Mon, 2015-05-18 01:02
หากกล่าวถึงเหตุการณ์ พฤษภา 2535 บุคคลหนึ่งที่เป็นที่นึกถึงคือ เรืออากาศตรี ฉลาด วรฉัตร ผู้เริ่มต้นการประท้วงอดอาหารเรียกร้องให้ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ลาออก ตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย.35 ที่บริเวณหน้ารัฐสภา
เนื่องในวันที่ 17 พ.ค.57 นี้ เป็นวันครบรอบ 23 ปี เหตุการณ์พฤษภาคม 2535 ประชาไทจึงได้มีโอกาสสัมภาษณ์ ฉลาด ถึงเจตนารมณ์พฤษา 35 พร้อมทั้งสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน โดยเฉพาะประเด็นข้อเสนอลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ
เจตนารมณ์พฤษา 35 นายกต้องมาจากการเลือกตั้ง
ฉลาด เล่าว่าเหตุการณ์ พฤษภา 2535 นั้น เริ่มจากการยึดอำนาจของทหาร จากนั้น พล.อ.สุจินดา ก็เป็นนายกฯ เอง โดยไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ตนจึงปิดบริษัทออกไปอดอาหารเพื่อประท้วง โดยวันที่ 8 เม.ย.35 ตนมาที่หน้ารัฐสภา และไม่มีใครให้ความสนใจ แม้แต่นักข่าวก็ไม่สนใจการอดอาหารประท้วงครั้งนั้น
“มันต่อเนื่อง เราพยายามกดดันเพื่อที่จะให้นายกฯ มาจากรัฐสภา มาจากการเลือกตั้ง” ฉลาด กล่าวถึงเจตนารมณ์ในครั้งนั้น
ไม่ใช่วิธีการอดอาหารแล้ว
ทุกอย่างเป็นประวัติศาสร์และเป็นบทเรียน การที่เรามีนายกฯมาจากการเลือกตั้งเป็นแค่บทเรียน เพราะว่าถ้าตอนนั้นนักการเมือง พรรคการเมืองเอาด้วยกับตนก็เป็นประชาธิปไตยมานานแล้ว เขายอมทหารทุกอย่าง เพราะฉะนั้นเราก็หมดปัญญา
ฉลาด ยืนยันด้วยว่าการต่อสู้ต่อไปข้างหน้านี้ตนนั้นยังไม่หยุด แต่จะไม่ใช่วิธีการอดอาหารแล้ว โดยจะให้ภูมิปัญญาสู้กันในรูปแบบเนื้อหาสาระของรัฐธรรมนูญ
“คราวนี้บอกได้เลยวิธีการอดอาหารสิ้นสุดแล้ว ยุคนี้การอดอาหารทำได้เฉพาะเรื่องๆ มีเหตุและผล แต่จะเรียกร้องรัฐธรรมนูญ เราจะต้องทำรัฐธรรมนูญมาเปรียบเทียบให้เห็นระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตย ประชาชนจะรับสิทธิประโยชน์อย่างไร” ฉลาด กล่าว
ชี้เสนอให้ประชามติรับรธน.เท่ากับยัดเยียดให้ ปชช.ร่วมทำผิด กม.ด้วย
ต่อกรณีที่นักวิชาการหรือนักเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญนั้น ฉลาด มองว่า “เข้าแผนเขาพอดี ถ้าหากไปลงประชามติถ้าไม่ผ่านเขาก็มาร่างใหม่ เขาก็ยืดอายุเขาไปได้ต่ออีก 2 ปี 3 ปี อะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าผ่านเขาก็ประกาศใช้เลย ประกาศใช้ปั๊บ เขาก็ใช้ตามเงื่อนไขของเขา ประยุทธ์ ก็มีสิทธิเป็นนายก”
“ที่จริงแล้วจะไปอ้างรัฐธรรมนูญเขา เขาทำผิดกฏหมาย คุณจะไปลงประชามติก็เท่ากับไปยัดเยียดให้ประชาชนเขาทำความผิดกฏหมายไปด้วย” ฉลาด กล่าว
เสนอประชาชนร่วมร่างกันเอง
ฉลาด กล่าวต่อว่า การที่ผมจะร่างรัฐธรรมนูญที่จะเอาไปเคลื่อนไหวนี้ ถ้าผมมีคนเข้ามาร่วมกันร่างผ่านเว็บไซต์ประมาณสัก 30 ล้านคน เราก็ยึดอำนาจคืนมาให้ประชาชนได้ แล้วทุกอย่างเดินหน้า โดยจะเปิดให้มีการร่วมร่างผ่านทางเว็บไซต์
รัฐธรรมนูญ คือเสาหลักของประชาธิปไตย
ฉลาด กล่าวด้วยว่า ควรยกย่องให้คณะราษฏรเป็นเสาหลักของประชาธิปไตย คือรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีฉบับเดียวในประเทศไทย คือรัฐธรรมนูญ 10 ธ.ค.2475 แก้ไขเพิ่มเติมเมื่อ พ.ศ.2489 แล้วก็ดองไว้เฉยๆ ทุกปีเป็นวันรัฐธรรมนูญ
สิ่งที่เราทำอยู่นั้นเป็นรัฐธรรมนูญเถื่อนทุกฉบับ แม้แต่ปี 40 ก็ยังเป็นรัฐธรรมนูญที่แก้ไขมาจากของสุจินดา ปี 34 ถ้าเรายึดหลักของกฏหมาย รัฐธรรมนูญปี 40 ก็ยังเป็นรัฐธรรมนูญซ้อนรัฐธรรมนูญ จึงได้บอกว่าการเรียกร้องของตนที่นำมาสู่การร่างรัฐธรรมนูญปี 40 นั้นไม่ใช่สิ่งที่ประสบความสำเร็จ แต่ถ้าหากเอารัฐธรรมนูญ 10 ธ.ค.2475 แก้ไขเพิ่มเติมปี 2489 มาใช้ แล้วก็แก้ไขเพิ่มเติมให้มันเป็นหลักประชาธิปไตยสากลโดยสมบูรณ์แบบที่สุดเท่านั้นเอง
เขามี ม.44 ผมก็มี ม.112 ม.113 ม.114
ต่อกรณียื่นฟ้องศาลต่อคณะ คสช. ในข้อหากบฎ นั้น ฉลาด กล่าวว่า คนใดที่มีการยึดอำนาจตนก็ต้องไปฟ้อง โดยทำตามกฏหมาย ม.112-114 โดยฟ้องตามความรู้ของตน เพราะต้องรู้กฏหมายดังนั้นการไปฟ้องก็เพื่อให้ตนพ้นผิด และเพื่อทำให้คณะรัฐประหารสำนึกว่าการทำในลักษณะดังกล่าวนั้นผิดกฏหมาย แต่เมื่อครั้งที่ตนไปฟ้องตอนรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 นั้น ได้ฟ้องไปตั้งแต่ศาลชั้นต้นจนกระทั่งศาลฎีกา มีความผิดจริงแต่เขาขอนิรโทษกรรมแล้ว แต่ครั้งท่านประยุทธ์นี้ ตนไปก็ไปฟ้อง แต่ศาลระบุว่าตนไม่ใช่ผู้เสียหายทั้งที่ศาลเดียวกัน
อย่างไรก็ตามตนได้ไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และมีการส่งเรื่องมาที่กองปราบฯ โดยกองปรามฯ มีการเรียกตนมาสอบสวน แต่ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าว่ามีการเรียกนายกฯมาสอบสวนด้วยหรือไม่ จริงๆแล้วมองว่าตำรวจไม่กล้าเนื่องจากกลัวทหาร
“ผมจะสู้ในแนวทางของกฏหมายและไม่หวั่นวิตกจะเอาผมไปเข้าคุกเข้าตะราง จะขึ้นศาลตัดสินประหารชีวิตผมก็ไม่ว่า แต่ผมก็ต้องกล่าวหาเขาเหมือนกัน เขามี ม.44 ผมก็มี ม.112 ม.113 ม.114” ฉลาด กล่าว
พรรคการเมืองเป็นเรื่องสำคัญหัวใจของประชาธิปไตย
“พรรคการเมืองเป็นเรื่องสำคัญหัวใจของประชาธิปไตย ตอนนี้ที่เขายิ่งใหญ่และเขาสามารถทำอะไรก็ได้ เพราะเหตุว่าเขามีพรรคราชการ แต่ว่าเป็นอันตรายต่อตัวเขาด้วย ถ้ายื้อการยึดอำนาจนี้ต่อไปโดยไม่ชอบธรรม ประเทศไทยต้องเกิดความรุนแรงในอนาคตแน่นอน” ฉลาด กล่าว
“ถ้าประเทศใดที่พ้นจากเงื่อนไขของทหาร ประชาชนสามารถคุมข้าราชการประจำได้เมื่อไหร่ ประเทศนั้นจะเดินหน้าเจริญเติบโตได้เร็วกว่าทุกประเทศ อย่างญี่ปุ่น แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 มา เขาหมดทุกสิ่งทุกอย่างเลย เดี๋ยวนี้ประเทศเขาเป็นประเทศที่เจริญที่สุด ระบบเศรษฐกิจอยู่อันดับ 2 อันดับ 3 เพราะเขาสร้างประชาธิปไตยจริงจัง” ฉลาด กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น