ศาลทหารเชียงใหม่เลื่อนสอบคำให้การคดีแม่ครัวลำพูน ช่วยทำอาหารเลี้ยงเสื้อแดงกลับจากชุมนุมอักษะ ผิดฐานครอบครองอาวุธผิดกฎหมาย หลังทนายยื่นขอให้วินิจฉัยเขตอำนาจศาลใหม่ เจ้าตัวครวญถูกควบคุมตัวโดยไม่รู้เห็น ต้องรักษาอาการป่วยในคุกโดยไม่ได้ประกัน
เมื่อวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา ศาลมณฑลทหารบกที่ 33 จังหวัดเชียงใหม่ ได้นัดสอบคำให้การในคดีหมายเลขดำที่ 27ก./2557 ซึ่งพนักงานอัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 33 ได้ฟ้องนางเสาวณี อินต๊ะหล่อ ในข้อหาความผิดตามพ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 โดยก่อนการพิจารณา ทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยเขตอำนาจศาลทหารในการพิจารณาคดีนี้ ศาลจึงได้สั่งให้เลื่อนการสอบคำให้การจำเลยออกไปก่อน เพื่อรอฟังคำสั่งเรื่องเขตอำนาจศาลอีกครั้งหนึ่ง โดยศาลยังมิได้นัดหมายวันฟังคำสั่งแต่อย่างใด
สำหรับเหตุในคดีนี้ เกิดขึ้นภายหลังการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 26 พ.ค.57 เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจได้เข้าตรวจค้นภายในสวนลำไยแห่งหนึ่ง บริเวณตำบลเหมืองจี้ อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน โดยอ้างว่าบริเวณสวนลำไยดังกล่าว มีการฝึกการใช้อาวุธของกลุ่มการ์ดผู้ชุมนุมทางการเมือง และได้พบชายฉกรรจ์ 5 คน ซึ่งเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไป ทั้งหมดต่างพากันวิ่งหลบหนี
ก่อนที่เจ้าหน้าที่ทหารจะสามารถควบคุมตัวนายไพรัช สิงห์คำ อายุ 38 ปี และนางเสาวณี อินต๊ะหล่อ อายุ 50 ปี รวมทั้งมีการตรวจค้น พบอาวุธปืนยาวแบบไทยประดิษฐ์ 3 กระบอก อาวุธปืนสั้นดัดแปลง ขนาด .22 เครื่องกระสุนจำนวนหนึ่ง เสื้อเกราะกันกระสุน 8 ตัว วิทยุสื่อสาร และสัญลักษณ์เสื้อหรือป้ายเกี่ยวกับคนเสื้อแดงอีกจำนวนหนึ่ง (ดูรายงานข่าวก่อนหน้านี้)
นางเสาวณี อินต๊ะหล่อ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าตนมิใช่คนเฝ้าสวนลำไย มิใช่ภรรยาของนายสมพงษ์ พันธะจักร ที่วิ่งหลบหนีไปหลังการเข้าตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ตามที่เป็นข่าวในช่วงหลังรัฐประหารแต่อย่างใด และยังไม่เคยเข้าร่วมการชุมนุมทางการเมืองใดๆ มาก่อน เป็นแต่เพียงคนทำอาหารในร้านอาหารในจังหวัดลำพูน และในช่วงหลังการรัฐประหาร ได้รับการว่าจ้างจากเจ้าของสวนให้มาทำกับข้าวเลี้ยงกลุ่มคนเสื้อแดงที่เดินทางกลับจากการชุมนุมที่ถนนอักษะ
จนในวันที่ 26 พ.ค.57 ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ทั้งทหารและตำรวจบุกเข้าตรวจค้นสวนลำไย และกลุ่มชายเสื้อแดงจำนวนหนึ่งได้วิ่งหลบหนีไป แต่ตนมีอาการป่วยอยู่ คิดว่าตนไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และมิได้กระทำความผิดอันใด จึงมิได้หลบหนีไปด้วย ทำให้ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไว้
ต่อมา จึงได้ถูกนำตัวไปควบคุมยังค่ายทหารที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเวลา 1 คืน โดยเจ้าหน้าที่มิได้มีการข่มขู่คุกคาม แต่มีการสอบสวนถึงความสัมพันธ์กับกลุ่มการ์ดเสื้อแดง ก่อนปล่อยตัวออกมา และในวันต่อมา (28 พ.ค.) เจ้าหน้าที่ตำรวจที่สถานีตำรวจภูธรเหมืองจี้จะเรียกเธอไปสอบปากคำ ก่อนมีการแจ้งข้อกล่าวหาการครอบครองอาวุธโดยผิดกฎหมาย โดยเจ้าหน้าที่มิได้มีการควบคุมตัวเธอไว้ และไม้ได้มีการดำเนินคดีกับนายไพรัช ที่ถูกทหารควบคุมตัวมาด้วยแต่อย่างใด
จากนั้น พนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนคดีให้อัยการจังหวัดลำพูน ก่อนที่อัยการพลเรือนจะมีความเห็นว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร ตามประกาศคสช.ฉบับที่ 50/2557 จึงมีการส่งคดีมาที่อัยการศาลทหาร จนเมื่อวันที่ 15 ก.ย. เสาวณีได้ไปรายงานตัวต่อศาล และถูกควบคุมตัวไว้ ต้องอยู่ภายในเรือนจำมานับแต่นั้น
ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ทนายจำเลยได้ยื่นขอประกันตัวจำเลยมาแล้ว 3 ครั้ง โดยศาลวินิจฉัยว่าคดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับความมั่นคง เกรงว่าจำเลยจะหลบหนี จึงไม่ได้รับการประกันตัว และเมื่อวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา ภายหลังการยื่นคำร้องขอวินิจฉัยเรื่องเขตอำนาจศาล ทนายจำเลยได้ยื่นขอประกันตัวจำเลยเป็นครั้งที่ 3 ด้วยหลักทรัพย์จำนวน 200,000 บาท พร้อมกับยื่นใบรับรองแพทย์ และเอกสารการรักษาอาการป่วยต่างๆ ของจำเลยประกอบการพิจารณาของศาล แต่ศาลทหารยังคงไม่อนุญาตให้ประกันตัว เนื่องจากยังไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่ง
เสาวณีกล่าวเพิ่มเติมว่าเธอถูกควบคุมตัวโดยตนเองมิได้ชี้แจงถึงข้อเท็จจริง เธอมิได้รู้เห็นถึงอาวุธของกลางใดๆ ตามที่ถูกกล่าวหา อีกทั้งยังมีโรคประจำตัวหลายโรค ทั้งโรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน และโรคเลือด ทำให้การรักษาดูแลอาการเหล่านี้ภายในเรือนจำเป็นไปอย่างยากลำบาก และยังมีภาระต้องเลี้ยงดูลูกคนเล็ก ซึ่งมีอายุเพียง 10 ปี
สำหรับคำฟ้องในคดีนี้ ได้ระบุว่าจำเลยได้ร่วมกันมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยมิได้รับใบอนุญาต, ร่วมกันมีซึ่งยุทธภัณฑ์โดยไม่ได้รับใบอนุญาต และร่วมกันมีใช้ซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต
ทั้งนี้ ประกาศคสช.ฉบับที่ 50/2557 ลงวันที่ 30 พ.ค.57 ได้ระบุให้การกระทําความผิดฐานมีหรือใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิด ที่ใช้เฉพาะแต่การสงครามที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ ไม่ว่าจะมีข้อหาว่ากระทำผิดอย่างอื่นด้วยหรือไม่ ที่กระทําตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.57 เวลา 16.30 น. เป็นต้นไป ให้เป็นคดีอยู่ในอํานาจศาลทหารที่จะพิจารณาพิพากษา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น