกล่าวนี้แสดงชัดเจนในจดหมายและเสื้อที่คุณนวมทองสวมคืนนั้นว่า คุณนวมทองมองโลกประชาธิปไตยก่อนการรัฐประหารว่ามีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่อย่างน้อย 14 ตุลาคม 16, 6 ตุลาคม 19 และ 17 พฤษภาคม 35 ในขณะเดียวกัน คุณนวมทองยึดมั่นในความเท่าเทียมกันของประชาชน ภายใต้อำนาจสูงสุดของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยไม่ยอมรับอำนาจการปกครองของทหารและตำรวจอย่างสิ้นเชิง

ประการที่สอง การกล่าวว่าอุดมการณ์บางอย่าง เพ้อฝัน เลื่อนลอย เป็นเพียงอุดมคติ ติดทฤษฎี ผิดยุค ไม่สมจริง เป็นการกล่าวหาอย่างไม่เข้าใจความสำคัญของระบบความหมายของมนุษย์ เพราะในเมื่อการกระทำทางการเมืองใดๆล้วนเป็นการกระทำตามอุดมการณ์ แนวทางทางการเมืองที่อ้างกันว่า ปฏิบัติได้จริง ติดดิน เหมาะสมกับข้อเท็จจริงของสังคม ก็ล้วนแต่เป็นการกระทำตามอุดมการณ์เช่นกันทั้งสิ้น

การกล่าวหาว่าอุดมการณ์ใดเพ้อฝัน จึงเป็นการทำลายความเชื่อถือระหว่างคนที่เชื่อในอุดมการณ์ที่ต่างกัน และบ่อยครั้งที่อุดมการณ์ที่ถูกกล่าวหาว่าเพ้อฝัน เป็นอุดมการณ์ที่มีอำนาจในสังคมการเมืองด้อยกว่าอุดมการณ์ที่อ้างว่าสมจริง ความสมจริงของอุดมการณ์ทางการเมือง จึงเป็นเพียงการกล่าวอ้างของผู้ยึดครองอำนาจนำในสังคม


ดังนั้นการที่โฆษกทหารบกไม่เข้าใจว่า "ไม่มีคนไทยคนไหนที่มีอุดมการณ์สูงขนาดต้องทำร้ายตัวเองเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยกับการปฏิรูปครั้งนี้" เพราะท่านคิดว่า "เนื่องจากคณะปฏิรูปฯ เข้ามา...ด้วยสันติวิธี มาด้วยการยอมรับของประชาชน ... ภายใต้เจตนาบริสุทธิ์" (กรุงเทพธุรกิจ, 1 พย. 49) นั้น

สาเหตุที่ลึกลงไปกว่านั้นคือ เป็นเพราะท่านหลงเชื่อไปเองว่า แนวทางทางการเมืองที่ตนยึดมั่นอยู่เท่านั้นที่ 'สมจริง' 'เหมาะกับสภาพความเป็นจริง' ทั้งๆที่ท่านก็น่าจะเข้าใจได้ไม่ยากว่า การล้มล้างอุดมการณ์ที่คนยึดมั่นอยู่ย่อมเป็นการล้มล้าง 'โลก' ที่คนๆนั้นเคยอยู่อย่างเป็นปกติธรรมดา คนๆนั้นจึงอาจยอมตายเพื่อปกป้องโลกของเขาได้ ทำนองเดียวกับที่ทหารยอมตายได้เพื่อปกป้องอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์จากการคุกคามของอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ในอดีต

ประการที่สาม ปกติแล้วบทบาทของอุดมการณ์มักเกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เกียร์ตซ์กล่าวว่า "เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การแสดงออกทางอุดมการณ์จะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ... ทั้งนี้เพื่อเรียกร้องยืนยันให้คงไว้ซึ่งอุดมการณ์เดิม หรือไม่ก็เพื่อนำเสนออุดมการณ์ใหม่" (เล่มเดิม, p. 218)

ดังนั้น เมื่ออยู่ๆโลกประชาธิปไตยแบบที่คุณนวมทองอาศัยอยู่เป็นปกติธรรมดาถูกทำลายลง คุณนวมทองก็ต้องการแสดงออกเพื่อเรียกร้องให้คงไว้ซึ่งอุดมการณ์เดิม ไม่ต่างจากการเรียกร้องของพวกนักศึกษา หรืออภิสิทธิ์ชนอื่นๆ (รวมทั้งผู้เขียนบทความนี้) ต่างกันที่นักศึกษาและอภิสิทธิ์ชนมีพื้นที่แสดงความเห็นในบรรยากาศเช่นนี้ได้ 

  

เมื่อไม่สามารถเรียกร้องให้คณะรัฐประหารฟังได้ คุณนวมทองจึงเสมือนถูกผลักให้เข้าไปอยู่ในโลกที่เขาไม่คุ้นเคย เกิดความตระหนก กลายเป็นคนที่ตกไปอยู่ต่างวัฒธรรมต่างธรรมเนียมประเพณีที่เขาไม่สามารถปรับตัวได้ ยอมรับไม่ได้ จนถึงขั้นฝืนทนดำรงชีพอยู่ด้วยไม่ได้ต่อไป

หากคณะรัฐประหารปวารณาว่าได้กระทำรัฐประหารครั้งนี้เพื่อประชาธิปไตย แทนที่ท่านจะพยายามประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจท่าน ท่านต่างหากที่เป็นฝ่ายต้องทำความเข้าใจประชาชนที่ยึดมั่นในประชาธิปไตยจนอาจยอมตายเพื่ออุดมการณ์นี้ได้

และเพื่อแสดงความจริงใจที่จะทำความเข้าใจประชาชน สิ่งแรกที่ท่านต้องทำคือการเปิดพื้นที่การแสดงออกทางการเมือง ด้วยการยกเลิกกฎอัยการศึกและคืนอำนาจอธิปไตยให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด

- See more at: http://blogazine.in.th/blogs/yukti-mukdawijitra/post/5103#sthash.BGV7CwNy.dpuf

ยิ่งลักษณ์-ทักษิณไหว้บรรพบุรุษที่เหมยเซียน มณฑลกวางตุ้ง


ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และทักษิณ ชินวัตร ซึ่งอยู่ระหว่างเยือนจีนเดินทางไปเคารพบรรพบุรุษที่เหมยเซียน เมืองเหมยโจว ในมณฑลกวางตุ้ง
31 ต.ค. 2557 - เฟซบุ๊คเพจยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โพสต์ภาพยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และบุตรชาย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางไปเคารพหลุมฝังศพบรรพบุรุษที่อำเภอเหมยเซียน เมืองเหมยโจว ซึ่งเป็นถิ่นฐานของชาวจีนฮากกา หรือจีนแคะ อยู่ติดต่อกับเมืองซัวเถา ถิ่นฐานของชาวจีนแต้จิ๋ว ในมณฑลกวางตุ้ง
ที่มาของภาพ: เฟซบุ๊คเพจยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ในเฟซบุ๊คเพจของยิ่งลักษณ์ยังมีการโพสต์สเตตัสว่า
"วันนี้เดินทางมาที่เมืองเหมยเซี่ยน มณฑลกวางโจว เพื่อมาเคารพหลุมฝังศพบรรพบุรุษที่เรียกว่ายายทวด และไปดูบ้านที่แม่เคยอยู่ตอนช่วงอายุ 9 ถึง 13 ขวบตอนตามคุณตามาอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองก่อนที่จะอพยพไปอยู่ที่ฮ่องกงและนั่งเรือจากฮ่องกงเพื่อมายังประเทศไทย นอกจากนี้ยังได้มีโอกาสพบญาติที่ยังเหลืออยู่ในรุ่นหลานซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับดิฉันและพี่ชาย ท่านทักษิณได้ใช้เวลาในการสืบหาสถานที่นี้ตั้งแต่ก่อนที่ท่านเป็นนายกฯจากคำบอกเล่าของคุณแม่และท่านก็เคยเดินทางมาแล้วครั้งหนึ่งสมัยที่มาเยือนเมืองจีนตอนเป็นนายกรัฐมนตรี ที่สำคัญมาครั้งนี้มีข่าวดีเพิ่มคือมีโอกาสได้ไปเคารพหลุมฝังศพและบ้านที่เคยอยู่ของสายคุณพ่อซึ่งมีอายุเกือบ 300 ปี ต้องขอขอบคุณฝ่ายทางการจีนที่ช่วยสืบหาให้จนพบต้นกำเนิดบรรพบุรุษสายทางคุณพ่อด้วยค่ะ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แปลกที่บรรพบุรุษสายคุณพ่อและคุณแม่ มาจากมณฑลเดียวกัน อยู่ห่างกันเพียง 3 ชม หากเดินทางโดยรถยนต์"

ผบ.ทบ.ยันไม่เลิก 'อัยการศึก' ชี้ไม่กระทบชีวิตประจำวัน


ผู้บัญชาการทหารบก แจงสถานการณ์ยังไม่สงบจึงต้องคงกฏอัยการศึกไว้ก่อน เชื่อทุกฝ่ายเข้าใจ-ไม่ส่งผลกระทบชีวิตประจำวัน
 
30 ต.ค. 2557  สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ รายงานว่า พลเอกอุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณายกเลิกการประกาศใช้กฎอัยการศึกในบางพื้นที่ว่า ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงมีความเข้าใจถึงข้อเรียกร้อง ในการขอให้ยกเลิกกฎอัยการศึก แต่เมื่อเปรียบเทียบสถานการณ์ต่างๆ ในประเทศแล้ว มองว่า ยังมีความจำเป็นต้องใช้แนวทางที่จะทำให้มีความสงบมากที่สุด จึงยังคงต้องใช้กฎหมายพิเศษนี้ ซึ่งหากยกเลิกไป อาจจะทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย เชื่อว่าทุกฝ่ายเข้าใจ เพราะไม่ส่งผลกระทบในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้หากย้อนกลับไป 6 - 7 เดือนที่แล้ว จะเห็นว่าสถานการณ์ภายในประเทศมีความแตกต่างกัน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีพยายามทำงานให้ดีที่สุด เพื่อเดินหน้าประเทศไทย จึงขอให้ทุกฝ่ายให้โอกาสและเวลา พร้อมทั้งให้กำลังใจในการทำงาน

สำหรับการประกาศใช้ พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ.2447 ทั่วราชอาณาจักร เริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อเวลา 3.00 น. ของวันที่ 20 พ.ค. 2557 โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น

ตำรวจห้ามจัดกิจกรรมระลึกลุงนวมทองแท็กซี่ประชาธิปไตย

ตำรวจกว่าร้อยคนตรึงกำลังสะพานลอยนวมทอง หน้า นสพ.ไทยรัฐ ห้ามจัดกิจกรรมรำลึกครบรอบ 8 ปี 'นวมทอง ไพรวัลย์' กระทำอัตวินิบาตกรรม
31 ต.ค. 57 เมื่อเวลาประมาณ 8.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 100 คน เข้าควบคุมพื้นที่บริเวณสะพานลอยนวมทอง หน้า สำนักพิมพ์ไทยรัฐ และอ้างกฏอัยการศึก สั่งห้ามจัดกิจกรรมใดๆ ที่เป็นการต้านรัฐประหาร ซึ่งรวมถึงการจัดกิจกรรมระลึกถึง นายนวมทอง ไพรวัลย์ คนขับรถแท็กซี่ซึ่งผูกคอตายที่สะพานลอยแห่งนี้ เมื่อ 8 ปีที่แล้ว
แกนนำนักศึกษาจาก ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย (ศนปท.) จำนวนเจ็ดคนได้เดินทางมาที่สะพานลอยดังกล่าว เพื่อวางหรีด แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับไม่ยอมให้พวกเขาเข้าไปบริเวณสะพานลอย นึกษาจึงยืนสงบนิ่งไว้อาลัยหนึ่งชม. เพื่อทดสอบความอดทนของรัฐ ก่อนจะถูกนำตัวไปเจรจาบริเวณศาลาใกล้เคียงเป็นเวลาประมาณสองชม. สุดท้ายเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้ทำกิจกรรมวางหรีด โดยก่อนที่จะเดินทางกลับได้ยืนไว้อาลัยประมาณ 1 นาที
อย่างไรก็ตาม อานนท์ นำภา ทนายความนักโทษการเมือง ได้รับอนุญาตให้ไปวางหรีด หลังจากทำการเจรจากับตำรวจนานถึงครึ่งชั่วโมง และยังมีหญิงไม่ทราบชื่ออีกคนหนึ่งที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปวางดอกไม้ด้วยเช่นกัน 







ยกฟ้องคดีโครงการน้ำ 3.5 แสนล้านบาทรัฐบาลยิ่งลักษณ์


ศาลปกครองสูงสุดกลับคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น ยกฟ้องในคดีบริหารงานโครงการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
 
31 ต.ค. 2557 สำนักข่าวไทยรายงานว่าศาลปกครองสูงสุด กลับคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น ยกฟ้องในคดีบริหารงานโครงการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
 
โดยคดีนี้สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนกับพวก 45 คน ยื่นฟ้องนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับพวก รวม 4 คน โดยศาลพิเคราะห์เห็นว่า โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ยังไม่กระทบต่อประชาชน เป็นเพียงแผนแม่บทเท่านั้น และแผนไม่ได้กระทบต่อผังเมืองและภาคประชาชน ยังไม่มีการเวนคืนที่ดิน ส่วนประเด็นที่ผู้ว่าจ้าง ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนเป็นผู้จัดโครงการประชาพิจารณ์ ที่ผู้ฟ้องอ้างว่าอาจมิชอบนั้น ศาลเห็นว่าบริษัทเอกชนที่ว่าจ้าง อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาล หากมีความไม่โปร่งใส ก็เป็นอำนาจของรัฐที่จะกำกับดูแลอยู่แล้ว ส่วนการเอาผิดทางอาญา ศาลเห็นว่าเป็นอำนาจของ ป.ป.ช. ตามมาตรา 157
 
ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน กล่าวหลังศาลมีคำพิพากษาว่า รู้สึกเสียใจ ภาคประชาชนต้องทำงานหนักมากขึ้น แต่จากคำพิพาษาวันนี้ จะเป็นบรรทัดฐานที่ประชาชนจะต้องเข้าไปมีส่วนร่วม ตรวจสอบการดำเนินงานที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชน พร้อมเดินหน้าตรวจสอบโครงการที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกโครงการ

ป.ป.ช. เปิดทรัพย์สิน ครม. พบ 'ประยุทธ์-คู่สมรส' มี 128 ล้านบาท


เปิดบัญชีทรัพย์สิน ครม. ประยุทธ์ 1 นายกฯ รวย 128 ล้านเปิดบัญชีทรัพย์สิน ครม. ประยุทธ์ 1 นายกฯ รวย 128 ล้าน
ป.ป.ช.เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ครม. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคู่สมรสมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 128 ล้านบาท ขณะที่หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจมีทรัพย์สินมากที่สุด 1.3 พันล้านบาท
 
31 ต.ค. 2557 สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยรายงานว่าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน และหนี้สิน พร้อมเอกสารประกอบของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กรณีเข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2557 จำนวน 33 ราย 35 ตำแหน่ง
 
โดยนายกรัฐมนตรี และคู่สมรส มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 128 ล้านบาท พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีทรัพย์สิน 87,373,757 บาท ไม่มีหนี้สิน หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี และคู่สมรส มีทรัพย์สิน 1,378,394,902.62 บาท ไม่มีหนี้สิน ซึ่งถือว่า มากที่สุดในคณะรัฐมนตรีชุดนี้ รองลงมาคือ หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคู่สมรสมีทรัพย์สิน 1,315,332,228 บาท ไม่มีหนี้สิน
 
ขณะที่รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ส่วนใหญ่ไม่มีหนี้สิน อาทิ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และคู่สมรส มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 116,847,346.51 บาท พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และคู่สมรส มีทรัพย์สิน 186,033,607.07 บาท พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคู่สมรส มีทรัพย์สิน 37,709,130.47 บาท พลเอกอุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และคู่สมรส มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 54,634,679.28 บาท
 
พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคู่สมรส มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 51,789,420.88 บาท พลเอกดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคู่สมรส มีทรัพย์สิน 93,959,333.05 บาท นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และคู่สมรส มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 830,523,789.33 บาท พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคู่สมรส มีทรัพย์สิน 33,280,755.90 บาท ไม่มีหนี้สิน พลเรือเอกณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 6,948,378.27 บาท ซึ่งถือว่ามีทรัพย์สินน้อยที่สุดในรัฐบาลชุดนี้
 
ทั้งนี้ ป.ป.ช. กำหนดเปิดแสดงบัญชีทรัพย์สิน-หนี้สินดังกล่าว ไปจนถึงวันที่ 14 พฤศจิกายนนี้ ระหว่างเวลา 08.30 น.–16.30 น. ที่ห้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน สำนักงาน ป.ป.ช. ถนนนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี หรือ เว็บไซต์ของสำนักงา ป.ป.ช. WWW.NACC.GO.TH

ป.ป.ช. แถลงเปิดคดีถอดถอน 'ยิ่งลักษณ์' ต่อ สนช. 12 พ.ย. นี้


"ปานเทพ" ประธาน ป.ป.ช. ระบุรัฐบาลสามารถขอข้าวที่ไม่เกี่ยวกับกระบวนการตรวจสอบไปขายก่อนได้ พร้อมทำหนังสือถึงรัฐบาลขอตรวจสอบสต็อกข้าว พร้อมส่งตัวแทนแถลงเปิดคดีถอดถอน “ยิ่งลักษณ์” ต่อที่ประชุม สนช. 12 พ.ย.นี้
 
31 ต.ค. 2557 สำนักข่าวไทยรายงานว่านายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบสต็อกข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า เบื้องต้น ป.ป.ช.ได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อขอเอกสารเกี่ยวกับการตรวจสอบสต็อกข้าว ซึ่งจะนำมาประกอบในการพิจารณาคดี ทั้งการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ โดยเน้นที่การทุจริตเป็นหลัก เนื่องจากมีความเกี่ยวเนื่องกับต่างประเทศ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับเอกสารกลับจากรัฐบาล ส่วนกรณีที่รัฐบาลจะขอข้าวไปจำหน่ายก่อนนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเป็นข้าวที่อยู่ในกระบวนการตรวจสอบหรือไม่ หากไม่เกี่ยวข้องน่าจะสามารถอนุมัติให้ขายได้ แต่ต้องรอให้รัฐบาลประสานมาก่อน
 
“ผมเข้าใจว่ารัฐบาลต้องการเร่งระบายข้าวก่อนที่จะเกิดการเสื่อมสภาพ และเกิดความเสียหาย ซึ่งทาง ป.ป.ช.พร้อมนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมทันทีหากรัฐบาลประสานมา ส่วนเรื่องข้าวหายจะใช้คณะกรรมการชุดเดิมในการตรวจสอบ” นายปานเทพ กล่าว
 
นายปานเทพ ยังกล่าวถึงสำนวนการถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่กำลังเข้าสู่วาระการประชุมพิเศษของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ว่า ป.ป.ช.จะส่งตัวแทนไปแถลงเปิดคดีที่รัฐสภา ส่วน น.ส.ยิ่งลักษณ์ สามารถส่งตัวแทนไปรับฟังคำแถลงเปิดคดีแทนได้โดยไม่ต้องเดินทางไปด้วยตัวเอง

ศาลไม่ให้ประกัน รอบสอง คดี 112 ลุงวัย 67 ปีเขียนผนังห้องน้ำห้าง


          ที่ศาลทหาร เจ้าหน้าที่นำตัวนายโอภาส (สงวนนามสกุล) อายุ 67 ปี  ผู้ต้องหาคดี 112 จากกรณีเขียนข้อความในผนังห้องน้ำห้างสีคอนสแควร์ โดยผู้ต้องหาถูกจับกุมตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค.และถูกคุมขังมาจนปัจจุบัน ก่อนหน้านี้เคยยื่นประกันตัวไปแล้วครั้งหนึ่งโดยใช้โฉนดที่ดินมูลค่า 2.5   ล้านบาทแต่ศาลไม่อนุญาต

         ในวันนี้พนักงานสอบสวนนำตัวผู้ต้องหามายื่นคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 2 ที่ศาลทหารในช่วงเช้า ทนายความผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องคัดค้านการขอฝากขังครั้งที่ 2 และขอให้ศาลไต่สวนพนักงานสอบสวน โดยคัดค้านว่าพนักงานสอบสวนไม่มีเหตุจำเป็นจะต้องควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ เนื่องจากคดีมีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ไม่ซับซ้อน คำให้การของผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนก็เป็นประโยชน์ในการรวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับคดีนี้แล้ว ไม่มีเหตุที่ผูต้องหาจะไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานได้อีก สอบผู้ร้องแล้วยืนยันตามคำร้องฉบับวันที่ 31 ตุลาคม 2557 ที่ยื่นต่อศาล

          จากนั้นมีการสอบพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนแถลงต่อศาลว่า พนักงานสอบสวนได้เร่งรัดทำการสอบสวนมาโดยตลอด แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องสอบสวนปากคำพยานบุคคลเพิ่มเติมอีก 5 ปาก รอผลการพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหาจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ต้องหาหรือผู้ต้องถูกหล่าวหาว่ากระทำผิดข้อหาร้ายแรงตามคำแถลงของพนักงานสอบสวน ปรากฏว่ายังมีเหตุจำเป็นที่จะต้องควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ในระหว่างสอบสวนต่อไป
ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ทนายความผู้ต้องหาแจ้งว่าในช่วงบ่ายได้ยื่นประกันตัวโดยใช้หลักทรัพย์เดิม พร้อมแหตุผลประกอบด้านปัญหาสุขภาพ เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นโรคเส้นเลือดในจอรับภาพบวมซึ่งอาจแตกและทำให้ตาบอด ซึ่งโดยปกติผู้ต้องหาต้องพบแพทย์ทุก 2-3 เดือนหากพบว่ามีอาการจะยิงเลเซอร์เพื่อทำการรักษา

         ต่อมาเวลาประมาณ 16.00  น.ศาลทหารมีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวผู้ต้องหาโดยระบุว่า “พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าศาลนี้เคยสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยระบุเหตุผลไว้ชัดแจ้งแล้ว กรณีนี้ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ยกคำร้อง แจ้งผู้ต้องหาและผู้ยื่นคำร้องทราบ”
ทั้งนี้ โอภาสถูกจับวันที่ 15 ต.ค.โดยเจ้าหน้าที่ของห้างซีคอนสแควร์เป็นผู้นำตัวส่งหทาร หลังเขายอมรับและเสียค่าปรับทำห้องน้ำห้างสกปรก 2,000 บาท ต่อมาพ.ท.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญได้นำตัวโอภาสมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่กองบังคับการปราบปรามก่อนนำตัวไปขอฝากขังที่ศาลทหาร

          โอภาส เป็นชายวัย 67  ปีชาวกรุงเทพฯ มีอาชีพขายของเบ็ดเตล็ด เขากล่าวว่า ไม่เคยร่วมชุมนุมแต่อย่างใด และเป็นผู้ติดตามการเมืองเพียงห่างๆ จนกระทั่งในราวปี 2552 ได้เจอคลื่นวิทยุชุมชนทั้งฝ่ายเหลืองและฝ่ายแดงโดยบังเอิญจึงรับฟังมานับแต่นั้นมา และพบว่าชอบฟังสถานีของฝ่ายเสื้อแดงมากกว่า แต่ก็จะเลือกฟังเฉพาะดีเจบางคน เขายืนยันว่าไม่ได้ถูกล้างสมองจากวิทยุชุมชนตามที่เจ้าหน้าที่ทหารพยายามแถลงข่าวไปในแนวทางดังกล่าว

        ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนให้ข้อมูลว่า ในปัจจุบันคดี 112 มีอยู่เกือบ 20 คดี ผู้ต้องหาเกือบทั้งหมดไม่ได้รับการประกันตัว ในจำนวนนี้มีอยู่ 6 คดีที่ถูกส่งไปดำเนินคดียังศาลทหาร คดีล่าสุดคือคดีของโอภาสนับเป็นคดีที่ 2 ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นการกระทำความผิดหลังรัฐประหาร (คดีทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ที่จังหวัดเชียงรายนับเป็นกรณีแรก) นอกเหนือจากนั้นเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนการรัฐประหาร

วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557

พล.อ.ประยุทธ์เชื่อว่า พล.อ.ประวิตร จะไม่เข้าพบทักษิณที่ปักกิ่ง



ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมผังเมืองกรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2557 โดยมีกว่าน มู่ อดีตเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำกรุงเทพมหานคร ร่วมคณะด้วย ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ยืนยันว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม และรองหัวหน้า คสช. ซึ่งอยู่ระหว่างเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนเช่นกัน จะไม่เข้าพบคณะของทักษิณ (ที่มาของภาพ: เฟซบุ๊คยิ่งลักษณ์ ชินวัตร)
นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ยอมรับว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม และรองหัวหน้า คสช. เยือนจีนจริง แต่เป็นไปตามคำเชิญจากจีน มีการเจรจาด้านเศรษฐกิจเพราะจีนเป็นตลาดข้าว-ยางพารา และ พล.อ.ประวิตร มีวิจารณญาณรู้ถึงความเหมาะสมว่าควรพบ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่

29 ต.ค. 2557 - สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยืนยันว่า การเดินทางเยือนประเทศจีนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในขณะนี้ ไปในนามของรัฐบาลและตามคำเชิญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของจีน ที่มีความคุ้นเคยและรู้จักกัน ซึ่งการเยือนครั้งนี้ มีตัวแทนกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม ร่วมคณะไปด้วย เพื่อหารือด้านเศรษฐกิจร่วมกัน เนื่องจากจีนเป็นตลาดใหญ่ ที่จะสามารถส่งออกข้าว และยางพาราได้
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีเชื่อว่า การเดินทางเยือนของ พล.อ.ประวิตร จะไม่ไปพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ยังคงอยู่ประเทศจีน เนื่องจาก พล.อ.ประวิตร รู้ถึงความเหมาะสม มีวิจารณญาณ ว่าจะต้องพบเจอหรือไม่ โดยที่ตนเองไม่ต้องสั่งห้าม เพราะทุกอย่างต้องดำเนินการตามกฎหมาย รวมถึงไม่ต้องโทรศัพท์เพื่อเจรจาต่อสู้คดี แต่หากจะต่อสู้คดีก็ต้องเดินทางกลับมา
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ขณะเดียวกันคณะของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และบุตรชาย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังคงเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนเช่นกัน โดยเมื่อวันที่ 29 ต.ค. ในเฟซบุ๊คของยิ่งลักษณ์ มีการเผยแพร่ภาพที่คณะของยิ่งลักษณ์เยี่ยมชมผังเมืองของกรุงปักกิ่ง โดยมี กว่าน มู่ อดีตเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำกรุงเทพ ติดตามคณะด้วย

สหรัฐฯ เปลี่ยนมาตรการ 'อีโบลา' เลิกกักกันผู้เดินทางกลับประเทศ ใช้เฝ้าระวังแทน

หลังยูเอ็นวิจารณ์กรณีรัฐนิวเจอร์ซีย์สั่งกักกันตัวพยาบาลที่กลับจากการไปช่วยเหลือผู้ติดเชื้ออีโบลาในแอฟริกาตะวันตกว่าเป็นการปฏิบัติไม่ดีต่อ 'ผู้เสียสละเพื่อมนุษยชาติ' รบ.กลางจึงประกาศมาตรการใหม่ให้ใช้วิธีเฝ้าระวังดูอาการแทน
28 ต.ค. 2557 ทางการสหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงมาตรการด้านสาธารณสุขใหม่โดยยกเลิกการกักกันหน่วยแพทย์และพยาบาลชาวสหรัฐฯ ที่กลับจากการรักษาผู้ป่วยอีโบลาในแอฟริกาตะวันตกแต่ใช้วิธีคอยเฝ้าระวังติดตามผลเพื่อดูอาการแทน
ก่อนหน้านี้มีกรณีพยาบาลชื่อกาซิ ฮิกค็อกซ์ ถูกกักกันตัวอยู่ในเต็นท์ที่รัฐนิวเจอร์ซีย์หลังกลับจากการไปช่วยรักษาผู้ป่วยอีโบลาในแอฟริกาตะวันตก ทำให้บันคีมูน เลขาธิการสหประชาชาติกล่าวประณามการกักกันตัวบุคคลในครั้งนี้ และล่าสุดรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้ตัดสินใจปรับมาตรการดังกล่าว
บัดนี้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลาทำให้มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 10,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 4.922 ราย ซึ่งคนที่ยังไม่แสดงอาการของโรคอีโบลาจะไม่ถือว่าเป็นผู้ที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อให้คนอื่น
โฆษกของบันคีมูนกล่าวว่า คนทำงานด้านสาธารณสุขที่กลับจากการช่วยเหลือด้านโรคอีโบลาเป็นบุคคลดีเด่นที่เสียสละตัวเองเพื่อมนุษยชาติ พวกเขาไม่ควรถูกจำกัดบริเวณโดยไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
ก่อนหน้านี้ในสหรัฐฯ การกักกันตัวผู้เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อมาจากการตัดสินใจของรัฐแต่ละรัฐเอง โดยหลังจากที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของทางการกลางหรือซีดีซีได้ออกมาตรการใหม่โดยยกเลิกการกักกันตัว ผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์ก็ออกมาคัดค้านการปรับเปลี่ยนมาตรการทันที ซึ่งรัฐนิวเจอร์ซีย์เป็น 1 ใน 3 รัฐของสหรัฐฯ ที่เคยมีมาตรการกักกันตัวคนทำงานด้านสาธารณสุขที่เคยสัมผัสกับคนไข้ติดเชื้ออีโบลาเป็นเวลา 21 วัน
คริส คริสตี ผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์กล่าวปกป้องการตัดสินใจกักกันตัวพยาบาลฮิกคอกซ์หลังจากที่ฮิกคอกซ์เดินทางกลับจากประเทศเซียร์ราลีโอนและยืนยันว่าจะมีการกักกันตัวเธอต่อไป
บีบีซีรายงานว่าในตอนนี้ฮิกคอกซ์เดินทางออกจากโรงพยาบาลในนิวเจอร์ซีย์และได้กลับบ้านของเธอในรัฐเมนแล้ว โดยฮิกคอกซ์ไม่ได้แสดงอาการใดๆ ของผู้ติดเชื้อ ฮิกคอกซ์กล่าวว่าเธอรู้สึกเหมือนเป็นอาชญากรในตอนที่เธอกลับถึงสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (24 ต.ค.)
มาตรการใหม่ของซีดีซีมีการจำแนกนักเดินทางและคนทำงานด้านสาธารณสุขที่กลับจากแอฟริกาตะวันตกออกเป็น 4 กลุ่ม โดยกำหนดให้คนทำงานด้านสาธารณสุขที่กลับจากพื้นที่ที่มีการระบาดหนักไว้ใน "กลุ่มที่มีความเสี่ยงบางส่วน" ในการติดเชื้อ
ทอม ฟรีเดนผู้อำนวยการซีดีซี กล่าวว่าคนทำงานด้านสาธารณสุขที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีความเสี่ยงบางส่วนจะต้องได้รับการเฝ้าระวังติดตามผลเพื่อดูอาการเป็นเวลา 21 วัน ซึ่งผู้ที่ถูกจัดว่ามีความเสี่ยงสูงคือผู้ที่เคยสัมผัสของเหลวจากร่างกายของผู้ติดเชื้ออีโบลาโดยตรง ฟรีเดนกล่าวอีกว่าแม้พวกเขาจะไม่แสดงอาการแต่ก็ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางร่วมกับคนทั่วไปหรืออยู่ในงานที่มีผู้คนจำนวนมาก
แดเนียล ดับเบิลยู เดรซเนอร์ จากสำนักข่าววอชิงตันโพสต์กล่าวว่าการตัดสินใจกักกันตัวในบางรัฐของสหรัฐฯ ไม่ใช่เรื่องในเชิงนโยบายแต่เป็นการตัดสินใจทางการเมืองเพื่อแสดงให้ผู้คนเห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขาได้ทำอะไรบางอย่างแม้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำจะไม่ได้สร้างความปลอดภัยมากขึ้น ทำให้ดูเป็น "ฉากละครในเรื่องความปลอดภัย" มากกว่า
อนึ่ง เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา บริษัทไอบีเอ็มแถลงข่าวเรื่องโปรแกรมแอปพลิเคชันเกี่ยวกับการทำแผนที่ช่วยเหลือจัดการโรคอีโบลาซึ่งพวกเขาพัฒนาขึ้นโดยอาศัยความร่วมมือจากบริษัทโทรศัพท์มือถือและนักวิชาการ โปรแกรมดังกล่าวสามารถระบุถึงปัญหาและโอกาสการแพร่กระจายเพื่อให้คนทำงานสามารถจัดหาทรัพยากรต่างๆ ในการรับมือกับเชื้อไวรัสได้ทันท่วงที
อูยี สจ๊วต หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ในฝ่ายงานวิจัยแอฟริกาของไอบีเอ็มกล่าวว่าพวกเขาเล็งเห็นความต้องการโดยด่วนในการพัฒนาระบบสำรวจชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากอีโบลาเพื่อให้ข้อมูลเรื่องวิธีจัดการกับปัญหาโดยอาศัยเทคโนโลยีการสื่อสารผ่านโทรศัพท์มือถือ


คลอด 5 รายชื่อ กมธ.ยกร่างฯ จากฝ่ายสนช.


            30 ต.ค. 57 มติชนออนไลน์ รายงานว่า ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ครั้งที่ 19 ได้มีวาระการประชุมพิจารณาให้ความเห็นชอบรายชื่อผู้ที่มีความเหมาะสมเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ  โดยมีนายพรเพชร วิชิตชลชัย เป็นประธานในการประชุม ทั้งที่ประชุมได้ใช้เวลาในการลงคะแนนลับเพียง 5 นาที โดยมีการแจกใบลงคะแนนที่มีรายชื่อผู้สมัครเป็นคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 10 คน ในสัดส่วนของ สนช. ให้กับสมาชิกเลือกเพียง 5 คน ล่าสุดได้รายชื่อผู้ได้รับคัดเลือก ทั้ง 5 คนได้แก่
  • 1.นายดิสทัต โหตระกิตย์ 175 คะแนน
  • 2.นางกาญจนารัตน์ ลีวิโรจน์ 167 คะแนน
  • 3.นายปรีชา วัชราภัย 149 คะแนน
  • 4.นายวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ 126 คะแนน
  • 5.พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ 100 คะแนน คะแนน

          ส่วนผู้ที่ไม่ได้รับการคัดเลือกเป็น กมธ.ยกร่างฯ ได้แก่ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ได้ 85 คะแนน,นายทวีศักดิ์ สูทกวาทิน 67 คะแนน, นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง 37 คะแนน, นายนิวัติ ศรีเพ็ญ 26 คะแนน และนายประมุท สูตะบุตร 24 คะแนน
         ทั้งนี้เมื่อวันที่ 29 ต.ค. ที่ผ่าน ที่ประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ได้ลงมติคัดเลือกกมธ.ยกร่างฯ 20 คน เรียบร้อยแล้ว(อ่านข่าวที่นี่) รวมแล้วตอนนี้มีกธม.ยกร่างฯทั้งหมด 25 คน จาก 39 คน ซึ่งในส่วนที่เหลือจะมาจากการประชุมร่วมและพิจารณาโดยคณะรัฐมนตรี และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) โดยมีสัดส่วนจากครม. 5 คน คสช. 5 คน และอีก 1 คน คือประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจะเป็นอำนาจหน้าที่ของคสช. ในการเสนอ ทั้งนี้จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบรายชื่อผู้ที่มีความเหมาะเป็นกมธ.ยกร่างฯ ในวันที่ 4 พ.ย. นี้

ศูนย์ทนายยื่นหนังสือ ผบ.เรือนจำฯ ไม่ให้แยกขังนักโทษการเมือง


วันนี้ (30 ตุลาคม 2557) นายศุภณัฐ บุญสด นักกฎหมาย ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้เดินทางไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อยื่นหนังสือถึงผู้บัญชาการเรือนจำฯ เรื่อง ขอให้ย้ายผู้ต้องขังคดีอาญาที่เกี่ยวจากเหตุทางการเมืองที่อยู่ตามแดนต่างๆในเรือนจำดังกล่าวให้ย้ายมาร่วมกันที่แดน 1 เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหาตามหลักสิทธิมนุษยชน

ในหนังสือได้ยกกรณีการเสียชีวิตของนายสุรกริช ชัยมงคล ผู้ต้องหาในกรณียิง นาย สุทิน ธราทิน แกนนำ กปท. เสียชีวิต ที่ แดน4 เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2557ที่ผ่านมา โดยทางเจ้าหน้าที่เรือนจำฯได้รับหนังสือดังกล่าวไว้เป็นที่เรียบร้อย


วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เดือนตุลา กับวัฒนธรรมการเมืองไทย และคำถามว่าทำไมเราจำ ‘ตุลา’ ไม่เหมือนกัน

Tue, 2014-10-28 20:53

ถอดบทเรียนจากวงเสวนาฯ เรื่องราวความทรงจำร่วมสมัยในเดือนตุลา การทำงานของเรื่องเล่าขนาดใหญ่ ที่ทุกฝ่ายต่างเข้าครอบครอง การถอดรื้อความศักดิ์สิทธิ์ในเดือนตุลา และตุลาที่ถูกลืม
27 ต.ค. 57 กลุ่มนักศึกษาคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้จัดกิจกรรมเสวนาวิชาการในหัวข้อ “เดือนตุลา กับวัฒนธรรมการเมืองไทย” ณ ห้องอเนกประสงค์ ชั้น 1 คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต โดยมีวิทยากรคือ อนุสรณ์ อุณโณ คณบดีคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา และภาคิไนย์ ชมสินทรัพย์มั่น นักวิชาการจากสถาบันพระปกเกล้า ดำเนินรายการโดย กวินวุฒิ เล็กศรีสกุล ซึ่งงานเสวนานี้เป็นการเสวนาภายใต้การเฝ้าดูของเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล โดยทางเจ้าหน้าฯ ได้ประสานกับทางผู้จัดกิจกรรมเพื่อเข้ามาบันทึกวีดีโอตลอดการเสวนา ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ฯเข้าร่วมฟังเสวนาเข้ามาด้วยท่าทีที่เป็นมิตร และไม่ได้แสดงออกซึ่งการกระทำอันการคุกคามเสรีภาพทางวิชาการในทางตรงแต่อย่างใด
‘ประชาไท’ ถอดความมานำเสนอ
“มันไม่มีหรอกคำว่า “วัฒนธรรม” ตัวใหญ่ๆ หรือ “วัฒนธรรมทางการเมือง” จะมีก็แต่สภาวการณ์ที่ซึ่ง ความปรารถนาผลประโยชน์ หรือระบบคุณค่า ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่มันได้รับการสถาปนาขึ้นมาให้เป็นระเบียบหลัก ให้คนในสังคมยอมรับและปฏิบัติตาม” อุณโณ อุณโณ
เดือนตุลา ในฐานะเรื่องเล่าที่ถูกลดทอน
อนุสรณ์ เริ่มต้นด้วยการเล่าถึงเรื่องที่คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีนโยบายให้งดจัดกิจกรรมเสวนาวิชาการในวันที่ 6 ต.ค. 2557 ซึ่งแต่เดิมมีการจัดขึ้นทุกปี ทว่าในปีนี้ได้มีคำสั่งให้ลดทอนกิจกรรมลงให้เหลือเพียงกิจกรรมทางศาสนาในช่วงเช้าของวันที่ 6 ตุลาคม เท่านั้น อย่างไรก็ดีได้มีผู้บริหารท่านหนึ่ง เสนอในที่ประชุมคณะผู้บริหารว่า ให้มีการจัดงาน 14 ตุลา และ 6 ตุลา รวมกันไปในครั้งเดียว โดยอนุสรณ์มองว่าวิธีคิดลักษณะนี้เป็นการกดทับความซับซ้อนของปัญหา และลดทอนให้กิจกรรมเป็นเพียงประเพณีเท่านั้น พร้อมชี้ให้เห็นข้อแตกต่างระหว่าง 14 ตุลาคม 16 กับ 6 ตุลาคม 19 ว่าทั้งสองเหตุการณ์นี้มีแกนหลักของเรื่องที่ต่างกันคือ ประวัติศาสตร์ 14 ตุลา เป็นเรื่องราวชัยชนะของนักศึกษาเหนืออำนาจเผด็จการทหาร ขณะที่ 6 ตุลา กลับเป็นชัยชนะของขบวนการฝ่ายขวา และนักศึกษาเป็นผู้แพ้พ่าย
อนุสรณ์กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนักที่ สังคมไทยจะจดจำและให้ความสำคัญกับ 14 ตุลา 16 มากกว่า 6 ตุลา 19 และมากไปกว่านั้นก่อนหน้านี้ 6 ตุลา 19 มีปัญหาเรื่องที่ทางในทางประวัติศาสตร์มาโดยตลอด อย่างไรก็ตามหากมองกลับมาที่การผลิตซ้ำความทรงจำของเหตุการณ์ 14 ตุลา ก็จะพบว่ามีปัญหาในตัวมันเองอยู่ ประการแรกคือเราจะมองไม่เห็นอุดมการณ์แบบอื่นนอกจากประชาธิปไตย ในขบวนการนักศึกษาครั้งนั้น ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วในขบวนการนักศึกษาไม่ได้มีความคิดเห็นหรือมีอุดมการณ์ไปในทางเดียวกัน แต่ว่ามีอุดมการณ์ทุกรูปแบบอยู่ในนั้น ซึ่งนี่เป็นการลดทอนความซับซ้อนของปัญหาให้เหลือเพียงปรากฏการณ์ที่เข้าใจได้ง่ายๆ ประการที่สองคือ เราแทบจะมองไม่เห็นการตื่นตัวทางการเมืองของคนในต่างจังหวัด เราเห็นแค่เพียงเรื่องราวของนักศึกษาในเมืองเท่านั้น ซึ่งนี้ก็เป็นการมองที่เป็นปัญหา เพราะเอาเข้าจริงแล้วความตื่นตัวทางการเมืองไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่กรุงเทพฯเท่านั้น และหากเราไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ก็ไม่สามารถเชื่อมโยง หรือมองเห็นความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในต่างจังหวัดในช่วง 14 ตุลา 16 ได้
วัฒนธรรมทางการเมือง กับเดือนตุลา ในแว่นตานักมานุษยฯ
อนุสรณ์ชวนให้คิดว่า เวลาเราพูดถึงวัฒนธรรม เราจะรู้สึกว่ามันมีความหมายที่กว้างมาก หรือมันเป็นคำที่ใหญ่เกินไป แต่ในทางมานุษยวิทยา เวลาพูดถึงวัฒนธรรมจะมีมุมมองที่เล็กกว่านั้น คือจะเป็นการมองไปที่เรื่องราวของคนเล็กคนน้อยว่า เขามีวัฒนธรรมอย่างไร มีชีวิตมีการต่อสู้ดิ้นรนอย่างไร มีการรับวัฒนธรรมและสร้างวัฒนธรรมอย่างไร ในวัฒนธรรมหนึ่งๆ จึงมีการต่อสู้และช่วงชิงกันตลอดเวลา เพื่อสนองผลประโยชน์ และทำให้คุณค่าที่ตนเชื่อนั้นได้รับการเชิดชู  ฉะนั้นเราจึงเห็นความซับซ้อนของคำว่า “วัฒนธรรม” และมองมันได้หลากหลายแบบ หากมองในทางมานุษยวิทยาจึงไม่มีคำว่า “วัฒนธรรม” ตัวใหญ่ๆ หรือ “วัฒนธรรมทางการเมือง” จะมีก็เพียงแค่ สภาวการณ์ที่ซึ่งความปรารถนาผลประโยชน์  คุณค่า ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่มันได้รับการสถาปนาขึ้นมาให้เป็นระเบียบหลัก ให้คนในสังคมยอมรับและปฏิบัติตาม
ด้วยเหตุนี้ อนุสรณ์ชี้ให้เห็นว่าเวลาจะพูดถึงเหตุการณ์เดือนตุลา กับวัฒนธรรมการเมืองไทย สิ่งที่เราควรจะพูดถึงและทำความเข้าใจก็คือ เหตุการณ์เดือนตุลาถูกหยิบใช้ หรือสถาปนา เพื่อตอบโจทย์ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งขึ้นมาอย่างไร และการสถาปนาระบบคุณค่า และผลประโยชน์ของคนกลุ่มนั้นได้ปิดกั้น ระบบคุณค่าของคนกลุ่มอื่นหรือไม่ หรือมีการเปิดโอกาสให้คนกลุ่มอื่นเข้าไปหยิบฉวยระบบคุณค่านั้นๆเพื่อประโยชน์ของพวกเขาได้หรือไม่
เมื่อพูดเช่นนี้แล้ว อนุสรณ์ได้ตั้งคำถามที่ชวนคิดต่อไปว่า ภายใต้การสถาปนาเรื่องเล่าเดือนตุลาขึ้น ใครกันที่ได้ใช้ประโยชน์จากมันมากที่สุดในตอนนี้  ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือ “คนเดือนตุลา” ด้วยเหตุว่าการนำพาชีวิตผ่านเรื่องราวเหตุการณ์ทางการเมือง 14 ตุลา 16 มันเป็นการสร้างทุน สังคม ทุนทางวัฒนธรรม ทุนทางสัญลักษณ์ และสามารถจะแปลงเปลี่ยนเป็นทุนแบบอื่นๆได้อีก ฉะนั้นปัจจุบันเราจึงเห็นคนเดือนตุลาประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แทบจะในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างในด้านที่เกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะเขามีประสบการณ์ที่เคยผ่านเรื่องราวที่กลายมาเป็นเรื่องเล่ากระแสหลัก หรือระเบียบหลักของสังคม และตัวพวกเขาเองก็ได้เข้าไปอยู่ในระเบียบหลักของสังคมด้วย
ซึ่งแน่นอนอนุสรณ์ เห็นว่าการผ่านประสบการณ์ 14 ตุลา กับ 6 ตุลา ให้คุณค่าที่แตกต่างกัน เพราะในขณะที่คนรุ่น 14 ตุลา สถาปนาเรื่องเล่าของตนเองและเข้าไปอยู่ในระเบียบหลักของสังคม คนรุ่น 6 ตุลา แม้จะมีส่วนหนึ่งที่เข้าไปอยู่ในระเบียบอำนาจหลัก แต่คนรุ่น 6 ตุลาอีกส่วนหนึ่ง ดูจะตั้งคำถามกับระเบียบอำนาจหลักมากกว่า ฉะนั้นหากมองทั้งสองเหตุการณ์ในฐานะเรื่องเล่าที่ถูกหยิบใช้ จะเห็นว่าทั้งสองเหตุการณ์ต่างก็ทุกหยิบมาใช้หมด แต่เรื่องเล่า 14 ตุลา ถูกหยิบไปใช้มากกว่า เพราะมีเรื่องราวของประชาธิปไตย ซึ่งถูกสถาปนาเป็นอุดมการณ์หลักในตัวเรื่องเล่า ทว่าเมื่อมองกลับในปัจจุบันคนที่เรียกว่าตัวเองว่า “คนเดือนตุลา” โดยเฉพาะ 14 ตุลา กลับมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่โน้มเอียงไปทางอุดมการณ์อนุรักษนิยมอย่างมาก หรือพูดได้ว่าในช่วงสมัยที่เขาเรียกร้องประชาธิปไตย เมื่อปี 16  ก็ได้มีการเรียกร้องโดยมีการยึดโยงกับจารีตบางอย่างอยู่แล้วแต่กลับไม่ได้ถูกพูดถึงนัก เพื่อที่จะต่อสู้กับเผด็จการทหาร เช่นเดียวกับในสมัยนี้พวกเขาก็อ้างว่าเรียกร้องประชาธิปไตย  โดยอาศัยทุนของการเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในสมัยนั้น แต่กลับไม่สนใจว่าหน้าตาของประชาธิปไตยที่เรียกร้องนั้นเป็นอย่างไร พูดอีกนัยหนึ่งก็คือเป็นการเคลื่อนไหวที่เป็นเพียงการอาศัยเสื้อคลุมประชาธิปไตย ในการเคลื่อนไหวชูเชิดอุดมการณ์ในเชิงจารีต หรืออนุรักษนิยม
อนุสรณ์ ชี้ให้เห็นว่าเหตุใดคนเดือนตุลาที่ออกมาเคลื่อนไหวเพื่ออุดมการณ์เชองจารีต จึงยึดโยงตนเองกับเหตุการณ์ 14 ตุลา ประการแรกมันเป็นทุนการเมืองที่ถูกทำให้มองเห็นว่าบริสุทธิ์กล่าวคือ การที่เขามีภาพของนักศึกษาเมื่อวันที่ 14 ตุลา 16 ติดตัวอยู่แม้ตอนนี้เขาจะไม่ได้เป็นนักศึกษาแล้ว แต่ภาพลักษณ์ที่ถูกสถาปนาว่านักศึกษาเป็นผู้บริสุทธิ์ออกมาเรียกร้องในทางการเมือง ต่อต้านเผด็จการและเป็นผู้หวังดีกับประเทศยังคงติดตัวพวกเขาอยู่ตลอด แม้จะไม่ได้เรียกร้องเพื่อประชาธิปไตยแล้วก็สามารถใช้ทุนก้อนนี้ได้อยู่ ประการต่อมาเขาสามารถทำให้เรื่องเล่านี้เป็นอมตะ ไม่มีวันตายจากสังคมไทย เพราะมีการฝังเรื่องเราเหล่านี้ไว้ในสถานศึกษา และสามารถจะผลิตซ้ำได้ทุกๆ ปี ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ภาพลักษณ์ดำรงอยู่อย่างไม่สิ้นสุด ขณะเดียวกันก็มีการสร้างมุมมองในเชิงเปรียบเทียบระหว่างนักศึกษาในยุค 14 ตุลา 16 กับยุคปัจจุบัน โดยมีการมองอย่างปรามาตรว่า นักศึกษาในยุคปัจจุบันไม่สนใจการเมือง ไม่เห็นออกมาประท้วงเรียกร้องความเป็นธรรม มัวแต่สนใจเรื่องของตัวเอง ซึ่งด้วยมุมมองแบบนี้เองก็ยิ่งเป็นการดึงให้สถานะของคนเดือนตุลาสูงขึ้นไปอีกในการรับรู้ของคนในสังคม
อุดมการณ์ประชาธิปไตยแบบอำพราง กับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
“อุดมการณ์ประชาธิปไตยแบบอำพราง” เป็นคำที่อนุสรณ์ใช้เรียกอุดมการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ซึ่งผู้คนต่างยึดมั่นเชื่อถือ แน่นอนรวมทั้งคนเดือนตุลาบางส่วนด้วย อย่างไรก็ตามเขาเห็นว่า  “อุดมการณ์ประชาธิปไตยแบบอำพราง” นี้ไม่มีทางไปได้กับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ในรอบ  20 ปี ที่ผ่านมา เพราะมีการเติบโตของคนกลุ่มใหญ่ในสังคมซึ่งก่อนหน้านั้นเคยเป็นเพียงผู้เฝ้าดูการเคลื่อนไหวทางการเมืองของบรรดาปัญญาชน นักศึกษาและชนชั้นกลางในเมือง คนเหล่านั้นลุกขึ้นมาเรียกร้องและอยากจะเข้ามามีส่วนมากขึ้น
อนุสรณ์เทียบระหว่าง เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ กับเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างสีว่า เหตุการณ์พฤษภาทมิฬนั้นเป็นการตื่นตัวทางการเมืองของชนชั้นกลางในเมืองที่มีการศึกษา ซึ่งมีลักษณะสืบทอดมาจากคนเดือนตุลา  และหลังจากเหตุการณ์นี้ เราได้เห็นการเติบโตของภาคประชาชนเพิ่มมากขึ้น โดยคนที่เข้ามามีส่วนในการจัดการให้เกิดการเติบโตแบบนี้ได้ก็คือ NGO ซึ่งส่วนมากก็เป็นพวกนักกิจกรรมฝ่ายซ้ายเก่าที่ออกมาจากป่า โดยเข้าไปทำให้เกิดการขยายตัวของภาคประชาชนเพิ่มมากขึ้น แต่สำหรับการเมืองในยุคเสื้อสีนั้น อนุสรณ์มองว่าเป็นการบรรจบกันของ NGO ที่ทำงานกับชาวบ้านเข้าร่วมขบวนการเสื้อเหลือง และมีชาวบ้านเข้าร่วมจำนวนมาก กลุ่มขบวนการเสื้อแดงเองก็เช่นกัน ในแง่ที่เป็นการเรียกร้องทางการเมืองของคนจำนวนมากซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในสังคม ปัญหาที่เกิดขึ้นคือการเรียกร้องทางการเมืองที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เป็นการเรียกร้องเฉพาะของกลุ่มชนชั้นกลางในเมือง กลุ่มคนมีการศึกษา หรือปัญหาชนอีกต่อไป  แต่มันเป็นการเมืองของคนส่วนใหญ่ เป็นประชาธิปไตยของมวลชน ฉะนั้นเรื่องเล่าเดือนตุลาที่ผูกอยู่กับนักศึกษา ปัญญาชนคนเดือนตุลา จึงไม่สามารถไปกันได้กับสภาวะสังคมแบบนี้
และยิ่งไปกว่านั้น อนุสรณ์ชี้ว่า “อุดมการณ์ประชาธิปไตยแบบอำพราง” ที่ยึดโยงกับจักรวาลวิทยาแบบพุทธเถรวาท ซึ่งมีการแบ่งช่วงชั้นความดีงามตามลำดับความละเอียดของจิต พูดให้ง่ายคือมีวิธีการมองคนไม่เท่ากัน ไม่มีทางที่จะไปกันได้กับการตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ และคนเหล่านั้นต้องการโอกาสเข้าร่วมในทางการเมืองอย่างเสมอหน้ากัน
“คนรุ่นเรารับรู้เหตุการณ์ทางการเมืองผ่านความทรงจำของคนอื่น เรารับรู้ความทรงจำและตีความเรื่องราว… จนมันกลายเป็นวัฒนธรรมทางการเมือง ซึ่งนี่เรียกว่าการเมืองของความทรงจำ”ภาคิไนย์ ชมสินทรัพย์มั่น
วัฒนธรรมการต่อต้าน และกับความทรงจำที่ต่างกัน
ภาคิไนย์เริ่มต้นด้วยชี้ให้มองวัฒนธรรมทางการเมืองในเดือนตุลา ว่าคือวัฒนธรรมการต่อต้าน ซึ่งปัจจุบันในความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้นก็เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมต่อต้านเช่นกัน ทว่ากลุ่มต่อต้านในปัจจุบันไม่ได้มีเพียงกลุ่มเดียว แต่แบ่งแยกออกไปอย่างน้อยได้สองกลุ่มใหญ่ๆ คือกลุ่มเสื้อเหลือง นับรวมไปถึงกลุ่มกปปส. และกลุ่มเสื้อแดง ภาคิไนย์ชวนตั้งคำถามสำคัญต่อไปว่า คนทั้งสองกลุ่มนี้ต่อต้านอะไร และมีความทรงจำกับเหตุการณ์ใดมากกว่ากันระหว่าง 14 ตุลา 16 กับ 6 ตุลา 19 และเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น
ภาคิไนย์กล่าวว่า สิ่งที่คนเสื้อเหลืองต่อต้านมากที่สุดก็คือทักษิณ ระบอบทักษิณ หรือสิ่งที่เกษียร เตชะพีระให้คำนิยามว่าเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิทุนจากเลือกตั้ง ฉะนั้นภาพลักษณ์ของทักษิณ รัฐบาลทักษิณ หรือแม้กระทั่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์  จึงถูกมองว่ามีลักษณะที่เป็นเผด็จการรัฐสภา  ในชุดความคิดของคนเสื้อเหลือง รวมทั้งกลุ่มกปปส. ฉะนั้นเหตุการณ์ทางการเมืองในเดือนตุลาที่พวกเขายึดโยงด้วยมากที่สุดจึงเป็น 14 ตุลา 16 เพราะภายในความทรงจำแบบนี้มีภาพของการต่อสู้เพื่อต่อต้านเผด็จการทหาร สำหรับพวกเขายุคนี้ก็เป็นการต่อสู้เพื่อขับไล่เผด็จการเหมือนกันแต่เป็นเผด็จการรัฐสภา
ในขณะเดียวสิ่งที่กลุ่มเสื้อแดงต่อต้านมากที่สุด แม้ภายในกลุ่มเสื้อแดงจะมีหลากหลายความคิดมากก็ตาม แต่มีจุดร่วมที่ตรงกันคือ การต่อต้านอำมาตย์  โดยภาคิไนย์อธิบายว่า แม้ว่าการรวมกลุ่มกันของคนเสื้อแดงจะมีที่มาที่หลากหลาย บางกลุ่มเป็นฝ่ายซ้ายเก่า บางกลุ่มเป็นคนที่นิยมทักษิณ บางกลุ่มเป็นแดงสายฮาร์ดคอร์ ทว่าพวกเขามีประสบการณ์ร่วมกันในช่วงการสลายการชุมนุมเดือนพฤษภา 53 และเหตุการณ์นี้เองเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาตั้งคำถามทำไมพวกเขาถึงตกไปผู้ถูกกระทำ โดยที่ผู้กระทำไม่ต้องแสดงความรับผิดชอบใดๆ พฤษภา 53 เป็นบาดแผลร่วมกันสำหรับพวกเขา ฉะนั้นเหตุการณ์ทางการเมืองที่พวกเข้าคิดถึงมากที่สุด คือ 6 ตุลา 19 และไม่ใช่เพียงการมีลักษณะเป็นประวัติศาสตร์บาดแผลเหมือนกันแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทว่าอุดมการณ์ที่กระทำกับคนทั้งสองเหตุการณ์ยังคงเป็นอุดมการณ์เดิม คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์  นักศึกษาที่ถูกฆ่าแขวนคอ และถูกฟาดด้วยเก้าอี้เมื่อปี 19 ถูกมองว่าเป็นมารของสังคมในตอนนั้น ถึงที่สุดคือ ถูกมองว่าไม่เป็นไทย ภายใต้อุดมการณ์หลักของสังคม กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงเมื่อปี 53 ก็ถูกมองและถูกทำให้เป็นมารของสังคมไม่แตกต่างกัน และที่สำคัญมุมมองของสังคมไทยการกำจัดมาร หรือฆ่ามารเป็นสิ่งที่ถูกต้องและควรกระทำ
ตุลาที่ถูกลืม กับความรู้สึกร่วมที่ไม่ถูกนับรวม
ในขณะที่เราพูดถึงเหตุการณ์เดือนตุลา ดูเหมือนว่าจะมีเพียงมุมมองต่อเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 และ 6 ตุลา 19 เท่านั้น กลับไม่ได้มีการพูดถึงเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่รัฐสลายการชุมนุมที่ตากใบ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547 แต่อย่างใดในการร่วมรำลึกเดือนตุลา อนุสรณ์ได้ชี้ให้เห็นความน่าสนใจอยู่หลายประการ อย่างแรกเหตุที่เรื่องราวที่ตากใบไม่ค่อยจะเป็นที่รับรู้หรือ ถูกลืม ส่วนหนึ่งเพราะเป็นเรื่องราวของคนกลุ่มเล็กๆในสังคม ที่ถึงที่สุดแล้วเข้ากันไม่ได้กับระเบียบหลักของสังคม  ประการต่อมาคือ มีความน่าสนใจว่าคนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นมีการรับรู้และมีแนวโน้มทางการเมืองที่เข้ากันได้กับกลุ่มเสื้อแดงมากกว่ากลุ่มเสื้อเหลือง เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กับกลุ่มคนเสื้อแดง เป็นสภาวการณ์ร่วมกัน คือมีความรู้สึกที่ถูกส่งถึงกัน มีความรู้สึกว่าถูกกระทำจากคู่ปะทะ คู่ขัดแย้ง แบบเดียวกัน
ด้านภาคิไนย์เห็นว่า เหตุการณ์ตากใบนั้น แท้จริงแล้วสะท้อนให้เห็นถึง ‘สันดานของรัฐไทย’ ที่ยึดมั่นในเรื่องความมั่นคง โดยต้องการมองเห็นสังคมเป็นแบบเดียวกัน คือมีระบบระเบียบชุดเดียวกัน และหากมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาท้าทายรัฐก็พร้อมที่จะใช้ความรุนแรงเสมอ ขณะเดียวกันการสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในวันที่ 7 ต.ค. 2551 เองก็เข้าข่ายภาพสะท้อน 'สันดานของรับไทย' เช่นกัน แตกต่างกันก็ตรงที่เปลี่ยนจากกองกำลังของทหารมาเป็นกองกำลังของตำรวจเท่านั้น ทว่าผลสะเทือนหลังจากเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 นั้นภาคิไนย์ ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจ