วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วิธีการผิดๆ ก่อความเสียหายหนักกว่า

ธงชัย วินิจจะกูล: วิธีการผิดๆ ก่อความเสียหายหนักกว่า
กล่าวกันมากว่าวิกฤตการเมืองรอบนี้ก่อความเสียหายทางเศรษฐกิจมากมายมหาศาล

           ความเข้าใจเช่นนี้คงไม่ผิดเสียทีเดียว แต่เรามักมองข้ามความเสียหายประเภทอื่นที่อาจหนักยิ่งกว่า เพราะความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นเรื่องเข้าใจง่าย ความเสียหายประเภทอื่นอาจเป็นนามธรรม วัดเป็นตัวเลขไม่ได้ จึงเข้าใจยากกว่า

             ถ้าความเสียหายทางเศรษฐกิจร้ายแรงขนาดวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ใช้เวลากว่า 10 ปีจึงฟื้นคืนสู่ปกติ  ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากวิกฤตในขณะนี้น่าจะใช้เวลากอบกู้ไม่มากไปกว่า 10 ปี การเทียบเคียงง่ายๆเช่นนี้มิใช่ความประมาทหรือดูเบาให้ชะล่าใจ  แต่เพื่อชี้ให้เห็นว่ามีความเสียหายที่หนักกว่าเศรษฐกิจซึ่งต้องใช้เวลานานกว่ามากเพื่อกอบกู้กลับมา (ไม่รวมถึงการสูญเสียชีวิตพิการบาดเจ็บซึ่งสูงค่าจนเทียบกันไม่ได้)

วิธิการผิดๆ

          เรามองเห็นแต่คอรัปชั่นของนักการเมืองว่าเป็นต้นตอของโรคที่ทำประเทศชาติพินาศ ทั้งๆที่คอรัปชั่นอันหนักหน่วงกว่าอยู่ในระบบราชการโดยเฉพาะในกองทัพ เพราะไม่ใช่แค่กินตามโปรเจกต์หรือนโยบาย แต่กินกันในระบบเป็นปกติ ทำกันโจ๋งครึ่มมาหลายชั่วอายุคนโดยไม่มีรัฐบาลไหนกล้าแตะ ไม่ต้องกลัว ปปช. ไม่ต้องเกรงสื่อมวลชน กปปส.ก็ไม่แตะ แถมยังให้เกียรติเป็น “คนดี” เชิญมาช่วยปราบคอรัปชั่นเสียอีก

          เราก่นโคตรกลุ่มทุนเฉพาะรายว่าเป็นทุนสามานย์ แต่กลับยกเว้นและยกย่องกลุ่มทุนขนาดใหญ่กว่า ผูกขาดยิ่งกว่า ตรวจสอบไม่ได้ยิ่งกว่า นักวิชาการและ “ภาคประชาชน” ที่มีอคติได้ขนาดนี้ ถ้าไม่เป็นเพราะด้อยปัญญาก็ต้องเป็นเพราะไม่ซื่อตรงต่อสาธารณชน

            การปฏิรูปที่กำเนิดจากการหลอกลวง ไม่ซื่อตรง อคติเช่นนี้จะช่วยอะไรขึ้นมา เป็นข้ออ้างที่ฟังดูดีเพื่อชิงอำนาจ แต่ทำให้สังคมหลอกตัวเองหนักเข้าไปอีก

            การฉวยโอกาสดันทุรังผลักร่างกฎหมายที่ผู้คนค้านทั้งบ้านทั้งเมืองเพียงเพราะฝ่ายตนมีเสียงข้างมากในสภาเป็นการใช้อำนาจบาตรใหญ่ แถมใช้กลอุบายแบบฉ้อฉลฉวยโอกาส ต่อให้ชนะในสภาก็เป็นความพ่ายแพ้ทางการเมืองเพราะเป็นวิธีการที่ผิด ทั้งก่อให้เกิดการตอบโต้สุดเหวี่ยงแบบไม่สนใจความถูกผิดเช่นกัน

           ขบวนการโค่นทักษิณในขณะนี้ใช้วิธีการขู่กรรโชกบังคับขู่เข็ญขืนใจคนทั้งประเทศ ทั้งด้วยวาจาและด้วยกำลัง ทั้งโดยมีอาวุธโจ่งแจ้งและไม่โจ่งแจ้ง ใช้พฤติกรรมอันธพาลละเมิดกฎหมายอย่างเปิดเผยซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะมีพลังอภิชนหนุนหลังทั้งแผง คือผู้มีบารมี ผู้ถืออาวุธ ผู้มีทรัพย์ ชาติตระกูล และผู้มีการศึกษา ทั้งยังมีสื่อมวลชนจำนวนมากและกระบวนการยุติธรรมให้ท้าย

คนเหล่านี้รู้ดีว่า ในสังคมที่ผู้คนไม่เท่าเทียมกัน อำนาจกฎหมายต้องยอมสยบต่อพลังอภิสิทธิ์ของตน

นี่เป็นการกระทำที่ผิดมหันต์ แต่อภิชนผู้สนับสนุนกลับช่วยกันฟอกจนกลายเป็นวีรกรรม

          นับแต่ก่อนรัฐประหาร 2549 เราใช้วิธีการผิดๆที่ท่วมท้นด้วยอคติเพื่อเอาชนะกัน ทำทุกวิถีทางรวมทั้งทำลายระบบการเมืองประชาธิปไตยที่สร้างขึ้นมาด้วยชีวิตของคนจำนวนไม่น้อย

            หลักนิติธรรมที่ใช้เวลานานหลายชั่วคนค่อยๆสร้างสมปรับปรุงกันขึ้นมาถูกบิดเบือนเฉไฉ กระบวนการยุติธรรมใช้อำนาจเกินขอบเขต ตัดสินด้วยเหตุผลประหลาดนอกหลักกฎหมาย ไม่คงเส้นคงวา บ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของตนเอง แถมวางบรรทัดฐานแบบอย่างผิดๆหลายประการแก่กระบวนการยุติธรรม

         บรรทัดฐานและจรรยาบรรณของวิชาชีพหลายอย่างถดถอยจนถูกทำลาย ที่สำคัญคือสื่อมวลชนที่ทำตัวเป็นแค่โฆษณาชวนเชื่อ นักวิชาการและวิชาชีพที่เคยน่าเคารพก็เผยมิจฉาทิฐิคิดว่าตนเองวิเศษกว่าและควรมีอภิสิทธิ์เหนือผู้อื่น ทิ้งปัญญาหันพึ่งแต่วาทศิลป์ ถูกความโกรธเกลียดครอบงำจนละเลยจรรยาบรรณวิชาชีพ

       หลักสิทธิมนุษยชนที่ใช้เวลาหลายสิบปีพัฒนาจนเป็นคุณค่าที่สังคมยอมรับก็ถูกเฉไฉเลือกใช้อย่างไร้หลัก กลายเป็นเรื่องตลกขบขันที่ผู้คนไม่เชื่อถืออีกต่อไป

         ไม่น่าเชื่อว่าสังคมไทยสูญสามัญสำนึก เกิดวิปลาสกลับตาลปัตร จนมาถึงจุดที่สามารถขัดขวางมุ่งล้มการเลือกตั้งได้เปิดเผยในนามของประชาธิปไตย ทำร้ายร่างกายและใช้อาวุธได้ในนามของสันติอหิงสา ศาลให้ความคุ้มครองอันธพาลและจำกัดอำนาจตำรวจตามที่อันธพาลร้องขอ  สื่อมวลชนที่ปลุกให้คนเกลียดชังกันอย่างรุนแรงได้รับรางวัลจากสถาบันผลิตนักสื่อสารมวลชน อธิการบดีอยากให้หยุดการเรียนการสอนแต่นักศึกษาไม่อยากหยุดแถมเตือนอธิการบดีว่าไม่ควรยุ่งการเมือง ฯลฯ  อีกมาก


วิธีการผิดๆเหล่านั้นไม่ช่วยแก้ปัญหาสักนิด กลับยิ่งทำให้เราตกต่ำถลำลึกวิปลาสหนักขึ้น
(โปรดฟังอีกครั้ง) ทำไมต้องประชาธิปไตย

           เราควรเลิกพูดกันเสียทีว่า “ประชาธิปไตยเป็นระบบที่เลวน้อยที่สุด” คำกล่าวเช่นนั้นฟังดูเหมือนฉลาด แต่ที่จริงเป็นการแสดงความโง่เพราะเป็นคำกล่าวที่ไม่มีสาระ ไม่ช่วยให้เข้าใจอะไรขึ้นมาแม้แต่นิดเดียว

          ประชาธิปไตยเป็นระบบการเมืองที่พึงปรารถนาเพราะเป็นวิธีจัดความสัมพันธ์ทางอำนาจอันจำเป็นสำหรับสังคมซึ่งเจริญขึ้นมากจนหลากหลายซับซ้อน คนดีทั้งหลายก็คิดไม่เหมือนกันหรือมีผลประโยชน์สอดคล้องกันอีกต่อไป ครั้นคนดีเหล่านั้นต่างตระหนักในสิทธิและอำนาจของตนที่มีเท่าๆกับคนอื่น ในภาวะเช่นนี้สังคมจึงต้องการระบบและกติกาเพื่อให้คนที่คิดต่างกันผลประโยชน์ต่างกันมาต่อสู้ต่อรองกันได้อย่างสันติ โดยคนข้างมากตัดสินเลือกความคิดและข้อเสนอที่เขาเห็นด้วยต้องการ ณ เวลาหนึ่งๆ

          ระบบการเมืองแบบนี้อาจไม่สามารถแก้ปัญหาใหญ่ๆที่ซับซ้อนได้ในเวลารวดเร็วฉับพลัน มิใช่เป็นเพราะระบบเลว แต่เป็นเพราะประชากรในสังคมหนึ่งๆแตกต่างกันเสียจนหาข้อตกลงได้ยาก ไม่มีใครถูกใจได้ตามที่ต้องการไปหมด ยิ่งไปกว่านั้นเสียงข้างมากอาจเลือกผิดพลาดหรือต้องใช้เวลากว่าจะเรียนรู้ แต่ระบบการเมืองแบบนี้ก็ประกันว่าความเสียหายอันเกิดจากการเลือกผิดจะถูกจำกัด ทั้งเพราะคนข้างมากเรียนรู้ได้ และที่สำคัญเป็นเพราะทางเลือกหนึ่งๆเหมาะสมกับเวลาหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางเหมาะสมกับทุกเวลาทุกท้องที่

           ระบบวิธีการอื่นๆที่ฝากชะตาชีวิตของคนจำนวนมากไว้กับอภิสิทธิชนผู้อ้างว่ารู้ดีไม่กี่คนกลับเสียหายหนักกว่าเพราะผู้รู้ดีล้วนเป็นแค่ปุถุชนที่เป็นตัวแทนของความคิดและผลประโยชน์อย่างหนึ่งแค่นั้นเอง

           ประชาธิปไตยไม่มีสังคมในฝันหรือยูโทเปียสวยหรู เพราะอุดมคติของประชาธิปไตยคือการแบ่งอำนาจ กระจายอำนาจ และการใช้อำนาจตามวิธีการที่ถูกต้องเพื่อให้สังคมปรับตัวเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆไม่รู้จบ

ประชาธิปไตยเป็นอุดมคติของ “วิธีการ” (means) ไม่ใช่อุดมคติของจุดหมาย (end)

          การใช้วิธีการผิดๆจึงไม่มีทางสร้างสังคมประชาธิปไตยได้ เพราะขัดกับความมุ่งหมายและสาระสำคัญของประชาธิปไตยอย่างถึงรากฐาน

         ประชาธิปไตยจึงไม่ใช่ระบบที่เหมาะกับสังคมฝรั่งแต่ไม่เหมาะกับสังคมไทยอย่างที่นักวิชาการตื้นเขินมักกล่าว แต่เป็นประสบการณ์ร่วมของมนุษยชาติที่ต้องการระบบและกติกาที่เป็นธรรมมาต่อรอง ได้เสีย แพ้ชนะกันอย่างสันติและปรับตัวได้เป็นระยะโดยความเสียหายต่ำที่สุด

         ผู้ที่คิดว่าประชาธิปไตยไม่เหมาะกับสังคมไทยก็เพราะเข้าใจผิดคิดว่าสังคมไทยยังไม่เจริญ ไม่หลากหลาย คิดว่าความขัดแย้งเป็นสิ่งไม่ดีที่กำจัดได้ คิดว่าผลประโยชน์ของคนชาติเดียวกันควรเหมือนกันและยังทำให้ผู้คนคิดเหมือนๆกันได้ คนพวกนี้ชอบอ้างว่ารู้จักประชาธิปไตยที่ถูกต้องสมบูรณ์ แต่คิดว่าผู้คนยังโง่งมเกินกว่าจะเข้าใจประชาธิปไตยได้ จึงต้องมีผู้รู้คอยจูงให้เดินตาม ความคิดเหล่านี้เหลวไหลทั้งเพ

         ประชาธิปไตยเป็น “วิธีการ” จัดสรรอำนาจ ไม่ใช่วิชาความรู้ การถือเอาความด้อยการศึกษาหรือความจนเป็นเหตุผลเพื่อปฏิเสธสิทธิทางการเมืองของทาส ผู้หญิง ชนกลุ่มน้อย คนจน ฯลฯ ล้วนเป็นแค่ทัศนะเก่าๆที่คนทั่วโลกเลิกใช้ไปนานแล้วเพราะน่าขยะแขยงเกินกว่าอารยชนพึงเก็บเป็นขยะในสมอง (นี่คือเหตุผลที่นักข่าวต่างประเทศไม่สามารถเข้าใจความคิดแบบไทยๆได้)

          ระบบการเมืองประชาธิปไตยจึงต้องการองค์ประกอบที่สำคัญ ได้แก่ หนึ่ง...การกระจายอำนาจเพื่อให้ผู้คนที่เท่าเทียมกันได้ใช้อำนาจเลือกและคอยตรวจสอบตามกรอบกติกาอย่างกว้างขวางที่สุด สอง...กระบวนการยุติธรรมยึดมั่นในวิธีการที่เที่ยงธรรมเพื่อแก้ไขความขัดแย้งอย่างน่าเชื่อถือไม่มีอคติ สาม...ข่าวสารข้อมูลความรู้สาธารณะที่โปร่งใสและหลายด้านและเสรีภาพในการแสดงความคิด เพื่อให้ผู้คนมีข้อมูลและคิดได้หลากแง่มุม ประกอบขึ้นเป็นทางเลือกเพื่อการตัดสินใจอย่างเป็นตัวของตัวเอง

          ประชาธิปไตยอนุญาตให้ผู้คนที่แตกต่างกันมีส่วนร่วมระหกระเหินไปด้วยกันโดยมีกติกาเพื่อให้ต่อสู้ต่อรองกันอย่างสันติ มีกฎหมายกระบวนการยุติธรรมเป็นกลไกป้องกันการละเมิดกติกาเพื่อจะได้ไม่ต้องใช้ความรุนแรงตัดสินปัญหา และมีข้อมูลความรู้ความคิดสาธารณะเพื่อการตัดสินใจและเพื่อการเรียนรู้ไปด้วยกัน เหล่านี้เป็นปัจจัยร่วมที่จำกัดความเสียหายให้อยู่ในระดับที่น้อยที่สุด
เราจะหยุดความเสียหายได้อย่างไร

           วิกฤตคราวนี้ยิ่งลุกลามเป็นเพราะวิธีการผิดๆไม่มีทางล้างผิดให้เป็นถูก มีแต่ยิ่งออกนอกลู่นอกทาง เละเทะทับถม จมปลักหนักเข้าไปอีก การทำลายระบอบประชาธิปไตย(ที่ไม่ทางสมบูรณ์) กระบวนการยุติธรรม และสื่อมวลชนจนพิการอ่อนแอ ไม่มีทางเป็นพื้นฐานแก่การสร้างสังคมประชาธิปไตยขึ้นมาใหม่ ไม่มีทางเป็นจุดเริ่มของการปฎิรูป แต่จะเป็นจุดเริ่มของความตกต่ำของอารยธรรมไทยอย่างแน่นอน

ความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาลกลับไม่อาจเทียบได้เลยกับความเสื่อมถอยพังพินาศของระบอบประชาธิปไตย กระบวนการยุติธรรม วิชาชีพสื่อมวลชนและสังคมไทยนับแต่ปี 2549

           เราไม่รู้เลยว่าความเสียหายประเภทนี้จะฟื้นได้ขนาดไหน เมื่อไร และในระหว่างนั้นจะเกิดวิกฤตเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจและสูญเสียชีวิตกันอีกกี่ยก เพราะระบบการเมืองอ่อนแอไร้ประสิทธิภาพไปเสียแล้ว กระบวนการยุติธรรมไม่อาจเป็นที่พึ่งได้เสียแล้ว และสื่อมวลชนเป็นยาพิษทางปัญญาไปแล้ว

             การใช้วิธีการผิดๆก่อผลเสียหายสาหัสกว่าและฟื้นยากกว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจมาก

ไม่กี่วันมานี้ มีผู้หลักผู้ใหญ่เรียงหน้าออกมาทีละคนราวกับนัดหมายกัน เสนอให้ใช้วิธีการผิดๆเป็นทางออกอีก แทนที่จะหยุดถือหางแก้ต่างให้ขบวนการคิดสั้น แล้วแนะนำให้หยุดต่อสู้ด้วยวิธีการผิดๆเสียที

            เราอาจมีความคิดความเชื่อต่างกัน อาจมองปัญหาเดียวกันไปคนละทาง อาจมีความฝันต่ออนาคตและหนทางสู่ความฝันนั้นๆไม่เหมือนกัน แต่เราต่างมีสติปัญญา รู้จักผิดชอบชั่วดีและจรรยาบรรณหลักการของวิชาชีพดีพอว่าอะไรที่ไม่ควรละเมิด อะไรคือการแถไถข้างๆคูๆอย่างน่าละอายเพื่อเอาชนะกัน

            เราท่านคงรู้ตัวทุกครั้งที่ละเมิดหลักการกติกาจรรยาบรรณ แต่เราท่านคงคิดว่าจำต้องทำเพื่อช่วยธรรมให้ชนะอธรรม ทว่าธรรมะบรรลุได้ด้วยมรรควิธีที่ถูกต้องเท่านั้น มิใช่ด้วยมรรคที่สุดโต่งหรือผิดๆ เราท่านมักไม่คิดไกลๆว่าการทำเช่นนั้นก่อความเสียหายขนาดไหนต่ออนาคต เกิดบรรทัดฐานผิดๆ แบบอย่างผิดๆ ค่านิยมผิดๆที่ต้องใช้เวลาอีกนานเพื่อต่อสู้ให้เข้ารูปเข้ารอย การใช้วิธีที่ผิดหนึ่งครั้งหมายถึงถอยหลังออกห่างจากอนาคตที่จะมีระบบหลักการเข้มแข็งออกไปอีกทุกครั้ง

เราอยากเห็นสังคมดีขึ้นเพื่อลูกหลานของเรา อนาคตที่ดีไม่เคยเกิดจากวิธีการผิดๆ แม้ว่าจะใช้โดยคนดีวิเศษหรือเป็นประชาธิปไตยมากขนาดไหนก็ตาม อนาคตที่ดีสร้างด้วยความอดทน เชื่อมั่นว่าในระยะยาวๆ ระบบต่างๆที่จำเป็นจะสั่งสมประสบการณ์ร่วมของคนจำนวนมากและพัฒนาเติบโตได้

           ท่านผู้หลักผู้ใหญ่คนดีทั้งหลาย ท่านตุลาการศาลทั้งหลาย ท่านบรรณาธิการและผู้มีส่วนในสื่อมวลชนทุกฝ่ายทุกประเภท ท่านทั้งหลายอีกมากมายที่กำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย โปรดฉุกคิดสักนิดว่าการช่วยฝ่ายธรรมะด้วยวิธีที่ผิดทุกครั้งเป็นการทำร้ายลูกหลานของท่านเอง

ชัยชนะระยะสั้นๆคือความพ่ายแพ้ของทุกฝ่ายในอนาคต โปรดคิดถึงอนาคตกันดีกว่า

โปรดตระหนักว่าอนาคตที่ดีไม่เคยเกิดจากวิธีการผิดๆ ไม่ว่าในนามอุดมคติชนิดไหนก็ตาม


           ท่านมีโอกาสกระทำการเพื่อยุติวิกฤตในปัจจุบันได้ ไม่ใช่ด้วยการเลือกข้างคนดีแต่ใช้วิธีการที่ผิด แต่ด้วยการยืนหยัดไม่ใช้วิธีการที่ผิดๆในการต่อสู้ตามความเชื่อของท่าน คอรัปชั่น คนเลว หรือระบอบชั่วร้ายต้องถูกจัดการโดยวิธีการที่ถูกต้องจึงจะสร้างทั้งระบบ บรรทัดฐาน และความถูกต้องไปพร้อมๆกัน

           ท่านมีโอกาสยุติความเสียหายเพราะวิธีการที่ผิดๆได้ หากท่านเห็นแก่อนาคต ประวัติศาสตร์จะจารึกชื่อและความกล้าหาญของท่านไว้อย่างน่าภาคภูมิใจไปอีกหลายชั่วคน

อย่าให้ลูกหลานต้องพบชื่อของท่านบันทึกในประวัติศาสตร์อย่างตรงกันข้ามเลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น