วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554


เปิดหลักฐานชัดกุเรื่้องในหลวง-พระเทพตรวจน้ำท่วม
สุดท้ายตัวการปิดเพจหนีหลังปล่อยข่าวว่อนเน็ต

เมื่อคืนเวลาประมาณเกือบๆห้าทุ่ม ณ สะพานที่หนึ่งในเขตทวีวัฒนา มีรถคันนึงจอดอยู่บนสะพาน ชาวบ้านแถวนั้นเห็นจึงเข้าไปเคาะกระจกรถเพื่อที่จะบอกว่าเค้ามีคำสั่งให้อพยพแล้ว

เมื่อชาวบ้านพยายามมองเข้าไปในรถ ภาพที่เห็น กลับทำให้ชาวบ้านคนนั้นถึงกับเข่าทรุด เพราะคนที่นั่งอยู่ในรถ คือ พระเจ้าอยู่หัวของเรา กับสมเด็จพระเทพที่เสด็จมาดูปัญหาน้ำท่วมด้วยพระองค์เอง"


ฟังไปก็ขนลุกไป ตื้นตันมาก ขอพระองค์ทั้งสองทรงพระเจริญ

รู้รึยังว่าใครที่ห่วงใยเราตลอดเวลา ใครที่เป็นผู้นำ ใครที่แม้ไม่สบายแต่ก็ไม่เคยทอดทิ้งพวกเรา

ยังจำกันได้ไหม ตอนที่พระองค์พูดว่า ถ้าหากพวกท่านไม่ละทิ้งข้าพเจ้าแล้วข้าพเจ้าจะละทิ้งพวกท่านได้อย่างไร พระองค์ทรงทำตามคำพูดคำสัญญาตลอด ({}) ทรงพระเจริญ !

เรื่องเล่าที่มีการแชร์ตามfacebook และรีทวีตทางtwitterมากที่สุดในยามนี้ (ที่มา:facebookของ Tammy Musikadilok )แต่ล่าสุดมีการลบหน้านี้ไปแล้ว ขณะที่มีหลักฐานหนักแน่นว่ากรณีนี้เป็นการกุเรื่องเท็จขึ้นมาอีกเรื่องในโลกอินเตอร์เน็ต

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
29 ตุลาคม 2554



ผู้เผยแพร่เรื่องนี้ทางอินเตอร์เน็ตคือ Tammy Musikadilok โดยเริ่มโพสต์เมื่อวันพุธที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา ผ่านไปเพียง 2วัน มีผู้ที่แชร์ข้อความนี้ต่อๆกันไป 8.500 ครั้ง

อย่างไรก็ตามเมื่อวานนี้มีผู้เข้าไปแสดงความเห็นแย้งจำนวนมากพอสมควรว่าหากเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องจริง หรือสร้างข่าวขึ้นอาจเสี่ยงจะเป็๋นการทำผิดกฎหมายทั้งพรบ.คอมพิวเตอร์ และกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาตรา112ทำให้เมื่อเย็นวานนี้หน้าเพจดังกล่าวถูกลบหายไป

หากเข้าไปดูสไตล์การโพสต์ของ Tammy Musikadilokก็จะพบว่าเต็มไปด้วยอคติ คือการโจมตีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยนำภาพรีทัชตัดต่อ ขณะเดียวกันก็นำภาพข่าวในหลวงกับพระราชวงศ์ออกเผยแพร่เพื่อให้เกิดความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ

สำนักพระราชวังยังไม่ได้มีถ้อยแถลงใดต่อเรื่องดังกล่าว หลังจากก่อนหน้านี้เคยออกมาปฏิเสธกระแสข่าวที่เผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตในทำนองเดียวกันมาแล้ว
อย่างไรก็ตามน่าเชื่้อว่ากรณีล่าสุดนี้เป็นกา่รกุข่าวเท็จขึ้นแล้วแพร่กระจายข่าวหลอกลวงนี้ออกไปทางโลกอินเตอร์เน็ต เนื่องจากหากดูวันที่มีการโพสต์เรื่องนี้ในวันพุึธที่ 26 ตุลาคม โดยอ้างว่า

เมื่อคืนเวลาประมาณเกือบๆห้าทุ่ม
ก็ต้องแสดงว่าหากเรื่องนี้เกิดขึ้่นจริงก็ต้องเป็นเวลาห้าทุ่มของคืนวันอังคารที่ 25 ตุลาคม
โดยในการเผยแพร่ดังกล่าวอ้างว่า นอกจากพระเจ้าอยู่หัวของเรา ก็มีสมเด็จพระเทพร่วมเสด็จด้วย

ซึ่งเรื่องนี้ขัดต่อข้อเท็จจริงที่ว่า ในวันที่ 25 ตุลาคมนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เ้สด็จไปขึ้่นเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิ ในเวลา 7 นาฬิกา 35 นาที และพระองค์ท่านก็ไม่น่าจะไปปรากฎพระองค์ในสถานที่ที่มีการเผยแพร่ทางเฟซบุ๊คในเวลาห้าทุ่มคืนนั้นได้แน่ เนื่องจากมีหมายกำหนดการเสด็จพระราชดำเนินกลับถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ ในวันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม
ดูรายละเอียดข่าวประจำพระราชสำนัก ดังต่อไปนี้

ด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐอินเดีย ระหว่างวันที่ 25 ถึงวันที่ 29 ตุลาคม พุทธศักราช 2554

ในการนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาหญ้าแฝกนานาชาติ ครั้งที่ 5 ในหัวข้อ "หญ้าแฝกกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" ซึ่งสถาบันสมุนไพรและพืชหอมแห่งสาธารณรัฐอินเดียจัดขึ้น ณ เมืองลัคเนา เพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการรณรงค์การใช้หญ้าแฝก ระหว่างนักวิชาการและผู้ปฏิบัติงานด้านหญ้าแฝกจากทั่วโลก โอกาสนี้ จะพระราชทานรางวัล "The King of Thailand Vetiver" แก่ผู้ชนะเลิศผลงานวิจัยด้านหญ้าแฝกด้วย

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะประทับเครื่องบินของบริษัท การบินไทย จำกัด มหาชน เที่ยวบินที่ ทีจี 323 เสด็จพระราชดำเนินจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ ในวันอังคารที่ 25 ตุลาคม พุทธศักราช 2554 เวลา 7 นาฬิกา 35 นาที และจะประทับเครื่องบินของบริษัท การบินไทย จำกัด มหาชน เที่ยวบินที่ ทีจี 316 เสด็จพระราชดำเนินกลับถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ ในวันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พุทธศักราช 2554 เวลา 5 นาฬิกา 25 นาที

จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 25 ตุลาคม พุทธศักราช 2554

ที่มา:ประกาศสำนักพระราชวัง เผยแพร่ทางโทรทัศน์ช่อง 7 ดูลิ้งค์และภาพข่าวที่ http://www.ch7.com/news/news_royal_detail.aspx?c=1&p=1&d=162774

ข่าวลวงที่่มีการเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตก่อนหน้านี้

ข้อความที่มีการแชร์กันผ่านทางfacebookอย่างแพร่้หลายในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งสำนักพระราชวังชี้ว่า คือ การตีข่าว ดึงเอาเจ้านายลงมา

สำนักพระราชวังปฏิเสธในหลวงรับสั่งฯให้ผ่านวังสวนจิตร

เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ รายงานว่า นายรัตนาวุธ วัชโรทัย ในฐานะที่ปรึกษาฝ่ายกิจกรรมพิเศษ สำนักพระราชวัง ให้สัมภาษณ์ต่อกรณีที่มีการแชร์ข้อความในเฟซบุค ว่า ในหลวงทรงรับสั่ง "ถ้าน้ำเข้าพระนคร ให้น้ำผ่านวังสวนจิตรไปเลย อย่ากั้นให้ผ่านไปเลย" ว่า เป็นการพูดไปเรื่อย ไม่น่าเป็นไปได้ และโดยส่วนตัวไม่เคยรู้เรื่องนี้ น้ำไม่ได้เกี่ยวข้องกับพระนครอยู่แล้ว และถ้าน้ำเข้ามาถึงเขตวังได้ จนท่วม ก็แสดงว่า กทม.ไม่สามารถเอาน้ำไว้อยู่ ซึ่งมันไม่สามารถเป็นไปได้อยู่แล้ว

และจากการติดตามสถานการณ์ข่าวในขณะนี้ ทั้ง กทม. และรัฐบาลต่างร่วมมือกันอย่างแข็งขันไม่ให้น้ำเข้าท่วมได้ ตั้งแต่กทม.รอบนอก และ ตอนนี้พื้นที่รอบวังสวนจิตรลดาในรัศมี 1 ตร.กม. ก็ยังไม่มีกระสอบทรายซักใบ เพราะเราเชื่อว่ากทม. จะสามารถกั้นน้ำไว้ได้ ในส่วนของวังหลวงและวัดพระแก้ว ก็เป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว ว่า น้ำที่ท่าราชวรดิษฐ์สูงกว่าเขตวัง แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงเชื่อมั่นว่ากำแพงวังสามารถเอาอยู่

ส่วนข้อความที่มีการแชร์ในเฟซบุคนั้น คือ การตีข่าว ดึงเอาเจ้านายลงมา เพราะน้ำที่ท่วมทุกวันนี้มาไม่ถึงสวนจิตรลดา เพราะน้ำที่ท่วมทุกวันนี้ไม่ได้เกิดจากน้ำทะเลหนุน แต่เกิดจากคันดินพัง และ ไม่มีทางที่ถนนราชวิถีจะท่วม เพราะถ้า ถ.ราชวิถีท่วมวังสวนจิตรก็ต้องท่วมแน่นอน

ผู้ใช้ชื่อNina Thongprasert ซึ่งเป็นคนแรกๆที่ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ค ได้ประกาศบนสถานะของตนว่า

เรียนให้ทราบโดยทั่วกัน ตามที่ได้ Retweet และ shared ข้อความบนหน้า wall เรื่องในหลวงตรัสเมื่อตอนสายวันนี้ ได้ตรวจสอบกลับไปแล้วไม่พบข้อมูลที่มาอย่างชัดเจน แต่ในช่วงที่ตรวจสอบอยู่นั้น พบว่ามีการเผยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว และได้แจ้งให้ทราบเมื่อเวลา 11.09 โดยได้ขอให้ช่วยกัน remove post ออก... ฝากบอกทุกท่านที่ได้ทำการส่งต่อข้อความด้วยค่ะ และขออภัยมา ณ ที่นี้

ต่อมาในภายหลังเมื่อมีข่าวสำนักพระราชวังปฏิเสธข่าวนี้ Nina Thongprasert ได้โพสต์เพิ่มเติมว่า

ดิฉันได้แจ้งให้ทราบบนหน้าเฟสและได้ลบออกตั้งแต่ตอน 11.09 หลังจากตรวจสอบถึงแหล่งที่มานั้นไม่น่าเชื่อถือ ตามที่ได้ตอบข้อความที่ถามมาแล้ว ค่ะ..อาจเป็นการผิดพลาดบกพร่องที่ไม่ได้ทำการตรวจสอบก่อนโพส..ซึ่งขออภัยด้วยค่ะ

อย่างไรก็ตาม การแชร์สิ่งที่อ้างกันว่าเป็นพระราชดำรัสนี้ยังกระจายต่อไปมากกวา 2,600 ราย และมีผู้เข้ามากด"ถูกใจ"และแสดงความเห็นซึ่งส่วนใหญ่จะเขียนว่า"ทรงพระเจริญ"มากถึงเกือบ 5,000 ราย(ดูที่เฟซบุ๊คนี้)

ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ได้เขียนตั้งข้อสังเกตในเฟซบุ๊ค สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลว่า ผมดู ที่เพจ ที่ผมให้ link ในกระทู้ข้างล่าง เรื่องทวิตเตอร์ พรด.ในหลวง แล้ว ยอมรับว่า สะทกสะท้อน อเน็จอนาถใจไม่น้อย ณ นาทีนี้ มีคนมาแสดงความเห็น ซึ่งส่วนใหญ่ที่สุด ก็ "ทรงพระเจริญ" ๆๆๆ "น้ำตาจะร่วงๆๆๆ" อะไรแบบนั้น ถึง 2100 ความเห็น และมี share ถึง 2600 แล้ว
ดูแล้ว อดไม่ได้ เลยไปเขียนอะไรหน่อย ข้างล่างนี้ copy มาให้ดู เผื่อโดนลบ

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=264779103560922&set=a.228571743848325.53576.217645294940970&type=1&ref=nf

ทำไมจึงเกิดปรากฏการณ์ คนจงรักภักดี เชื่ออะไรแบบหัวอ่อน ไร้เหตุผล

ความจริง ถ้าใครศึกษา พรด. ข้อเขียนต่างๆของในหลวงจริงๆ ก็บอกได้เลยว่า ข้อความดังกล่าว ต้องไมใช่แน่ (เช่นเดียวกับบอกได้ทันทีว่า ข้อความอย่าง "36 ขั้นบันได" ไมใช่ หรือ "จากพ่อ" (ถึงพระเทพ) ไมใช่

แต่ปรากฏว่า เรากลับเห็นบรรดาคนจงรักภักดี (แต่จริงๆ ไม่เคยศึกษา เรื่องของสถาบันฯจริงๆจังๆ) พากัน "ซาบซึ้ง" น้ำหูน้ำตาไหล นอนดิ้นกัน

คำตอบคือเพราะ ความจงรักภักดี ในประเทศเรา เกิดมาจากพื้นฐานของการรับข้อมูลข่าวสารเกียวกบสถาบันฯ ที่ไม่อนุญาตให้ ตั้งคำถาม ตั้งข้อสงสัย ประเมิน ตรวจสอบ วิพากษ์ กระทั่ง โจมตี ได้

นี่จึงสร้าง "นิสัย" แบบหนึ่ง วิธีคิดแบบหนึงขึ้นมา คือ ในเมื่อโดยตัวความจงรักภักดีนั้น เกิดจากลักษณะ รับข้อมูลข่าวสาร ที่ตรวจสอบไม่ได้ ตังข้อสงสัยไม่ได้ วิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ อยู่แล้ว ดังนั้น ไมว่า ข้อมูล ข้อความ อะไรที่ ไม่ว่า จะไม่มีเหตุผลขนาดนั้น ก็เชือ่ได้หมด

ก่อนหน้านั้นดร.สมศักดิ์ได้โพสต์ เรื่องขำ (มีประเด็นชวนคิดอยู่ตอนท้าย)

ผมเข้าไปที่เว็บไซต์ ม.รังสิต นึกว่า จะไปหา "แบบจำลองทางคณิตศาสตร์" 23 จุดในกรุงเทพ ที่ว่าเสี่ยงน้ำท่วม (ตามข่าว มติชน) แต่หาไม่เจอ แต่ไปเจอในหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วม มี login ในนามมหาวิทยาลัยนี่แหละ เขียนข้อความนี้ (ดูภาพประกอบ ด้านขวาล่างๆลงมา)

"จากทวิตเตอร์: "ในหลวงทรงรับสั่ง..
"ถ้าน้ำเข้าพระนคร ให้น้ำผ่านวังสวนจิตรไปเลย อย่ากั้นให้ผ่านไปเลย"
......ทรงพระเจริญ"

ผมอยากจะพนันร้อยบาทเอาปาท่องโก๋ตัวเดียวว่า นี่เป็น "พระราชดำรัส" ประเภทปลอมๆ หรือหาที่มาอ้างอิงไม่ได้ (แต่คนไม่น้อยจะซาบซึ้งจนลงไปนอนดิ้น) เหมือน "36 ขั้นบันไดชีวิต" เหมือน "บันทึกจากพ่อ (ถึงพระเทพ)" เหมือนอีเมล์ เรื่อง 14 ตุลา ที่อ้างว่า ในหลวงมีรับสั่ง "คนไทยต้องหยุดฆ่ากันเอง" เหมือนเรื่องพายุนากิส, เหมือน (ทีเพิ่งเอามาโพสต์กันอีกไม่นานนี้) "พ่อนั่งเหม่อลอย" (เฉพาะอันหลังนี่ ถ้าถามผม ในฐานะคนศึกษา พรด. ศึกษา "สไตล์" การรับสั่ง การเขียน ของในหลวงมาหลายสิบปี .. อันนี อาจจะมีส่วนมี "มูล" "นิดหน่อย" ในแง่ "เนื้อหา" ไม่ใช่ในแง่คำ ทำไม .. ผมไม่มีเวลาอธิบายจะยาว) แต่อันอื่นทุกอัน ผมว่าปลอมแน่ ตั้งแต่เห็นแรกๆ (อย่าง "36 ขั้นบันได" ผมเห็นบ้ากันอยู่นาน ผมดูแล้ว ก็รู้ว่า ปลอมแน่) รวมทั้งอันน่าสุด "จากทวิตเตอร์" นี้ด้วย

ผมลอง search ดู ปรากฎว่า มีการแพร่ให้ซาบซึ้งกันไปแล้ว ดู

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=264779103560922&set=a.228571743848325.53576.217645294940970&type=1&ref=nf
และอันนี้ http://www.oknation.net/blog/sonyaUSA/2011/10/19/entry-1

แต่ก็ยังดีว่า ดูเหมือนมีคนจงรักภักดี ทีอาจจะยังมีสตินิดหน่อย (หรือไม่ก็จำเรื่อง "บันทึกจากพ่อ" หรือเรื่อง "บันไดชีวิต" ได้) เตือนกัน ให้หยุดเผยแพร่ ดูที่นี่ - มีการเล่า "ที่มา" ของ "ทวิตเตอร์" อันนี้ด้วย ดูเหมือนมีคนชื่อ Nina Thongprasert เริ่มก่อน แล้วต่อๆกันไป ตอนนี้ เจ้าตัว คือคุณ "Nina" (ตามที่คนเขียนบล็อกนี้บอก) ได้ขอเองให้หยุด และถอนออกจาก wall ตัวเองแล้ว
http://www.oknation.net/blog/snowy/2011/10/19/entry-1
..................

โอเค ทั้งหมดที่โพสต์มาข้างต้น ถือเป็นเรื่องขำๆ แก้เซ็งน้ำท่วม
แต่ที่บอกว่า มี "ประเด็นชวนคิดอยู่" คืออย่างนี้ครับ
ผมเคยเขียนไว้มาสักพักแล้วว่า ปรากฏการณ์ "จงรักภักดี" อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ เป็นอะไรบางอย่างที่ "ใหม่" (โดยสัมพัทธ์กับประวัติศาสตร์) มีลักษณะหลายอย่าง ที แม้แต่เมื่อสมัยผมโตขึ้นมา (ตอนมีขบวนการนักศึกษา) ก็จะไม่มีลักษณะนี้

ลักษณะที่ว่า เช่น (ก) เน้น ในหลวง ในฐานะ "ตัวบุคคล" (เวลาพูดถึง "สถาบันฯ" จะ "หลุด/ลื่น" ไปเป็นพูด "พระองค์ท่าน" เป็นต้น)

(ข) ลักษณะที่ "แต่งเรื่องเอง (อย่างทีอภิปรายข้างบน) แม้แต่เรื่อง ที ไม่น่าจะ "แต่ง" ได้เลย เช่น พรด. 14 ตุลา ("วันมหาวิปโยค") นั้น มีตัวบท text แบบคำต่อคำ ให้อ่านกันได้อยู่ แค่ลองหาดู ก็น่าจะเห็นว่า ไม่มีแบบทีอีเมล์ลูกโซ่ส่งต่อๆกัน ("ทรงรับสัง คนไทยต้องหยุดฆ่ากันเดี๋ยวนี้" อะไรประมาณนั้น - โทษที ผมเขียนจากความจำไม่มีเวลาไปค้นเมล์ที่ว่า)

ลักษณะ "สร้าง" หรือ "แต่ง" เรื่องเอง ไม่จำเป็นต้องเป็นคำพูด อย่างทียกมาทั้งหมด บางที ก็เป็น "เรื่องเล่า" (ทรงทำอะไรที่ไหน ยังไง อะไรประเภทนั้น แบบชนิด "คาดไม่ถึง" ทำให้ ซาบซึ้งมาก เช่นเรื่อง "นากิส" อะไรประมาณนั้น)

สมัยก่อน สถาบันฯ จะมีลักษณะ "ศักดิ์สิทธิ์" หรือ "เป็นทางการ" มากกว่านี้ แม้แต่พวก จงรักภักดี ก็ไม่มีใครคิดจะกล้า "ล่วงเกิน" แตะต้อง (อันที่จริง แม้แต่คำว่า "รัก" ก็ไม่มีใครคิดจะกล้าใช้)

ลักษณะรวมๆนี้ ที่ผมเคยพยายาม theorize ออกมาใน "คอนเซ็ปต์" Mass Monarchy ...

ประเด็นทีเกียวเนื่องสำคัญอันหนึ่งกับเรื่องนี้คือ ผมเสนอว่า ถ้าเปรียบเทียบกับสมัยก่อน (ทศวรรษ 1970-1980) "ฐานทางชนชั้น" หรือ "ฐานมวลชน" สำคัญ ของสถาบันกษัตริย์ ได้ "เคลื่อนย้าย" หรือ "เปลี่ยน" จาก "ชนชั้นชาวนา" "ชนชั้นเกษตรกร" ในชนบท (นึกถึงลูกเสือชาวบ้าน)

มาที่ "ชนชั้นกระฏุมพี" "ชนชั้นกระฏุมพีน้อย" ในเมือง (นึกถึงพวก "สลิ่ม")

******
-ตรวจสอบรูปข่าวลือง่ายๆ ด้วยGoogle Image Search
-จาก“FWD Mail”สู่“กดแชร์”และ“รีทวีต” เทคโนโลยีเปลี่ยนไป แต่การใช้งานไม่เคยเปลี่ยนแปลง
-ชั่วซ้ำซาก! "ปั้นคำสนทนาในหลวง-นายกฯ"
-เปิดโฉมแก๊งสลิ่มมือไม่พายเอาปากราน้ำ ปล่อยข่าวทำลายนายกฯไม่ใส่แก้น้ำท่วมหนีัเที่ยวดูคอนเสิร์ต
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น