วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555


ความปรองดอง เป็นฉันใด ?

ความปรองดองเป็นไฉน ?! โดย...สอาด จันทร์ดี

ปรองดองเป็นไฉน?            บริบทแห่งความปรองดองดูเหมือนยังไม่ตกผลึก  เพราะยังมีเสียง “คัดค้าน” ดังมารอบทิศ  เสียงที่คัดค้านเหล่านั้นดังมาจากทุกฟากฝั่ง ไม่ว่าจะเป็นฝั่งพรรคประชาธิปัตย์ที่ก่นหาถ้อยคำเอามาขัดขวาง หาว่าจะปรองดองเพื่อคน-คนเดียว “คือ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร”  ที่ยังคงระเห็จอยู่ต่างแดน

            ส่วนอีกฟากหนึ่ง คือเสียงกึกก้องจากคนเสื้อแดงที่ไม่เห็นด้วยที่จะปรองดองแล้วอภัยให้แก่นักฆ่ามหาโหด คือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณกับพวกไม่น้อยกว่า 9 คน  ที่ประชาชนรู้ดีว่า “เป็นใคร...?”  ซึ่งได้ร่วมกันเข่นฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยมทารุณ


            ผู้คนสองฝั่งฟาก จึงมีแนวคิดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


            ข่าวแจ้งว่าเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2555  สภาได้รับเรื่อง พ.ร.บ. ปรองดอง ที่พลเอกสนธิ บุณยรัตกลิน  หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ในฐานะ ส.ส. และในฐานะประธานความปรองดอง ได้ยื่นเรื่องเอาไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้กำหนดวันอภิปราย  ข่าวว่ายังจะมีร่างของพรรคร่วมรัฐบาลกับร่างของ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีอีก 2 ร่าง  รวมแล้วจะมีร่าง พ.ร.บ. ปรองดองถึง 3 ร่าง ที่จะให้สภาถกกันอย่างละเอียดรอบคอบ แล้วจะเลือกเอาร่างไหนเป็นร่างหลัก เพื่อจะหาหนทางประกาศเป็นกฎหมายแก้ไขความขัดแย้ง รวมไปถึงประกาศเป็นกฎหมายสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นกับชาติของเรา


             เราไม่อาจคาดเดาได้ว่า พ.ร.บ. ปรองดอง จะออกมาอย่างไร  แต่พอจะคาดเดาเอาไว้ล่วงหน้าว่าจุดหมายปลายทางของ พ.ร.บ. ปรองดองที่กำลังเดินทางขึ้นแท่นในสภาผู้แทนราษฎร จะมีความร้อนแรงทั้งในการเพิ่มข้อขัดแย้งให้แก่ทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้เนื่องจาก ถ้าจะมีการ “อภัย” ให้ท่านทักษิณ ไม่ว่ากรณีใดๆก็จะถูกคนพวกนั้นออกมาต่อต้านสุดเหยียด


             ในเวลาเดียวกันหากแม้นว่า พ.ร.บ. ปรองดอง ไม่เอาผิด (นิรโทษ) ให้แก่พวกฆาตกรที่เห็นอยู่ตำตาว่ามันคือใครก็จะมีการคัดค้านแบบตายไม่เผาผีขนาดนั้น  ซึ่งจะส่งผลให้เกิดข้อขัดแย้งครั้งใหม่ อันเกิดจากความเห็นไม่ลงรอยของคู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่าย



             ผมได้มีโอกาสรับฟังความเห็นจากผู้หลักผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในรอบเดือนที่ผ่านมาเกี่ยวกับเรื่องความปรองดอง (นิรโทษ) ซึ่งพอจะสรุปออกมาได้ ดังนี้


             ความเห็นของนายแพทย์ ประสงค์ บูรณ์พงศ์  อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งเป็นนักการเมืองสายประชาธิปไตย คร่ำหวอดกับระบบการเมืองไทยมาอย่างยาวนาน โดยมีความเห็นเกี่ยวกับการปรองดองเอาไว้ว่า  “ฝ่ายประชาธิปไตยอย่าหุนหันพลันแล่น ต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ” มีสติและปัญญาหยั่งถึงต้นตอของปัญหาอันเกิดจากรากเหง้าสังคมไทยมันเต็มไปด้วยกลุ่มอำนาจที่เกาะเกี่ยวกันเป็นพวง  พวกกลุ่มอำนาจเหล่านั้นไม่มีวันที่จะฉีกออกจากัน  พวกเขายังคง “เกื้อกูล” ด้วยการเป็นพันธมิตรของกันและกัน   ดังที่ทุกคนทราบดี แล้วก็ทราบดีว่าเราได้ถูกคนพวกนี้เข่นฆ่าราวีพวกเราอย่างสาหัสสากรรจ์เพียงใด
              พวกเขาเข่นฆ่าราวีพวกเราขนาดหนักเพียงใด ในที่สุดก็เอาผิดพวกเขาไม่ได้

              นายแพทย์ประสงค์ บูรณ์พงศ์ กล่าวต่อไปว่า ถ้ายืนยันที่จะจัดการให้จบสิ้นในวันนี้ ก็เป็นการยากที่จะเรียกหาความปรองดองได้  ดังนั้น คนเสื้อแดงจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องไม่เอาความปรองดองขึ้นมาเป็นเงื่อนไข แต่เราสามารถที่จะใช้บริบทแห่งความปรองดองเอามาเป็น “หมากอีกหมายหนึ่ง” เพื่อจะทำให้เห็นว่าพลังของประชาชนที่รักประชาธิปไตย เป็นพลังบริสุทธิ์  นับแต่จะก้าวหน้า มีอำนาจต่อรองในสังคมมากยิ่งขึ้น

              นายแพทย์ประสงค์ บูรณ์พงศ์ ไม่ได้เรียกร้องให้คนเสื้อแดงยินยอมอย่างสิโรราบ แต่ก็ไม่ได้เรียกร้องให้แข็งขืน ประเภทยอมหักไม่ยอมงอ หากแต่ต้องการบทสรุปก็คือ “ให้รับฟังความคิดเห็นของ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ด้วยความรักและความเข้าใจ”  ทั้งนี้เนื่องจากไม่มีใครรู้ลึกถึงจิตใจของทักษิณว่าได้รับ “ความบอบช้ำ” แสนสาหัสเพียงใด

     เราน่าจะรู้เองว่าท่านเผชิญชะตากรรมขนาดนั้น ยังทนอยู่ได้

     ต่อมา ผมได้สรุปเอาเองว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ถูกเผด็จการเล่นงานอย่างหนัก ถูกทำร้ายทางการเมืองด้วยความเจ็บปวด ลองคิดดูเอาเถิดครับว่านอกจากจะต้องถูกตราหน้าว่าล้มเจ้า หาว่าเป็นหัวหน้าก่อการร้าย ยังมีข้อหาอื่นๆอีกมากมาย อันล้วนแต่แสนจะเจ็บปวด ซึ่งใครเจอเข้ากับตัวเองอาจจะบ้าตายแล้วก็ได้

       พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ทนได้อย่างไร  น่าเห็นใจอย่างยิ่ง เช่นถึงขั้นต้องหย่ากับครอบครัวเพื่อความปลอดภัยของลูกเมีย ต่อมา...ถูกยึดทรัพย์  ถูกคำสั่งลับให้ยุติบทบาททางการเมือง ให้หลบลี้หนีหน้าไปอยู่ประเทศอื่น ห้ามกลับเข้าประเทศไทย อย่างนี้เป็นต้น
  
            เมื่อมันร้ายแรงถึงขนาดนั้น ก็เป็นเหตุอย่างสำคัญที่จะเป็นปัจจัย “บีบคั้น” ให้ท่านทักษิณอยากใช้หลายแนวทาง เพื่อจะได้กลับสู่แผ่นดินเกิด  ทั้งนี้โดยมีรัฐบาลที่เป็นของฝ่ายเราเป็น “กำแพง” ให้เอาหลังพิงให้ได้กลับสู่บ้านเกิดเมืองนอน

               ผมเขียนมาถึงตอนนี้ทำให้เกิดความสงสัยว่าพรรคเพื่อไทย และรัฐบาล น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเป็นกำแพงให้ “พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร” ได้กลับบ้านสำเร็จไหมหนอ ?  หรือว่าจะเป็นเพียงภาพลวงตาให้แผ่นดินนี้เป็นแผ่นดินอาถรรพณ์ ไม่รู้จักจบจักสิ้น   ผมย้อนหลังมองดูอดีต นับแต่พระยามโนปกรณ์ ต้องไปตายที่ปีนัง  พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ร. 7 สวรรณคต ณ ประเทศอังกฤษ  นายปรีดี พนมยงค์ สิ้นชีวิตที่ฝรั่งเศส  จอมพล ป. พิบูลย์สงคราม จบชีวิตที่ญี่ปุ่น ดร. ป๋วย ไปตายต่างแดน

               เขียนถึงตอนนี้...ทำให้เกิดความฉงน ?..จนต้องถามว่าความปรองดองนี้...มันเป็นไฉน ?


                                “สอาด จันทร์ดี”
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น