หัสดิน อายุ 64 ปี ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 10 ก.พ.58 ทางการระบุว่าเขาคือ “ดีเจบรรพต” ผู้ลือลั่น และเขาก็รับสารภาพตามนั้น พร้อมกับการแถลงข่าวอันเต็มเปี่ยมความมั่นใจของเขา (ดู รู้จัก บรรพต ให้มากขึ้น จากปากคำของ หัสดิน อุไรไพรวัน)
ก่อนหน้าที่หัสดินจะถูกจับมีคนถูกจับไปแล้ว 6 คน รวมถึงภรรยาของเขา
หลังภรรยาและบรรดาแฟนคลับตัวยงทั้งหลายถูกจับโดยที่ยังหาตัวเขาไม่ได้ สำนักข่าวบางแห่งพยายามเชื่อมโยง “บรรพต” เข้ากับ ธเนศวร์ เจริญเมือง อดีตอาจารย์ด้านรัฐศาสตร์ และอดีตที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการในรัฐบาลเพื่อไทยและลากเส้นไปจนถึงคนแดนไกล เหตุเพราะเสียงใหญ่ทุ้มและยานคางซึ่งเป็นเสียงที่ถูกดัดแปลงของบรรพตนั้นคล้ายกับเสียงจริงของธเนศ สำนักข่าวดังกล่าวตัดต่อเทียบเสียงให้ผู้ชมฟังเป็นเรื่องเป็นราว แต่แล้วเมื่อจับกุมบรรพตตัวจริงได้ เรื่องนี้ก็เงียบหายไปราวไม่เคยเกิดขึ้น (ดู กระชาก!!หน้ากาก บรรพต ล้มเจ้า สัมพันธ์ที่แนบแน่นกับทักษิณ)
บรรพต เป็นใครไม่มีใครมีข้อมูลแน่ชัด รู้เพียงว่าเขาผลิตคลิปเสียงยาวชั่วโมงกว่าๆ วิเคราะห์การเมืองไทยทั้งแง่ประวัติศาสตร์และสถานการณ์ปัจจุบันมาตั้งแต่ราวปี 2552 เขาเป็นนักธุรกิจที่ล้มเหลว(เป็นไปได้ไหมว่า เขาเป็นนักธุรกิจที่เคยรุ่งเรืองในช่วงรัฐบาลทักษิณ ) ผู้ชื่มชมทักษิณ ชินวัตร อย่างยิ่งยวด
ช่วงแรกมีการผลิตรายการในความถี่เดือนละชิ้น และเพิ่มขึ้นเรื่อยจนในระยะหลังรัฐประหารครั้งล่าสุด เขาระบุว่าผลิตคลิปราวสัปดาห์ละ 2 ชิ้น คลิปของเขาถูกเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ตผ่านเว็บไซต์ mediafire ให้ผู้สนใจดาวน์โหลด และคนจำนวนหนึ่งก็นำมันไปอัพโหลดขึ้นยูทูบต่อ นอกจากนี้ยังมีการผลิตในรูปแบบซีดีสำหรับจำหน่ายในหมู่แฟนคลับด้วย
ช่วงแรกมีการผลิตรายการในความถี่เดือนละชิ้น และเพิ่มขึ้นเรื่อยจนในระยะหลังรัฐประหารครั้งล่าสุด เขาระบุว่าผลิตคลิปราวสัปดาห์ละ 2 ชิ้น คลิปของเขาถูกเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ตผ่านเว็บไซต์ mediafire ให้ผู้สนใจดาวน์โหลด และคนจำนวนหนึ่งก็นำมันไปอัพโหลดขึ้นยูทูบต่อ นอกจากนี้ยังมีการผลิตในรูปแบบซีดีสำหรับจำหน่ายในหมู่แฟนคลับด้วย
ฝ่ายนักวิชาการหรือนักเคลื่อนไหวฝ่ายก้าวหน้าแทบทั้งหมดวิจารณ์บรรพตหนักหน่วงและไม่ยอมรับการวิเคราะห์ของเขาที่แสดงออกแบบ “รู้ทุกเรื่อง” เต็มไปด้วย “ทฤษฎีสมคบคิด” มากมาย เกร็ดประวัติศาสตร์ชนิดที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนก็ปรากฏเป็นระยะ ใช้ภาษาอังกฤษก็มาก คำหยาบแบบภาษาชาวบ้านก็ไม่น้อย บางคลิปพาดพิงถึงสถาบันกษัตริย์ไทยด้วยโดยเขาพูดราวกับเป็นผู้เล่นหนึ่งในการเมืองไทย รวมไปถึงบทบาทของสหรัฐอเมริกาและความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับกองทัพ ฯลฯ
แต่ในอีกด้านหนึ่งเขากลับเป็นที่นิยมมากในหมู่คนทั่วไป และมีแฟนคลับมากขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถขายสินค้า เช่น เสื้อยืด ยาสมุนไพร รวมถึงระดมทุนผ่านการบริจาคได้ อย่างไรก็ตาม คลิปของเขาในยูทูบที่ได้รับความนิยมสูงสุดดูเหมือนจะเป็นเรื่องมะนาวและโซดาที่มีผลต้านสารก่อมะเร็ง ซึ่งมียอดคนชมกว่า 1 ล้านวิว ในขณะที่คลิปการเมืองมีคนฟังหลักพันบ้าง หลักหมื่นบ้าง หรือหลักร้อยก็มาก ทั้งนี้เพราะมีหลากหลายบัญชีผู้ใช้ที่นำคลิปของเขามากระจายไว้ในยูทูบ อันที่จริงผู้ต้องหาสูงวัยหลายคนที่ถูกจับกุมคุมขังจากกรณีเผยแพร่คลิปบรรพตก็ให้ข้อมูลกับทนายความว่าเขาชอบฟังช่วงสมุนไพรหรืออายุรเวชศาสตร์มากที่สุด บางคนระบุว่าช่วงหลังแทบไม่ฟังเรื่องการเมืองแต่ skip ไปยังเรื่องสมุนไพร ไข่ดอง น้ำส้มสายชูหมัก เป็นหลัก
ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ เขามักวิเคราะห์การเมืองโดยมีลักษณะเชิดชูสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ซึ่งเขาระบุว่าเป็นความหวังของการ set zero เดินหน้าประเทศไทย เขาเชื่อว่านั่นคือวิถีทางเดียวเท่านั้นที่จะเกิด “การเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ”
ปัจจุบันเขาอยู่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ด้วยข้อกล่าวหาความผิดตามมาตรา 112 จากการผลิตคลิปอย่างว่า ราว 400 ชิ้น
ภาพจากมติชนออนไลน์ (วันจับกุม)
สาเหตุที่คาดเดาได้ว่าบรรพตเป็นที่นิยม เนื่องจากฝ่ายความมั่นคงตามล่าหาตัวเขาเป็นพิเศษ ขณะที่หากพิจารณาจากผู้ถูกจับกุมจากกรณีของเขา ปรากฏว่าขณะนี้มีอย่างน้อย 16 ราย มีหลากหลายอาชีพตั้งแต่ข้าราชการระดับสูง คนค้าขาย ช่างเย็บผ้า ชาวบ้านต่างจังหวัด ฯลฯ
ที่สำคัญและน่าสนใจกว่านั้น ข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ผู้ที่ถูกจับกุมใน “เครือข่ายบรรพต” ล้วนเป็น User ทั่วๆ ไปที่ใช้โซเชียลมีเดีย พฤติการณ์ร่วมของพวกเขาตามที่เจ้าหน้าที่กล่าวหาคือ การแชร์คลิปเสียงของบรรพต มีเพียงบางคนที่อาจเป็นผู้อัพโหลดยูทูบด้วย ขณะที่บางคนระบุว่าไม่เกี่ยวข้องกับการแชร์คลิปใดๆ เพียงแต่ยินยอมให้มีการโอนเงินจากการขายสินค้าเข้าบัญชีเพราะเห็นว่าเป็นการร่วมกิจกรรมกลุ่มย่อยทั่วไป
เกือบทั้งหมดยืนยันว่าไม่เคยเจอ ‘บรรพตตัวเป็นๆ’ เพียงแต่ชื่นชอบรายการของเขา ติดตามในฐานะแฟนคลับอย่างไรก็ตาม ทั้งหมดถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่ากระทำผิดตามมาตรา 112 และถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำทั้งหญิงและชาย ศาลทหารไม่อนุญาตให้ประกันตัว บางคนรับสารภาพตั้งแต่ชั้นสอบสวน ขณะที่บางคนปฏิเสธข้อกล่าวหาและเตรียมสู้คดีในศาลทหาร
“มันเหมือนกับที่เราชอบฟังรายการวิทยุอันหนึ่ง ฟังแล้วก็แชร์ให้คนอื่นที่สนใจฟัง ใครไม่สนใจก็ผ่านไป คนเรามันมีวิจารณญาณของตัวเอง นึกไม่ถึงว่าจะโดนหนักขนาดนี้” ภรรยาของผู้ต้องขังคนหนึ่งกล่าว
สำหรับตัวบรรพต เขาเล่าประวัติตัวเองว่า เขาเกิดในตระกูลคนจีนที่ทำกิจการสิ่งทอใหญ่โต เรียกว่าเป็น ‘เสือสิ่งทอ’ ของไทยในช่วงหลายสิบปีก่อน ในวัยเยาว์เขาใช้ชีวิตหรูหรา ฟุ่มเฟือย และเละเทะตามประสาลูกคนรวย เขาจบการศึกษาปริญญาโทจากประเทศอังกฤษเกี่ยวกับด้านการสอน และมีโอกาสไปเรียนที่ฝรั่งเศส แต่ไม่จบดีกรีใด จากนั้นกิจการของครอบครัวก็มีอันล่มสลายเมื่อเขาเข้าสู่วัยกลางคน เขาหางานทำได้ยากลำบาก ทำธุรกิจของตัวเองก็ล้มละลายหลายครั้ง เขามีลูกสาวที่เรียนสูงและคอยส่งเสียเงินให้เขาในช่วงบั้นปลายชีวิต เขาเพิ่งจะเริ่มหันมาสนใจการเมืองหลังอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ถูกยึดอำนาจจากคณะรัฐประหารในปี 2549 และด้วยความอึดอัดจึงผันตัวเป็นดีเจจัดรายการทอล์กการเมืองเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต เขาบอกว่าเขาชอบทักษิณมากในแง่ที่มีวิธีคิดนักบริหารที่เก่งกาจ และกล้าเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะระบบราชการ หลังจากนั้นเขาหันมาสนใจการเมืองโดยศึกษาด้วยตัวเอง เขาอ้างว่าค้นหาและอ่านเอกสารประวัติศาสตร์ชั้นต้นมากมายจากต่างประเทศเนื่องจากเขาสามารถอ่านได้ทั้งภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส
ตัวบรรพตเองยืนยันว่าเขาไม่รู้จักกับบรรดาแฟนคลับอย่างจริงจังเลย อย่างมากก็เพียงคุยหลังไมค์กับบางคน มากที่สุดคือบางคนมีการโทรศัพท์มาปรึกษาปัญหาครอบครัว การร่วมกลุ่มในเฟซบุ๊กดูจะเป็นไปเองตามธรรมชาติ ขณะที่ พล.ต.ต.ศิริพงษ์ ติมุลา ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) ระบุว่า เครือข่ายหมิ่นสถาบันนี้เป็นองค์กรอาชญากรรมที่เป็นภัยความมั่นคง แบ่งสายงานเป็น 3 ระดับ คือ ระดับนำหรือผู้บงการเป็นผู้ผลิตแนวความคิดในรูปแบบของสื่อซีดี คลิปเสียง และบทความ, ระดับปฏิบัติงาน ช่วยกันเผยแพร่แนวความคิดตามเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น เฟซบุ๊ก ยูทูบ และบล็อก, ระดับแนวร่วม มีหน้าที่สนับสนุนทางด้านการเงิน และประชาชนทั่วไปที่เรียกว่าเป็นแฟนรายการ
ส่วนเรื่องการเงิน บรรพตยังคงเป็นผู้มีหนี้สินและยังชีพจากเงินที่ลูกๆ ให้ เงินที่ได้จากการขายสินค้าเข้ามาเป็นระยะแต่เขาว่าไม่มากนัก มากที่สุดคือการขายเสื้อที่สกรีนข้อความ “ความจริงเข้าใจง่ายเมื่อค้นพบ” ซึ่งก็ต้องแบ่งผู้ขายหลายคน ขณะที่เงินบริจาค เขาระบุว่าเฉลี่ยแล้วประมาณเดือนละ 20,000-30,000 บาท ซึ่งมีผู้บริจาคตั้งแต่หลักพัน ส่วนใหญ่หลักร้อย ไปจนถึง 75 บาทก็มี
หากเราแยกเครือข่ายนี้ (ยกเว้นตัวบรรพต) ออกตามการจับกุมจะพบว่าเจ้าหน้าที่แบ่งการจับกุมเป็นหลายล็อต แต่ละล็อตผู้ต้องขังจะถูกนำตัวเข้าค่ายทหารโดยไม่มีญาติและทนาย ก่อนจะถึงมือตำรวจเพื่อนำไปฝากขังที่ศาลทหารและเดินทางสู่เรือนจำในท้ายที่สุด หลายรายไม่มีเงินประกันตัว ในขณะที่บางรายที่มีฐานะก็ยังไม่มีใครประกันตัวได้สำเร็จ
สูตรก็คือ 2+2+4+3+4+1
ล็อตแรก คือ อัญชัน, ธารา
ล็อตที่สอง คือ สายฝน, นที
ล็อตที่สาม คือ ดำรงค์, ไพสิฐ, เงินคูณ, ศิวาพร
ล็อตที่สี่ คือ ทิพย์รชยา, นงนุช, กรณ์รัฏฐ์
ล็อตที่ห้า คือ เฉลียว, พงษ์ศักดิ์, ราชกวี, ใหญ่ แดงเดือด
ล็อตล่าสุด คือ วิทยา
หากลองไล่เรียงทีละส่วน ข้อมูลเบื้องต้นพบว่า อัญชัน คือข้าราชการซี 8 ในกรมศุลกากร เพื่อนของเธอบอกว่าเธอทำงานที่นี่มา 34 ปีและจะเกษียณอายุราชการในปีหน้า อย่างไรก็ตาม จากการโดนคดีนี้ทำให้เธอถูกตัดบำเหน็จบำนาญไป อัญชัญถูกกล่าวหาเป็นผู้จัดการด้านการเงินให้กับเครือข่าย โดยเปิดบัญชีสำหรับให้สมาชิกโอนเงินเมื่อซื้อสินค้าต่างๆ ของกลุ่ม เธอยังถูกล่าวหาว่าแชร์ลิงก์ยูทูบรายการของบรรพตด้วย ขณะที่ธาราอายุ 57 ปี มีอาชีพเป็นแพทย์แผนโบราณ เขาถูกกล่าวหาว่าตั้งเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในไทยเป็นภาษาอังกฤษ แต่มุมเล็กๆ ด้านบนของเว็บมีการวางลิงก์รายการบรรพตตอนล่าสุด เขาถูกล่อซื้อให้นำสินค้าสุขภาพมาส่งให้ที่อนุเสาวรีย์ชัย แล้วจึงถูกจับกุม
ล็อตที่สอง สายฝน เป็นภรรยาของบรรพต บรรพตระบุว่าการจับกุมภรรยาของเขาทำให้เขาตัดสินใจเปิดเผยที่ตั้งที่หลบซ่อน ภรรยาของบรรพตเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งหนึ่ง อยู่กับบรรพตมากว่า10 ปี เธอถูกกล่าวหาว่าสนับสนุนการกระทำของเขาโดยการให้ใช้บัญชีและเอทีเอ็มในการรับโอนเงินซื้อสินค้าหรือบริจาค ส่วนนทีนั้นอายุ 48 ปีมีอาชีพขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างในซอยหมู่บ้านของบรรพต เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ที่ขี่มอเตอร์ไซค์คอยรับซีดีหรือเสื้อของกลุ่มไปส่งให้สมาชิกหลักที่ทำนหน้าที่ขายของ
ล็อตที่สาม ไพสิฐ อายุ 46 ปี มีอาชีพเปิดร้านขายสี เขาเสียตาข้างหนึ่งจากต้อหิน และมีแนวโน้มที่จะเสียอีกข้างหนึ่ง การถูกคุมขังในเรือนจำทำให้เขาได้รับยาหยอดตาล่าช้าและส่งผลต่อการมองเห็นของตาข้างที่เหลือพอสมควร นอกจากนี้เขายังป่วยหนักระหว่างคุมขัง เป็นโรคติดเชื้อหรือที่เรียกกันว่า ไฟลามทุ่ง จนต้องส่งตัวไปรักษาที่ รพ.ราชทัณฑ์ด้วย ไพสิฐถูกกล่าวหาว่าตัวการสำคัญของเครือข่าย เป็นผู้นำเสียงของบรรพตไปอัพโหลดไว้ในเว็บไซต์ mediafire และเผยแพร่ให้คนได้ดาวน์โหลด ส่วนเงินคูณ อายุ 43 ปี ทำธุรกิจขายสแตนเลส และยังมีอาชีพหมอดู ในขณะที่คนอื่นๆ ยังพอมีญาติมิตร พี่น้องคอยช่วยกันดูแล แต่กรณีของเงินคูณ ภรรยาของเขาต้องดูแลลูกเล็กเพียงลำพัง และทำให้เธอกังวลใจต่อความปลอดภัยของตนเองอย่างยิ่ง ทั้งคู่มีความตื่นตัวทางการเมืองสูงและร่วมกิจกรรมทางการเมืองอื่นๆ ที่ไม่ใช่การชุมนุมมาตั้งแต่ปี 2554 เงินคูณถูกล่าวหาว่าทำหน้าที่ขายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและเครื่องสำอางค์เพื่อหาเงินทุนสนับสนุนการเคลื่อนไหวของเครือข่าย สุดท้ายคือ ศิวาพรเป็นอาชีพแม่บ้านแต่ค่อนข้างมีฐานะ ถูกกล่าวหาว่าเป็นแอดมินเพจหนึ่งที่เผยแพร่คลิปบรรพต และใช้เฟซบุ๊กส่วนตัวเผยแพร่ข้อความ-ภาพที่เข้าข่ายความผิด เธอยังถูกกล่าวหาว่าติดต่อสัมพันธ์กับพงษ์ศักดิ์ซึ่งได้ถูกจับกุมแล้วก่อนหน้านี้ด้วย ส่วนดำรง อายุ 65 ปี ถูกกล่าวหาว่าเป็นแอดมินเพจที่ใช้เผยแพร่ข้อมูลคลิปรายการของบรรพต
ล็อตที่สี่ สำหรับทิยพ์รชยาและนงนุชนั้น ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า ทั้งคู่อยู่ในกลุ่มเฟซบุ๊กที่ชื่อว่า “ความจริงเข้าใจง่าย เมื่อค้นพบ” ซึ่งเป็นกลุ่มเปิด มีสมาชิกราว 2,000 คน สมาชิกในกลุ่มนี้มักขายเสื้อ และมีบางครั้งที่บางคนจะนัดกินข้าวร้องคาราโอเกะร่วมกัน โดยทิพย์รชญานั้นอายุ 44 ปี จบปริญญาโทและทำงานด้านบัญชี เธอใช้ชื่อนามสกุลจริงในการเล่นเฟซบุ๊กและอยู่ในกลุ่มดังกล่าว เพราะเข้าใจว่าการฟังคลิปบรรพตไม่ใช่เรื่องผิด นอกจากนี้ยังเห็นว่าบรรพตพูดเรื่องสมุนไพรซึ่งเธอสนใจ ส่วนนงนุชอายุ 47 ปี มีอาชีพขายเสื้อผ้าในห้างสรรพสินค้า
ทั้งคู่โดนจับ 18 ก.พ. ในเวลาไล่เลี่ยกัน ถูกนำตัวไปค้นบ้านและยึดคอมพิวเตอร์ จากนั้นถูกนำตัวไปสอบที่ มณฑลทหารบกที่ 11 เมื่อไปถึงทิพย์รชญาถูกปิดตา คลุมหัว ระหว่างถูกสอบสวน ได้เปิดตาอีกครั้งก็เมื่ออยู่ในห้องที่มีลูกกรงตรงหน้าต่าง ส่วนนงนุชก็ถูกปิดตาเหมือนกันแต่ได้พักอยู่ห้องปกติ พวกเธออยู่ที่ค่ายทหารกันราว 2 คืน ทิพย์รชญาถูกข่มขู่ว่าเป็นภัยความมั่นคง ทหารพยายามระบุว่าเธอเป็นแฟนกับคนที่ชื่อเหน่งซึ่งมีชื่ออยู่ในผังเครือข่ายบรรพตแต่หลบหนีไปแล้ว แต่เธอยืนยันว่าไม่รู้จัก “ถ้ามีคนอย่างคุณสัก 20 คน ประเทศล่มจมแน่” ประโยคที่เจ้าหน้าที่กล่าวกับเธอ สำหรับนงนุชทนายระบุว่าในช่วงแรกของการถูกคุมขัง สภาพจิตใจเธอไม่ดีนัก เวลาเล่าเรื่องจะร้องไห้เป็นระยะ แม้เธอยืนยันว่าไม่มีการทำร้ายร่างกาย แต่คำพูดต่างๆ ของเจ้าหน้าที่ก็ทำให้เธอกลัวมาก
ล็อตสุดท้าย อาจเรียกได้ว่า เป็นกลุ่มที่ถูกจับก่อนหน้า “เครือข่ายบรรพต” นานพอสมควร โดยทนายความจากศูนย์ทนายระบุว่า 4 คนนี้ถูกเจ้าหน้าที่นับรวมอยู่ใน “ผังเครือข่ายบรรพต” ด้วย
กรณีของเฉลียวนั้นถูกเรียกให้รายงานตัวกับ คสช.ในคำสั่งฉบับที่ 44/2557 พร้อมๆ กับนักกิจกรรมหลายคน เขาน่าจะอายุราวๆ 60 ปี มีอาชีพเป็นช่างตัดกางเกง เมื่อเขาไปรายงานตัวกับคสช.เขาถูกคุมตัวอยู่ 7 วัน ถูกสอบสวนโดยเครื่องจับเท็จหลายครั้งว่าใช่ “บรรพต” หรือไม่ เนื่องจากเขาอัพโหลดคลิปรายการบรรพตจำนวนมากลงในเว็บไซต์ 4share ท้ายที่สุดเขาถูกแจ้งข้อกล่าวหา 112 และถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดีหลายเดือน จนกระทั่งวันที่ 29 ส.ค.57 ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 3 ปี จำเลยรับสารภาพลดโทษลงกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปี เขาได้รับอิสรภาพในที่สุด ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์
ส่วนราชกวีนั้น ไม่ปรากฏข้อมูลของเขามากนัก ทราบเพียงว่าถูกจับกุมและคุมขังในเรือนจำจนครบ 7 ผลัด
สุดท้ายถูกปล่อยตัวไปโดยไม่ฟ้องคดี อีก 2 คน คือ พงษ์ศักดิ์ และ ใหญ่ แดงเดือด (ชื่อในเฟซบุ๊ก) ทั้งคู่ถูกคุมขังในเรือนจำจนปัจจุบัน โดยพงษ์ศักดิ์ อายุ 40 กว่าปี มีอาชีพเป็นไกด์ เคยใช้ชีวิตทำธุรกิจอยู่ต่างประเทศพักหนึ่ง เขาระบุว่าเขาเคยเป็น “สลิ่มตัวแม่” และเริ่มหันมาสนใจการเมืองจริงจังหลังเหตุการณ์ปี 2553 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก จากนั้นก็ศึกษาเรื่องการเมืองเองจากอินเทอร์เน็ต จนกระทั่งกลับเมืองไทยก็ยังคงวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมืองผ่านโซเชียลมีเดีย เขาใช้ชื่อในเฟซบุ๊กว่า Sam Parr นั้นถูกตำรวจนำตัวมาแถลงข่าวเมื่อวันที่ 7 ม.ค. เขาถูกแจ้งข้อกล่าวหาทั้งฝ่าฝืนคำสั่ง ไม่มารายงานตัว กับ มาตรา 112 จากการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ทั้งสองคดีกำลังดำเนินการพิจารณาอยู่ในศาลทหาร
ส่วนใหญ่ แดงเดือด นั้น อายุ 58 ปี เขาถูกแจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 จากการโพสต์เฟซบุ๊ก ข้อมูลจากไอลอว์ระบุว่า เขาจบการศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว ไม่เคยมีประวัติการกระทำความผิด เคยเข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองของกลุ่ม นปช.ที่ถนนอักษะ เมื่อ ปี 2556 ในฐานะผู้สังเกตการณ์ โดยปกติรับข่าวสารจากหนังสือพิมพ์และทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาระบุว่า เมื่อระหว่างเดือนมิถุนายน 2557 เป็นต้นมา เขาโพสต์ข้อความวิพากษ์วิจารณ์การเมือง และโจมตีการทำงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) รวมทั้งการทำงานของคณะรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีเรื่อยมา โดยมีการทำกราฟฟิคภาพพร้อมข้อความที่มีเนื้อหาเสียดสีการทำงานของรัฐบาล และพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ปัจจุบัน เขาถูกฝากขังจนครบ 7 ผลัดเมื่อไม่นานมานี้และอัยการทหารยื่นฟ้องต่อศาลทหารแล้ว
กรณีท้ายสุดคือ วิทยา เขาเพิ่งถูกจับกุมจากหอพักในจังหวัดลำพูดเมื่อ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา เขาจบการศึกษาชั้น ม.6 เป็นลูกจ้างของสถานีขนส่ง วิทยาให้ข้อมูลว่าตัวเองอยู่คนเดียว ไม่มีครอบครัว บุตร ภรรยา พ่อแม่เสียชีวิตแล้ว หลังการจับกุมเขาถูกนำไปที่ศาลากลางจังหวัดลำพูน ย้ายไปที่ค่ายกาวีละ จ.เชียงใหม่ แล้วจึงนำส่งมาที่ ร.พัน1 มทบ.3 จนกระทั่งถูกนำตัวมาขอฝากขังที่ศาลทหารเมื่อ 21 มี.ค.
เขาถูกกล่าวหาจากเจ้าหน้าที่ทหารว่าเป็นผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า Vladislave Vince เขาให้พาสเวิร์ดทั้งอีเมล์และเฟซบุ๊กกับเจ้าหน้าที่ ในวันที่ถูกจับกุมเขาจึงได้ทราบจากเจ้าหน้าที่ว่า หลังบรรพตถูกจับกุม เจ้าหน้าที่ได้เข้าใช้บัญชีเฟซบุ๊กของบรรพตเพื่อขอเบอร์มือถือจากเขา และติดตามหาตำแหน่งเขาจากเบอร์โทร
วิทยาแชร์บทความ ‘เช้าแล้วกรุงเทพ’ ทุกวัน มาตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ เขาบอกว่าเฟซบุ๊กเก่าของเขาโดนรีพอร์ท จึงเปิดเฟซบุ๊กใหม่ในแอคเคาต์นี้ เขาระบุว่าเขาแชร์คลิปบรรพตเพียง 3-4 ครั้งเท่านนั้นและจำกัดเห็นได้เฉพาะเพื่อนเท่านั้น เขาบอกด้วยว่าที่ผ่านมาไม่เคยยุ่งหรือข้องเกี่ยวกับกลุ่มเสื้อแดง กลุ่ม นปช. ไม่เคยเข้าร่วมการชุมนุมมาก่อน เหตุที่แชร์เพราะได้ฟังบบรพตมาระยะหนึ่ง “ฟังแล้วสนุกดีชอบ ก็เลยติดตาม”
ทั้งหมดนี้คือข้อมูลเบื้องต้นของโฉมหน้าเครือข่ายอาชญากรรมสะท้านรัฐ ติดตามการดำเนินคดีในศาลทหารได้ในภาคต่อไป เร็วๆ นี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น