นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการทีดีอาร์ไอ ชี้งานวิจัยของนักวิชาการไม่ใช่งานสืบสวนสอบสวนเพื่อหาผู้กระทําผิด ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ระบุรายงานวิจัยที่ อสส. อ้างถึง ไม่ใช่ รายงานวิจัยที่บ่งชี้ความผิดของ ‘ยิ่งลักษณ์’ แต่เป็นวิจัยสมัยรัฐบาลทักษิณ
10 ก.ย. 2557 ภายหลังจากโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงข่าวเมื่อวันที่ 4 ก.ย. ที่ผ่านมา ถึงความคืบหน้าในคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งสำนวนพร้อมมติชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ เรื่องละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งทางอัยการสูงสุดได้พิจารณาแล้วโดยเซ็นคำสั่งเมื่อวันที่ 3 ก.ย. ที่ผ่านมา เห็นว่า สำนวนของ ป.ป.ช. มีประเด็นที่ยังไม่สมบูรณ์ โดยมีประเด็นหนึ่งที่ระบุถึง เรื่องการทุจริตนั้น ควรไต่สวนพยานเพิ่มเติมให้ได้ความว่า โครงการ รับจำนำข้าวที่ยืนยันว่ามีการทุจริตนั้น พบการทุจริตในขั้นตอนใดและมีการทุจริตอย่างไร นอกจากนั้นมีการกล่าวอ้างถึงรายงานวิจัยโครงการนโยบายข้าวของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ว่า โครงการดังกล่าวมีการทุจริตและมีความเสียหายจำนวนมาก แต่ในสำนวนการไต่สวนปรากฏว่า มีเพียงหน้าปกรายงานวิจัยเท่านั้น ดังนั้นจึงให้รวบรวมรายงานวิจัย ทั้งฉบับเป็นพยานหลักฐานในสำนวนการไต่สวนให้สมบูรณ์ด้วย
จนนำมาสู่กระแสวิพากษ์วิจารณ์รายงานวิจัยโครงการนโยบายจํานําข้าวของทีดีอาร์ไออย่างกว้างขวาง
ล่าสุด(10 ก.ย.) นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ ทีดีอาร์ไอ ในฐานะผู้รับผิดชอบจัดทํารายงานวิจัยฉบับดังกล่าว ชี้แจงกรณี เขียนข้อเขียน ‘ชี้แจงกรณี รายงานวิจัยเรื่องนโยบายจํานําข้าวของทีดีอาร์ไอที่ ป.ป.ช. อ้างถึงใน สํานวนคดีกล่าวหาอดีตนายกรัฐมนตรี น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ ระบุว่ารายงานดังกล่าว ไม่ใช่ รายงานวิจัยที่บ่งชี้ความผิดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะไม่ใช่การศึกษาวิจัยโครงการรับจํานําข้าวทุกเม็ดตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทย แต่เป็นการวิจัยนโยบายรับจํานําข้าวฤดูการผลิตปี 2548/49 ในสมัยรัฐบาลทักษิณ ขณะที่รายงานในสมัยรัฐบาล น.ส. ยิ่งลักษณ์ ยังไม่เคยส่งให้ ป.ป.ช. ชี้งานวิจัยของนักวิชาการไม่ใช่งานสืบสวนสอบสวนเพื่อหาผู้กระทําผิด ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง
โดยมีรายละเอียดดังนี้
ชี้แจงกรณี รายงานวิจัยเรื่องนโยบายจํานําข้าวของทีดีอาร์ไอที่ ป.ป.ช. อ้างถึงใน สํานวนคดีกล่าวหาอดีตนายกรัฐมนตรี น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นิพนธ์ พัวพงศกร
เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2557 โฆษกสํานักงานอัยการสูงสุด (อสส.) แถลงว่าคณะทํางานเรื่องคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชี้มูลความผิด นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เรื่องกระทําผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการฐานละเลยไม่ดําเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจํานําข้าว มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าสํานวนคดียังไม่สมบูรณ์พอที่จะดําเนินคดีตามข้อกล่าวหา หนึ่งในประเด็นที่ยังไม่สมบูรณ์ คือ การที่ ป.ป.ช. กล่าวอ้างถึงรายงานวิจัยเรื่องโครงการรับจํานําข้าวของทีดีอาร์ไอ ว่า “โครงการ (รับจํานําข้าว) ดังกล่าว” มีการทุจริตและมีความเสียหายจํานวนมาก แต่ในสํานวนการไต่สวนมีเพียงหน้าปกรายงานวิจัยเท่านั้น
ข่าวดังกล่าวสร้างความสับสนและเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์รายงานวิจัยโครงการนโยบายจํานําข้าวของทีดีอาร์ไออย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ในฐานะผู้รับผิดชอบจัดทํารายงานวิจัยฉบับดังกล่าว ผมขอชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรายงานวิจัยที่ตกเป็นข่าว
ประการแรก รายงานวิจัยฉบับที่ อสส. อ้างถึง ไม่ใช่ รายงานวิจัยที่บ่งชี้ความผิดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะไม่ใช่การศึกษาวิจัยโครงการรับจํานําข้าวทุกเม็ดตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทย แต่เป็นการวิจัยนโยบายรับจํานําข้าวฤดูการผลิตปี 2548/49 ในสมัยรัฐบาลทักษิณเจ้าของผลงานวิจัย (ผู้ว่าจ้าง) คือ สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชื่อรายงานวิจัยคือ “โครงการศึกษามาตรการแทรกแซงตลาดข้าวเพื่อป้องกันการทุจริต : แสวงหาค่าตอบแทนส่วนเกินและเศรษฐศาสตร์การเมืองของโครงการรับจํานําข้าวเปลือก” ตีพิมพ์เมื่อตุลาคม 2553 ท่านผู้สนใจสามารถหาต้นฉบับได้จาก ปปช. และจากเวปไชต์ของทีดีอาร์ไอ(www.tdri.or.th/research/d2011003)
ส่วนรายงานอีกฉบับหนึ่งของผมกับเพื่อนนักวิจัย เรื่อง การทุจริตในการระบายข้าวของโครงการรับจํานําข้าวในสมัยรัฐบาล น.ส. ยิ่งลักษณ์ คณะกรรมการตรวจรับของสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยเพิ่งให้ความเห็นต่อเนื้อหาของรายงาน เมื่อวันจันทร์ที่ 8 กันยายน 2557 รายงานฉบับนี้ยังไม่เคยส่งให้ ป.ป.ช. มีแต่การเปิดเผยบทสรุปผลวิจัยให้สื่อมวลชนบางฉบับเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2557 อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้สังคมก็เลยเกิดความเข้าใจผิดว่า ป.ป.ช. นําหลักฐานจากรายงานวิจัยฉบับหลังไปกล่าวหา น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
วัตถุประสงค์หลักของรายงานฉบับแรกที่ ป.ป.ช. กล่าวถึงในสํานวนไม่ใช่การศึกษาเรื่องการทุจริตโดยตรง แต่เป็นการศึกษาเรื่องความเสียหายต่างๆที่เกิดจากโครงการรับจํานําข้าว ในสมัยรัฐบาลทักษิณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นทุนการคลัง ผลขาดทุน ต้นทุนสวัสดิการสังคม และผลตอบแทนพิเศษที่เกิดจากโครงการรับจํานําข้าว ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการทุจริตอย่างกว้างขวาง ประเด็นหลักของรายงานฉบับนี้คือ การแสวงหามาตรการช่วยเหลือชาวนาโดยไม่แทรกแซงตลาด ซึ่งเป็นบ่อเกิดของการทุจริต มาตรการดังกล่าวจะเป็นการป้องกันการทุจริตที่ผลมากที่สุด
กรรมการเจ้าของสํานวนคดี (นายวิชา มหาคุณ) ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า สาเหตุที่มิได้ส่งรายงานวิจัยโครงการนโยบายข้าวของทีดีอาร์ไอให้ อสส. เพราะ “รายงานของทีดีอาร์ไอเป็นเพียงการยกตัวอย่างว่ามีช่องทางการทุจริตในโครงการรับจํานําข้าวที่ผ่านมาอย่างไรบ้าง ไม่ได้หยิบยกรายงานวิจัยดังกล่าวมาเป็นเอกสาร หลักฐานในการชี้มูลความผิด นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”
ถ้าเช่นนั้น สื่อมวลชนบางฉบับ สังคม ตลอดจนอัยการสูงสุดเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับรายงานวิจัยของทีดีอาร์ไอได้อย่างไร
สาเหตุอาจมีหลายประการ ซึ่งรวมทั้งประเด็นการเมืองที่ผมไม่อยากคาดเดา แต่ผมคิดว่าสาเหตุหนึ่งอาจจะเกิดจากคําบรรยายของ นายวิชา มหาคุณ ในการอบรมหลักสูตรนิติเศรษฐศาสตร์ระยะสั้นแก่เจ้าหน้าที่สํานักงาน ปปช. เมื่อวันที่ 21 กรกฏาคม 2557 ว่า “ถ้าไม่มีการริเริ่มของผู้ทรงคุณวุฒิทางเศรษฐศาสตร์ที่ได้วิเคราะห์ไว้ เช่น สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ศึกษามาตรการแทรกแซงตลาดข้าว และการแสวงหาคําตอบของนายนิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณทีดีอาร์ไอ ตนฟันธงว่า ปปช.ก็ไม่สามารถที่จะชี้มูลความผิดกับรัฐบาล นส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรได้ ดังนั้นมิติทางเศรษฐศาสตร์มีความสําคัญมาก (ต่อการทํางานของ ปปช.)”
อันที่จริงนายวิชา มหาคุณ ควรยกความดีความชอบนี้ให้แก่ นายเมธี ครองแก้ว อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ซึ่งริเริ่มให้มีการศึกษาทางเศรษฐศาสตร์เพื่อหามาตรการป้องกันการทุจริตจากการแทรกแซงตลาดสินค้าเกษตร ในเวลานั้น ป.ป.ช. ได้ว่าจ้างนักวิชาการจากธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และทีดีอาร์ไอ ศึกษาเรื่องการแทรกแซงตลาดข้าว มันสําปะหลัง อ้อย ยางพารา และลําใย และเสนอแนะมาตรการป้องกันการทุจริต
ในเร็วๆนี้ ผมจะเขียนบทความสรุปผลการวิจัยเรื่องการทุจริตการระบายข้าวในโครงการรับจํานําข้าวทุกเม็ดของรัฐบาล นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลงในสื่อมวลชน แต่วันนี้ผมขออนุญาตทําความเข้าใจล่วงหน้ากับท่านผู้อ่านก่อนว่ารายงานวิจัยฉบับใหม่นี้คงไม่สามารถนําไปใช้ชี้มูลความผิดใครคนใดคนหนึ่ง เพราะเป็นเพียงงานวิชาการที่พยายามแสวงหาหลักฐานว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นจริง รูปแบบและพฤติกรรมทุจริตเป็นอย่างไร และการทุจริตในการระบายข้าวมีมูลค่าเท่าไร สิ่งที่นักวิชาการอย่างผมทําได้ คือ การให้ความรู้และข้อเท็จจริงกับสังคมว่าโครงการรับจํานําข้าวมิได้มีแค่ประโยชน์ต่อชาวนาเท่านั้น แต่เป็นโครงการที่ก่อให้เกิดต้นทุนและความเสียหายต่อสังคมใหญ่หลวงกว่าเม็ดเงินจากผู้เสียภาษีที่นักการเมืองโปรยให้ชาวนาบางส่วน ความเสียหายสําคัญ คือ การทุจริตของผู้เกี่ยวข้องและผู้มีอํานาจระดับสูง ตลอดจนการนําระบบค้าขายแบบเล่นพวกเข้ามาเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์จากตลาดข้าว แล้วใช้ชาวนาเป็นข้ออ้าง
งานวิจัยของนักวิชาการไม่ใช่งานสืบสวนสอบสวนเพื่อหาผู้กระทําผิด ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง นักวิชาการมีเพียงหน้าที่ศึกษาหาต้นตอของการทุจริตเพื่อหาทางป้องกันมิให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติเท่านั้น โปรดกรุณาอ้างอิงและใช้ประโยชน์งานวิชาการให้ถูกที่ถูกทางด้วยครับ
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น