วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554


“พวกมึง ‘บ้า’ ได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือวะ...ไอ้เจ้าเจี้ยว!!!?
“พวกมึง ‘บ้า’ ได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือวะ...ไอ้เจ้าเจี้ยว!!!?”

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

           เมื่อเช้าวันจันทร์ 21 พ.ย. 54 ผมฟังรายการ ‘เช้าทันโลก’ ของอ.ส.ม.ท. คลื่น FM 96.5 MHz ในวันดังกล่าวมีผู้ดำเนินรายการ คือคุณ กรรณิการ์ กิจติเวชกุล

          คุณกรรณิการ์ฯได้รายงานเรื่องนักข่าวฝรั่ง ชื่อนายโทมัส ฟุลเลอร์ (Thomas Fuller) เขียนบทความชื่อ Smiles Hide Fears as Clinton Visits Flood Victims แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า รอยยิ้มที่ซ่อนความกลัว ยามคลินตันเยือนเหยื่อน้ำท่วม ลงในหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์

         คุณฟุลเลอร์วิพากษ์วิจารณ์การจัดการของรัฐบาลไทย ในการต้อนรับมาดามฮิลลารี่ คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศ เมืองลุงแซม ซึ่งเดินทางมาเยี่ยมเยียนผู้อพยพ ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวผู้ประสบอุทกภัย ห้วยขวาง เมื่อ 20 พ.ย. ที่ผ่านมา

          ตัวผมเองนั้น คุ้นเคยกับบทความต่างๆ ที่เขียนโดยคุณฟุลเลอร์ มีทั้งที่เห็นด้วยและเห็นต่างออกไป ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาแต่บทความที่คุณกรรณิการ์ฯนำมารายงาน นั้น

        ผมมีความเห็นต่าง จากนักเขียนท่านนี้!

        คุณฟุลเลอร์พูดในทำนองว่า การต้อนรับของรัฐบาล ดูจะเป็นการ ‘จัดฉาก’ เช่น มีการตกแต่งศูนย์อพยพ ด้วยการเอาต้นไม่มาประดับ นำผู้อพยพที่หน้าตายิ้มแย้ม พูดภาษาอังกฤษได้ มาต้อนรับ ฯลฯ ทำให้ท่านรัฐมนตรีคลินตัน รู้สึกไม่ดี เพราะดูจะเป็นการทำให้ผู้อพยพ ซึ่งทุกข์จากน้ำท่วมแล้ว ยังต้องมาลำบากในการต้อนรับเธอซ้ำอีก

content/picdata/335/data/clinton.jpg         ผมรับรองร้อยเปอร์เซ็นต์ พันเปอร์เซ็นต์ได้ว่า มาดามเซ็คเครทแทรี่ออฟเสตท ไม่ได้พูดอย่างนั้นแน่นอน หากแต่เป็นการ ‘อนุมาน’ ของผู้เขียนบทความเองนั่นแหละ

     อยากจะบอกว่่า 


              คุณนายฮิลลารี่ คลินตัน นั้น เธอเป็นคนใหญ่คนโต หากท่าน ประธานาธิบดีสหรัฐและรองฯ เป็นอะไรไป เธอจะขึ้นเป็นประธานาธิบดีทันที

          ดังนั้น เมื่อจะมาเยี่ยมเยียนเมืองไทยกันทั้งที ทางเราก็ต้องให้เกียรติ โดยจัดการศูนย์ผู้ประสบภัยฯให้สะอาดสะอ้าน อยู่ในสภาพพอดูได้ ซึ่งใครๆเขาก็ทำกันทั้งโลก ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก

          การที่คุณฟุลเลอร์ จะรายงานด้วย ‘มุมมอง’ ที่ไม่สร้างสรรค์ ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอีก เพราะฝรั่งที่มองคนผิวสี ในลักษณะ ‘เหยียด’ แบบนี้ มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย แม้แต่คนระดับเอกอัครราชทูตก็ยังมี เช่น เซอร์แอนโทนี ฮัมโบลด์ อดีตเอกอัครราชทูตอังกฤษ ที่เขียนรายงานโจมตีคนไทย และผมวิพากษ์เอาไว้หนัก ในบทความ ชื่อ ทูตถ่อย...ถึง “จิ๋ว-ป๋า!!!” (http://vattavan.com/detail.php?cont_id=181) ใครสนใจลองเข้าไปอ่านกันดู


         รับรองว่า นอกจากได้ความรู้แล้ว...ยังสนุกอีกต่างหาก!
        นักข่าวอย่างคุณฟุลเลอร์ คงจะตระหนักดีว่า แม้แต่เหตุการณ์เกิดขึ้นในสหรัฐ อย่างกรณีเฮอริเคนแคทเธอริน่า ถล่มเมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐบาลของประธานาธิบดี จอร์จ บุช ก็ถูกนักข่าวในสหรัฐ ไล่ถล่มจนระเนระนาด เหมือนโดนเฮอริเคนเข้าไปด้วยการวิจารณ์ว่า

        รัฐบาลกลางสหรัฐ บริหารจัดการไม่ได้เรื่อง เพราะกว่าจะเตรียมการได้ ก็ใช้เวลาเป็นวันๆ ปล่อยให้ประชาชนต้องอดอยาก ตกอยู่ในความเสี่ยงต่อชีวิต สุขภาพร่างกาย ฯลฯ สุดแท้จะว่ากันไป สรุปลงตรงที่ว่า...

        ไม่ได้ดีไปกว่า...เมืองไทยเลย!

        คุณฟุลเลอร์นั้น อยู่เมืองไทยมานานพอควร น่าจะทราบว่าคนไทยนั้นได้รับอิทธิพลมาจากพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะเรื่อง

        ‘เมตตาธรรม’         สมัยสงครามโลกครั้งที่สองนั้น ฝรั่งหลายชาติถูกต้อนเข้าค่ายเชลยที่กาญจนบุรี เพื่อสร้างทางรถไฟสายมรณะไปพม่า

        คนไทยสงสารฝรั่ง ที่ถูกญี่ปุ่นทารุณ เอาอาหาร ข้าว น้ำ ผลไม้ และขนม รวมทั้งหยูกยาไปให้พวกหัวแดงเหล่านั้น

        เมื่อสงครามโลกยุติ ฝรั่งก็ซาบซึ้งในความเมตตาของคนไทย แต่งงานกับหญิงไทยชาวกาญจนบุรีไปหลายคู่ กลับบ้านเมืองแล้ว ก็ยังแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนเมืองไทยสม่ำเสมอ

        พอสงครามโลกยุติ ญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้แพ้ กลับข้างมาเป็นเชลยบ้าง คราวนี้คนไทยก็หันกลับไปช่วยญี่ปุ่น เอาอาหาร ข้าว น้ำ ผลไม้ และขนม ไปให้พวกคุณยุ่นที่ถูกจับกุมคุมขัง

        พวกญี่ปุ่น ซาบซึ้งอีกนั่นแหละ!

        ที่เป็นเรื่องขำๆ ก็มี เช่น คุณประสิทธิ์ ลุลิตานนท์ อดีตบรรณาธิการหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ที่ล่วงลับไปแล้ว ท่านผู้นี้มีชื่อเสียงมาก เป็นเพื่อนพ่อของผมด้วย

        ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า

        เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นนั้น ท่านเป็นผู้จัดการโรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง พวกญี่ปุ่นเข้ามาจับอาจารย์ฝรั่งหลายคน ที่สอนอยู่ในธรรมศาสตร์ฯ เพื่อจะนำตัวไปเข้าค่ายเชลย

        รัฐบาลไทยขอร้องว่า อย่าเอาไปเลย ทางไทยจะควบคุมเอง โดยจะขังไว้ที่ธรรมศาสตร์ฯ        อ้อนวอนกันอยู่นาน ในที่สุดทหารญี่ปุ่นก็ยินยอม!

        คนไทยดูแลอาจารย์ฝรั่งเหล่านี้เป็นอย่างดี อาหารการกินเพียบพร้อม แต่บางครั้งเวลาญี่ปุ่นมาตรวจ ไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ต้องรีบนำอาจารย์เหล่านั้นเข้าห้องควบคุม แล้วกระวีกระวาดเก็บขนมปัง นม เนย และอาหารฝรั่งพวกสะเต๊กสตูว์ ที่วางบนโต๊ะให้หมด เพราะขืนทหารญี่ปุ่นมาเห็นเข้า พวกอาจารย์จะพลอยซวยไป เพราะต้องถูกญี่ปุ่น นำไปขังรวมกับเชลยธรรมดา ฐานสบายเกินไป อย่างนี้เป็นต้น

        ความเมตตาของคนไทยนั้นสูงนัก แล้วทำไมเมื่อพี่น้องเราเองลำบา

        คนไทยด้วยกันแท้ๆ...ทำไมจะไม่ช่วย!?

        หากคิดกันด้วยใจเป็นธรรม อย่างไม่มีอคติเจือปนแล้ว คุณฟุลเลอร์น่าจะได้ทราบความจริง ที่ว่า

        เมืองไทยนั้น มีขีดความสามารถในการจัดการเรื่องผู้อพยพพอใช้ได้ทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการรับมือกับผู้อพยพ หนีภัยสงคราม ทั้งทางด้านตะวันออก อย่างเขมร เมื่อครั้งบ้านเมืองของเขาลุกเป็นไฟ


        นอกจากนั้น ก็มีผู้อพยพชาวลาว เมื่อคราวฝ่ายคอมมิวนิสต์ลาวเข้าครอบครองแผ่นดินล้านช้างได้สำเร็จ ก็มีผู้อพยพหลั่งไหลเข้ามาพักพิงในประเทศไทยจำนวนมาก จนต้องมีการตั้งค่ายดูแลกันเหมือนที่ทำกับผู้อพยพชาวเขมร อย่างนี้เป็นต้น


        ส่วนทางด้านตะวันตก ก็ยังมีคนกลุ่มน้อย ที่หนีภัยสงครามจากพม่า ซึ่งมีมาเกือบทุกปี ฝ่ายไทยเราก็ดูแลอย่างดีมาโดยตลอด ด้วยความที่คนไทย มีมนุษยธรรม มีเมตตาอยู่ในหัวใจ และพูดได้เลยว่า


        ทางสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฝ่ายผู้ลี้ภัย ขององค์การสหประชาชาติ ค่อนข้างไว้เนื้อเชื่อใจ การบริหารจัดการของไทยมาโดยตลอด แต่นั่นแหละครับ เรื่องที่มีผู้ไม่พอใจอยู่บ้าง

        ย่อมเป็นเรื่อง ‘ปกติ’ อีกนั่นแหละ!


        สำหรับเรื่องที่ทางบ้านเมืองของเรา ให้การดูแลต้อนรับขับสู้ ผู้อพยพ ‘น้ำท่วม’ คนไทยด้วยกันเอง เมื่อตอนเหตุวิกฤติเริ่มใหม่ๆนั้น อาจติดขัดคัดข้องอยู่บ้าง ก็เป็นเพียงไม่กี่วันเท่านั้น

        ผมมอร์นิเตอร์ข่าวน้ำท่วมตลอด ได้ฟังคำสัมภาษณ์ผู้อพยพ โดยผู้สื่อข่าววิทยุ ทั้งของ อ.ส.ม.ท. เอง และคลื่นต่างๆ รวมตลอดถึงสื่ออื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และผู้อพยพหลายคน ให้สัมภาษณ์ ว่า

        ศูนย์อพยพต่างๆ มีสภาพที่ผู้เข้ามาพักพิง ยอมรับกันได้ บางศูนย์ดีกว่าบ้านตัวเองด้วยซ้ำ โดยเฉพาะเรื่องข้าวปลาอาหารนั้น มีให้รับประทานครบสามมื้อ บางแห่งเช่นศูนย์ที่ชลบุรี มีขนมหวานให้กิน แทบจะทุกมื้อ จะเรียกว่า          สมบูรณ์แบบ...ก็พอได้!

        สำหรับเรื่องจิตใจที่หดหู่ ทางบ้านเมืองก็จัดให้มีกิจกรรมเข้ามาให้ความบันเทิงในศูนย์อพยพ เพื่อให้ผู้อพยพคลายเครียด โดยอาสาสมัครทั้งพลเรือนและทหาร ไปให้ความบันเทิง ข่าวทางโทรทัศน์ก็มีออกให้เห็นกัน

        ส่วนผู้ที่ซึมเศร้าหนัก เพราะพี่น้องเหล่านั้น อาจประสพความสูญเสียมาก ทางสาธารณสุขของเรา ก็มีจิตแพทย์ช่วยกันดูแลอย่างเต็มกำลัง

        ดังนั้น ใครจะว่า การต้อนรับคุณนายฮิลลารี่ คลินตัน เป็นการ ‘จัดฉาก’ ก็ไม่ว่ากัน แต่จะบอกคุณฟุลเลอร์ ว่า

        ทางสถานทูตสหรัฐนั่นแหละ ต้องรับรู้และจะต้องทำการตกลงกับทางราชการไทยก่อน ถึงกิจกรรมที่คุณนายฮิลลารี่ คลินตันจะปฏิบัติระหว่างที่อยู่ในประเทศนี้ ว่า


        เมื่อไปถึงศูนย์อพยพแล้ว จะให้ท่านรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ จะเดินเหินไปในทิศทางใด จะทักทายข้าราชการไทยคนไหนก่อนหลังหรือหลังกันอย่างไร และจะให้คุณนายคลินตันสนทนากับผู้อพยพคนใด อย่างนี้เป็นเรื่องที่กำหนดกันก่อนทั้งสิ้น


         ทางสถานทูตสหรัฐนั้น จะไม่มีวันยอมปล่อยให้มาดามเซ็คเครทแทรี่ออฟเสตท เดินเทิ่งๆเข้าไปในศูนย์อพยพ เพราะการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญระดับนี้ เป็นเรื่องใหญ่มาก ทางไทยเราจะกำหนดฝ่ายเดียวไม่ได้ ทางสหรัฐจะต้องรับรู้การปฏิบัติทุกขั้นตอน ส่วนใครจะนินทา ว่าเป็นเรื่อง ‘ผักชีโรยหน้า’ เห็นจะพอรับกันได้กระมัง!

        มได้ฟังรายการ ‘เช้าทันโลก’ แล้ว เลยมีเรื่องมาเล่าให้คุณกรรณิการ์และท่านผู้อ่านฟังบ้าง

        รับรองว่าเรื่อง ‘ผักชี’ ที่คุณกรรณิการ์เล่า กลายเป็นเรื่อง ‘เด็กๆ’ ไปเลย

        เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ

        สุขุมพันธ์ฯ ผู้ว่า กทม. เขาไปตรวจเยี่ยมพื้นที่น้ำท่วม แต่ปรากฏว่า มีความทุเรศโผล่ขึ้นมา ให้ผู้คนกรุงเทพฯ ได้ด่าเช็ดเพิ่มเติมขึ้นไป จากการที่ด่าซ้ำแล้วซ้ำอีก ตลอดระยะเวลาที่น้ำท่วมกรุง นั่นคือ

        เรื่องการ ‘จัดฉาก’ ของ กทม.!

        ที่ว่าทุเรศยิ่งกว่าเรื่องมาดามคลินตัน ที่คุณกรรณิการ์เล่า ก็คือ

        สุขุมพันธ์ฯ ที่ผมเรียกว่า ‘ไอ้จ้าวเจี้ยว’ ผู้ว่า กทม. จะไปตรวจพื้นที่ชุมชนโรงสี เขตยานนาวา ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

        เวลาน้ำทะเลขึ้นสูง น้ำจากแม่น้ำก็ไหลเข้าท่วมชุมชน แต่เวลาน้ำลง ก็กลับไปเป็นปกติเหมือนเดิม ซึ่งชาวบ้านแถบนั้นเขารู้ดี

        เหตุที่มันกลายเป็นขี้ปากชาวกรุงเขตอื่นๆ นอกเหนือไปจากชาวบ้านละแวกนั้นไปด้วย ก็เพราะว่า นายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ (คนนี้ให้ฉายาตัวเองว่า “หมาแก่” ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นสุนัข) แกเอาความจริง เรื่องผักชีโรยหน้า ออกมาเปิดเผย ทางทีวีช่อง Spring New เพราะเหตุที่เรื่องมันกลับกลาย เป็นอย่างนี้ครับ

        สุขุมพันธ์ฯ ‘ไอ้จ้าวเจี้ยว’ มีตารางการไปตรวจเยี่ยมชุมชนโรงสี เขตยานนาวา และจุดที่ไปตรวจเยี่ยมชาวบ้านในชุมชนแห่งนี้ คือ ตรงบริเวณลานกีฬาของชุมชน เพื่อจะไปมอบถุงยังชีพ และถือโอกาส ‘ดราม่า’ หาเสียงกับชาวบ้านด้วย

        ปรากฏว่า กำหนดการที่จะไปตรวจนั้นดันไปตรงกับเวลาน้ำบริเวณลานกีฬาของชุมชนลงพอดี เลยเป็นปัญหาของทางเขตว่า

        น้ำไม่ท่วมแล้ว จะให้ผู้ว่าฯไปตรวจทำไม?

        ทางเจ้าหน้าที่แผนกผักชี ของ กทม. เขาก็แก้ปัญหาได้อย่างพิลึกพิลั่นจริงๆ คือเวลาน้ำขึ้น ไอ้คนของแผนกผักชี มันจะเอาถุงทราย...

        ไปอุดตรงรูท่อไว้ก่อน!


        ดังนั้น เมื่อเวลาน้ำทะเลลดระดับ น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ไหลเอ่อท่วมบริเวณสนามกีฬาของชุมชุน จึงไม่กลับลงไปในแม่น้ำเหมือนปกติ แต่ลานกีฬายังมีสภาพน้ำท่วมขัง พอให้ผู้ว่าฯโลซก ได้ย่ำน้ำเล่น เพลิดเพลินเจริญใจ พร้อมกับการพูดคุยปลุกปลอบขวัญชาวบ้าน แจกถุงยังชีพ และประชาสัมพันธ์ ถึงความสามารถอันบดบังไม่ได้ของตัวเองและ กทม. ในการดูแลชาวกรุงเทพฯ โดยหวังจะให้ผู้คนเขาชื่นชมตน

        ดูมันทำ!

        ฟังแล้วไม่น่าเชื่อว่า เรื่องพรรค์นี้ จะเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา แต่ทางสื่อที่เขานำมาเผยแพร่ ยืนยันหนักแน่นว่าเป็นความจริง (ดู http://www.youtube.com/watch?v=z5CTN5mXO40)

        ผมต้องนำมาเล่า ให้ท่านผู้อ่านได้ฟังกัน ก็เพราะพรรคการเมืองดักดาน ที่มีนายมาร์ค มุกควาย เป็นหัวหน้าฯ ซึ่งคุณกรรณิการ์ฯ ผู้ดำเนินรายการเช้าทันโลก เธอชื่นชมนักหนา นั้น        มีพฤติกรรมโรยผักชี แหกตาแบบพิสดารพันลึก จนทำให้ผมรู้สึก...สงสารกรุงเทพฯ ของเราจริงๆ!

        หวังว่าแฟนๆของ ‘วาทตะวัน’ หรือแม้กระทั่ง คุณกรรณิการ์ฯเอง เมื่ออ่านคอลัมน์นี้แล้ว โปรดช่วยกันตะโกนออกมาดังๆ ถามไอ้เวรพวกนี้ แทนชาวบ้านและผมทีเถอะครับ ว่า

       
“พวกมึง ‘บ้า’ ได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือวะ...ไอ้เจ้าเจี้ยว!!!?”

...........................


            หมายเหตุ คุณกรรณิการ์ฯพูดในรายการวันเดียวกันว่า มีคนไทยก้มกราบเท้าคุณนายฮิลลารี่ คลินตัน แต่ผมหาภาพไม่เจอ แม้แต่ในคอลัมน์ของนายฟุลเลอร์เอง ก็มีแต่ภาพที่แสดงไว้ข้างต้นเท่านั้น

        เรื่องกราบเท้าเจ้าใหญ่นายโต บางคนก็สันนิษฐานว่า คนไทยเริ่มทำกันมา ตั้งแต่พระพุทธศาสนาเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ เพราะคนพุทธนั้น คุ้นกับการกราบพระ บ้างก็ว่า การกราบคนด้วยกัน น่าจะเป็นอิทธิพลของ ‘ลัทธิสมมติเทวราช’ จึงมีการกราบพระเจ้าแผ่นดิน เพิ่มขึ้นไปจากการกราบพระ

        นอกจากกราบพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ก็ยังมีการกราบพ่อแม่และบรรพบุรุษ แต่ที่พิเศษไปอีกคือคนที่เป็นทาส ต้องกราบกรานคนที่เป็น ‘นายเงิน’ สันนิษฐานว่าจะปฏิบัติกันมาตั้งแต่มีระบบ ‘ทาส’

        พระพุทธเจ้าหลวงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชการไทยนั่งเก้าอี้ หรือยืนเฝ้าแหนแบบฝรั่ง แทนการหมอบเฝ้า หมอบกราบ ตั้งแต่ครั้งพระบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2 ในรัชสมัยของพระองค์

        สำหรับการหมอบเฝ้า หมอบกราบ รวมทั้งการถวายบังคม ‘พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว’ นั้น สำหรับผมเอง ได้รับการศึกษาจาก ‘วชิราวุธ วิทยาลัย’ ซึ่งเป็นโรงเรียนของพระองค์ท่าน เห็นว่า

        เป็นการแสดงความจงรักภักดี และเป็นเรื่องปกติธรรมดา!
         ใครจะประพฤติอย่างนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องน่าขัดเขินแต่ประการใด เพราะพระองค์ทรงเป็น...
        ‘พระเจ้าแผ่นดิน’ และ ‘ในหลวงของเรา’

        แต่...

content/picdata/335/data/pram.jpg        ถ้าถึงขั้นลง ‘กราบตีน’ คนธรรมดาสามัญ คงเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ ตัวผมเองคงไม่กล้าทำ

        หากขืนทำลงไป กลัวเพื่อนฝูงที่สนิทกัน มันจะตะคอกใส่ปนกระแนะกระแหนเอาได้ ว่า


        “มึงยังสลัด ‘สันดานทาส’ ไม่หลุดหรือวะ!!!”





        (***คอลัมน์ ประจำสัปดาห์ ตอน พวกมึงบ้ากันได้ถึงเพียงนี้วะ...ไอ้เจ้าเจี้ยว!!!? ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 26 พฤศจิกายน 2554) 

http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น