วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558

แม่ของสามัญชน: คุยกับแม่ ‘กอล์ฟ เจ้าสาวหมาป่า’ ในวันที่ลูกไร้อิสรภาพ


เข้าสู่เดือนสิงหาคม กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับวันแม่ กำลังจะเริ่มขึ้น เช่น กิจกรรม Bike for mom ปั่นเพื่อแม่ จัดโดยภาครัฐ บางคนเลือกที่จะเดินทางกลับภูมิลำเนาของตัวเอง เพื่ออยู่กับครอบครัว และกลับไปกราบแม่ เพื่อเป็นการระลึกถึงพระคุณของแม่ผู้ให้กำเนิด
แต่วันแม่ในปีนี้อาจจะต่างจากปีก่อนๆสำหรับครอบครัวนี้ ภาพที่ประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ลูกสาวอีก 2 คน กลับไม่เป็นเช่นเคย เพราะแม่ของ ‘กอล์ฟ เจ้าสาวหมาป่า’ ต้องอยู่เพียงลำพังที่บ้านในจังหวัดพิษณุโลก ‘พ่อ’ ซึ่งเป็นผู้นำครอบครัวถูกดำเนินคดีข้อหาเกี่ยวกับการนำไม้มาใช้ประโยชน์ ‘กิฟต์’ ลูกสาวคนเล็กของครอบครัวนี้กำลังลี้ภัยอยู่ต่างแดน และตัวของ ‘กอล์ฟ’ ที่เป็นลูกสาวคนโตของตระกูล ถูกคุมขังอยู่ในทัณฑสถานหญิงกลาง
‘กอล์ฟ’ หรือ ภรณ์ทิพย์ มั่นคง เป็นผู้ต้องขังตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากการแสดงละคร ‘เจ้าสาวหมาป่า’ ในงานรำลึก 40 ปี 14 ตุลาคม 2516 เธอถูกจับกุมเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2557 และในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2558 ศาลพิพากษาให้จำคุกเธอและเพื่อนนักแสดงอีกคนหนึ่ง 'แบงก์ ปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม' 5 ปี แต่เนื่องจากรับสารภาพ คงเหลือโทษจำคุก 2 ปี 6 เดือน
เราสัมภาษณ์แม่ของกอล์ฟที่จังหวัดพิษณุโลก หลังลูกของเธอถูกจับกุมและดำเนินคดีครบ 1 ปี ในเดือนสิงหาคม 2558

สภาพความเป็นอยู่ปัจจุบัน

แม่เริ่มต้นเล่าให้ฟังถึงสภาพความเป็นอยู่ว่า ตอนนี้เธอยึดอาชีพปลูกมันสำปะหลัง เดิมเธอมีที่ดินที่ใช้เพาะปลูก 30 ไร่ตรงเนินเขาไกลออกไปจากตัวบ้าน รวมถึงที่ดินรอบบ้านอีกประมาณ 10 ไร่ แต่ช่วงเดือนธันวาคมปีที่แล้วมีคำสั่งของหน่วยงานภาครัฐให้ออกจากพื้นที่ตรงเนินเขา เนื่องจากไม่มีเอกสารสิทธิถูกต้อง ตอนนี้เธอจึงปลูกมันสำปะหลังเพียงแค่พื้นที่รอบๆ บ้านเท่านั้น แต่มันที่ปลูกก็ไม่ค่อยเจริญเติบโต เนื่องจากสภาวะน้ำแล้งในช่วงที่ผ่านมา ลงต้นมันไป 2-3 ครั้งแล้วก็ยังไม่โต ตอนนี้เธอจึงมีความกังวลว่าจะเอารายได้จากไหนมาใช้จ่ายส่วนตัว เพราะไร่มันสร้างรายได้เป็นรายปี
ตอนนี้อยู่บ้านคนเดียว เป็นอย่างไรบ้าง ?
“เหงานะ แต่ก็ต้องยอมรับสภาพ ช่วงที่อยู่คนเดียวใหม่ๆ ก็บอกไม่ถูก แต่ก็ต้องทำใจนะ พยายามคิดว่าต้องอยู่ให้ได้ มีแม่แก่ เพื่อนบ้านมาอยู่เป็นเพื่อนและคอยถามเราว่าอยู่ได้ไหม พอไปเยี่ยมกอล์ฟที่กรุงเทพสักสองสามวันแล้วกลับมา ญาติโทรมาบอกว่าจะรับเราไปอยู่ด้วย แต่เราก็ห่วงบ้าน แม่แก่ที่เป็นเพื่อนบ้านก็ถามว่าเราอยู่ได้ไหม จะมานอนเป็นเพื่อน แม่ก็บอกเขาไปว่าไม่เป็นไร ถ้าวันนี้ฉันอยู่ไม่ได้ ต่อไปฉันจะอยู่ยังไง ช่วงแรกๆ เขาจะโทรมาถามแม่ว่านอนหลับไหม แกน่าจะเป็นห่วง เราก็ต้องอยู่ให้ได้วันนี้ ทุกวันนี้ก็ดีขึ้นกว่าตอนแรกแล้ว อยู่กับแมว หมาที่เลี้ยงไว้”

เหตุการณ์ก่อนกอล์ฟจะถูกจับกุม

แม่เล่าถึงเหตุการณ์ก่อนที่ลูกสาวจะถูกจับกุมตัวว่า ช่วงรัฐประหาร กอล์ฟไม่ได้เคลื่อนไหวทางการเมือง แต่กลับมาอยู่บ้านและเรียนภาษาเพื่อเตรียมไปเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลียหลังจากสอบชิงทุนได้ เหลือเพียงแค่จัดการเอกสารอีกเล็กน้อยและเตรียมตัวเดินทางไปเท่านั้น ตอนนั้นกอล์ฟบอกกับแม่ว่าจะไม่อยู่ไทยแล้วเพราะอยากไปใช้ชีวิตและทำงานที่แดนจิงโจ้
“จริงๆ กอล์ฟรู้นะว่ามีปัญหาเรื่องละครที่แสดง แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีตำรวจหรือใครมาที่บ้าน เขาอาจจะมีหมาย แต่ไม่มาถึงบ้าน” แม่กอล์ฟกล่าว 
จนกระทั่งวันที่ 15 สิงหาคม 2557 แม่ติดต่อกอล์ฟไม่ได้ เช้ารุ่งขึ้นแม่ติดต่อกลับไปอีกครั้ง แต่เจอกับแฟนของกอล์ฟ แฟนของกอล์ฟยังคงไม่บอกความจริง เพียงแต่บอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ช่วงค่ำแม่โทรไปถามอีกหนแต่เขายังคงไม่พูดอะไร จนเธอมารู้ข่าวว่าลูกถูกจับกุมจากคนในหมู่บ้านซึ่งเห็นข่าวปรากฏในสื่อมวลชน
“ทีนี้เราอยากจะไปหากอล์ฟ แต่แฟนกอล์ฟก็บอกว่าไม่ให้ไป เพราะตัวกอล์ฟสั่งเอาไว้แบบนั้น แม่ก็อยากไปหาลูก จนแม่ไปเยี่ยมกอล์ฟวันที่ 18 สิงหา กอล์ฟก็ขอโทษแม่แล้วก็ร้องไห้ เขาเป็นคนที่ดูเหมือนเข้มแข็ง แต่จริงๆ เป็นคนที่อ่อนไหว เป็นคนขี้แย” แม่เล่า
หลังจากลูกถูกจับแล้ว แม่ได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง ?
“มีทหารตำรวจเข้ามาที่บ้านหลังจากที่กอล์ฟโดนจับไป แต่ยังไม่ตัดสินคดี ช่วงนั้นจะมาบ่อยมาก มาเกือบทุกวัน บางทีก็ขับเลาะรั้วบ้านเฉยๆ เวลาแม่อยู่บ้านจะปิดประตูบ้านไว้ แต่จริงๆ ตัวอยู่บ้านนั่นแหละ นั่งอยู่หลังบ้าน หน้าบ้านจะไม่เปิดประตูไว้เลย บางทีเขาก็เข้ามาในบ้าน ถ้าไม่เข้ามาในบ้านก็จะไปถามข้อมูลกับชาวบ้านแถวๆ นี้ มีคนเล่าให้ฟังว่า มีคนมาถามว่า แม่เอากิฟต์ (น้องสาวของกอล์ฟ) มาซ่อนไว้ที่บ้านไหม เราก็สงสัยว่าใครมันจะมาคนซ่อนตัวอยู่ในบ้านอุดอู้ได้ทั้งวี่ทั้งวัน”
“เขากลัวว่าลูกเรามาซ่อนอยู่บ้าน แต่เราไม่รู้หรอกว่าเขาอยู่ไหน รู้แค่ว่าตอนนี้ลูกเราปลอดภัย” เธอกล่าวถึงลูกสาวคนเล็ก
แม้ว่ากอล์ฟจะถูกจับและคุมขังไปแล้ว แต่หน่วยงานความมั่นคงยังคงมาเยือนบ้านเธออยู่บ่อยครั้งก่อนที่จะมีคำพิพากษา
“ตอนหลังเจ้าหน้าที่ทหารเขาโทรมาบอกว่าได้ไปคุยกับกอล์ฟแล้ว พอแม่ไปเยี่ยมกอล์ฟแม่ก็เล่าให้เขาฟัง กอล์ฟบอกว่าถ้าเขายังโทรมาหาแม่อีกให้แม่บอกไปเลยว่า ที่ตกลงกันไว้ กอล์ฟตอบตกลง เราก็ไม่รู้นะว่าเขาตกลงอะไรกันไว้ หลังจากวันนั้นเจ้าหน้าที่ความมั่นคงก็ยังโทรมาถามไถ่ถึงกอล์ฟว่าเป็นอย่างไรอยู่บ้าง แม่ก็บอกว่ากอล์ฟฝากขอบคุณและรับข้อตกลงไว้แล้ว แต่หลังจากที่ตัดสินคดีเรียบร้อย เขาก็ไม่ติดต่อมาอีกเลย”
ได้ไปเยี่ยมกอล์ฟบ้างไหม ?
“ไป แต่ไปไม่บ่อย ประมาณ 3 เดือนครั้ง ล่าสุดคือกำลังจะยื่นเรื่องพักโทษ เพราะนี่เป็นโทษครั้งแรกของเขา ตอนนี้กอล์ฟได้ลดโทษไป 4 เดือน เหลือ 2 ปี 2 เดือน อาจจะได้ออกประมาณเดือนตุลา ปี 59 ถ้าได้ทำเรื่องพักโทษก็อาจจะได้ออกก่อนนั้นอีก”
“วันนั้นคนรู้จักกันโทรมาบอกว่ามีคนทำเรื่องขอพระราชทานภัยโทษให้กอล์ฟ น่าจะเป็นผู้ใหญ่นะ แม่ก็เลยถามว่าทำไมไม่ทำเรื่องพักโทษล่ะ เพราะขอพระราชทานอภัยโทษก็ไม่รู้ว่าจะได้รึเปล่า แต่ดูเหมือนว่าการขอพักโทษอาจต้องให้กอล์ฟรับโทษไปครึ่งหนึ่งก่อนแล้วค่อยทำเรื่อง”              
ตอนนี้ใครไปเยี่ยมกอล์ฟเป็นประจำ ?
“ทุกวันนี้แฟนกอล์ฟยังไปเยี่ยมกอล์ฟอยู่สม่ำเสมอ วันก่อนก็เพิ่งบอกแม่ว่าไปเยี่ยมกอล์ฟมา แฟนกอล์ฟเป็นคนที่ใจเย็นมาก อย่างวันนั้นแม่ไปเยี่ยมกอล์ฟก่อนขึ้นศาล กอล์ฟคุยกับแฟนไม่ดี บอกว่าไม่ให้เสียเวลาอยู่กับกอล์ฟ แต่แฟนลูกก็บอกว่าไม่เป็นไร เขายอมเสียเวลากับลูกเราได้ เราเลยบอกให้ลูกใจเย็นๆ อย่าใจร้อน”

ในวันที่ครอบครัวพร้อมหน้า

แม่หยิบอัลบั้มภาพของครอบครัวออกมาให้ดู อาจกล่าวได้ว่าครอบครัวนี้เป็นครอบครัวที่ชอบถ่ายรูปเวลาไปในสถานที่ต่างๆ อยู่เสมอเพราะมีอัลบั้มรูปเก็บไว้เต็มตะกร้า แม่สาธยายภาพแต่ละช่วงเวลาให้ฟังอย่างอารมณ์ดีและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มีทั้งภาพของกอล์ฟในวัยเยาว์จนถึงตอนมัธยมที่ทำกิจกรรมหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นทั้งการแสดง งานศิลปะ ยิ่งไปกว่านั้นแม่หยิบสายสะดือกับป้ายข้อมือที่ติดตัวในช่วงแรกเกิดของลูกทั้งสองคนออกมาให้ดู ไม่ว่าจะย้ายบ้านกี่ครั้งเธอก็ยังเก็บมันไว้เสมอ
“กอล์ฟกับกิฟต์นี่เขาไม่เหมือนเป็นพี่น้องกันนะ จะเหมือนเพื่อนกันมากกว่า สองคนนี้อายุต่างกัน 5 ปี แต่ดูอายุไม่ค่อยห่างกันเท่าไร กิฟต์จะเป็นคนที่ตามใจพี่ เป็นคนหนักแน่น ดูเป็นคนดุมาก ต่างจากกอล์ฟที่จะเป็นคนใจร้อนเหมือนพ่อ แต่จะตามใจเด็ก อย่างเวลาที่หลานมาบ้านแล้วพูดไม่เพราะหรือไม่ยอมไหว้แม่ กิฟต์จะดุหลานไม่ให้พูดคำหยาบหรือให้ยกมือไหว้แม่ แต่กับกอล์ฟจะไม่ว่า ตามใจหลานตลอด”
“คนแถวบ้านชอบบอกว่ากิฟต์เป็นเด็กเงียบ ถือตัว แต่กอล์ฟนี่จะคุยได้ตลอด คุยกับทุกคน นิสัยอย่างกอล์ฟคนแถวบ้านบอกว่าติ๊งต๊อง แต่มีลุงที่กอล์ฟรู้จัก เวลาเราบอกว่ากอล์ฟเป็นคนที่ติ๊งต๊องนะ ลุงแกก็บอกว่าอย่าไปพูดอย่างนั้น เขาเคยเห็นตอนที่กอล์ฟไปทำกิจกรรมแล้วคุมเด็กทุกคนได้ อย่างเด็กหนีเที่ยว กอล์ฟมันชี้หน้าแล้วเด็กพวกนี้เงียบหมดเลย เราก็หัวเราะ จริงเหรอ กอล์ฟดูจะเด็ดขาดเรื่องงานมากนะ งานเป็นงาน เล่นเป็นเล่น ตอนที่รู้ว่ากอล์ฟถูกจับข้อหานี้ คนในหมู่บ้านไม่มีใครเชื่อ เพราะกอล์ฟดูนิสัยเป็นเด็ก เวลากลับบ้านมาหาพ่อกับแม่ก็จะทำตัวเหมือนเด็ก เด็กๆ อยู่ใกล้ก็รัก ไม่น่าจะโดนข้อหาแบบนี้”
แม่เล่าถึงการเลี้ยงดูลูกในวัยเด็กว่า แม้ว่าเธอจะมีฐานะไม่ค่อยดีนัก แต่ก็กัดฟันส่งลูกเรียนโรงเรียนดีๆ เพื่อหวังว่าลูกจะได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ จนคนในหมู่บ้านมองว่าเธอเป็นคนทะเยอทะยาน ส่งลูกเรียนในเมืองเหมือนคนฐานะดีในหมู่บ้าน
“แม่ส่งให้กอล์ฟกับกิฟต์เข้าไปเรียนที่เซนต์นิโคลัส ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนในเมือง จริงๆ แล้วตรงข้ามบ้านมีโรงเรียนขนาดเล็กอยู่ แต่แม่อยากให้ลูกไปเรียนในเมืองมากกว่า ต้องตื่นเช้า ค่าเทอมก็แพง คนในหมู่บ้านมองว่าแม่เป็นคนทะเยอทะยาน แต่แม่ไม่สนใจ พอกอล์ฟถูกจับก็มีบางคนมาพูดกับแม่ว่าสมใจแล้วสินะที่ให้ลูกไปเรียนในเมือง ยอมรับเลยว่าตอนแรกสภาพจิตใจย่ำแย่มาก แต่ช่วงหลังเราก็รู้ว่าไม่ได้มีแค่ลูกเราคนเดียวที่โดนคดีนี้ ก็พอทำใจได้”
หลังจากนั้น แม่พาไปดูเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนกักเก็บน้ำและแหล่งท่องเที่ยวของพิษณุโลก ทุกวันนี้น้ำในเขื่อนแทบจะแห้งสนิท แม่เล่าย้อนอดีตให้ฟังถึงช่วงที่น้ำเต็มเขื่อน ครอบครัวของเธอมักพากันมาเที่ยว และนำอาหารที่ช่วยกันทำมานั่งรับประทานที่นี่ แม้ว่าแม่จะเป็นคนไม่ชอบน้ำ แต่น้ำเสียงที่เล่าถึงการปิคนิคของณครอบครัวดูเปี่ยมด้วยความสุข ตรงกันข้ามกับสภาพปัจจุบัน ตอนนี้น้ำในเขื่อนแห้งขอดทำให้แม่ไม่ต้องกลัวเหมือนตอนน้ำเต็มเขื่อน แต่แม่ก็ยังคงไม่อาจมีความสุข เพราะภาพของการอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัวนั้นจากไปเสียแล้ว

กอล์ฟและการทำกิจกรรม

ตอนที่ลูกอยู่กรุงเทพ รู้ไหมว่าลูกทำกิจกรรม ?
“รู้ แต่ไม่ว่าอะไร มันคือการตัดสินใจของเขา แม่เลี้ยงลูกแบบให้ตัดสินใจด้วยตัวเองตั้งแต่แรก พูดกันตรงๆคือ เราต้องเลี้ยงลูกแบบลูกไก่ ไม่ใช่ลูกนก ลูกไก่พอออกมาก็หากินเอง แต่ลูกนกนี่เราต้องหาป้อน เราคิดว่าตัวเรามีอายุเยอะแล้ว สักวันเราก็ต้องตาย ถ้าเราทำให้ลูกทุกอย่าง ลูกก็จะไม่มีการตัดสินใจหรือช่วยเหลือตัวเอง พ่อของกอล์ฟก็จะสอนให้ลูกตัดสินใจด้วยตัวเองเหมือนกัน ผิดถูกค่อยมาช่วยกันแก้ทีหลัง”
ไม่เคยห้ามลูกทำกิจกรรม ?
“ไม่เคยนะ อย่างช่วงที่ลูกเราแสดงละคร ก็รู้อยู่ตลอดนะ ไม่ได้ห้ามนะ เราก็ถามว่าผู้ใหญ่ดูบทให้รึยัง เขาก็บอกพ่อกับแม่ว่าบทผ่านแล้ว ผู้ใหญ่ตัดสินใจให้ว่าสมควรเล่น แต่แม่ก็ไม่เคยเจอผู้ใหญ่พวกนี้นะ”
“วันนั้นมีเจ้าหน้าที่ทหารด้านความมั่นคงมาถามแม่ เขาถามว่ารู้ไหมว่าลูกเราเล่นละคร แม่ก็ตอบไปว่ารู้ แต่ละครที่ลูกเล่นผ่านผู้ใหญ่คัดกรองมาแล้ว อันนี้แม่พูดตามที่เราเข้าใจ เขาก็นิ่งเงียบไม่ได้ตอบอะไรกลับมา”
พ่อรู้เรื่องกอล์ฟเมื่อไร ?
“พ่อเพิ่งรู้ว่ากอล์ฟถูกจับเมื่อเดือนธันวา ตอนแรกที่แม่ไปเยี่ยมพ่อ แม่ก็อึดอัดมาก แม่ไม่อยากไปหาพ่อเลยเพราะปกติครอบครัวเราจะไม่ปิดปิดเรื่องต่างๆ กัน พ่อจะคอยถามหากอล์ฟตลอด แม่ก็บอกพ่อว่ากอล์ฟสบายดี พอวันที่รวมญาติกันวันนั้นแม่ก็เลยบอกพ่อไป พอพ่อรู้เรื่องก็บอกว่าอย่าไปตำหนิเขา เพราะกลัวว่าเราจะว่าลูก เราก็บอกว่าไม่ว่าอะไรหรอก เขาว่ากันทั้งประเทศแล้ว แค่นี้ก็เยอะแล้ว”
คิดว่าสิ่งที่กอล์ฟทำผิดไหม ?
“สำหรับแม่ถือว่า สิ่งที่กอล์ฟทำถูกนะ เขาตัดสินใจถูกแล้ว ทำอะไรเขาก็ต้องตัดสินใจเองอยู่แล้ว ถือว่าเป็นคนมีความคิดคนหนึ่งนั่นแหละ”
ถ้ากอล์ฟพ้นโทษแล้วและคิดจะทำกิจกรรมต่อ แม่จะว่าอะไรไหม ?
“ก็แล้วแต่กอล์ฟนะ เขาโตแล้ว มันเป็นการตัดสินใจของเขา อย่างที่ผ่านมาก็เหมือนกับบทเรียนของเขา เขาก็น่าจะรู้ว่าอะไรควรไม่ควร แม่ก็เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับกอล์ฟ แต่แม่ก็ดีใจที่ลูกได้หยุดคิดและมีเวลาไตร่ตรองสิ่งที่ทำลงไป เขาก็อายุยังไม่มาก ต่อไปจะได้รอบคอบขึ้นและมีเกราะป้องกันตัวเองได้มากขึ้น มันก็อาจจะเป็นทั้งผลดีและผลร้ายสำหรับเขา ดีกับเขาในเรื่องความคิดต่อๆไป แต่ผลร้ายก็คือหมดโอกาสในการไปเรียนต่อ แต่ก็ยังไม่ถือว่าหมดโอกาสซะเลย แม่คิดอย่างนี้นะ แต่แม่จะไม่ห้ามเรื่องที่จะทำกิจกรรม ให้เขาตัดสินใจเอาเอง ได้แค่เตือนให้เขาตัดสินใจให้รอบคอบเองก่อนทำอะไรแต่ละอย่าง”
“เราก็มองดูรอบๆ ก็เห็นว่าไม่ใช่แค่ลูกเราคนเดียวที่โดน คิดว่าเราส่งลูกเราไปเรียนวิชาหนึ่งก็แล้วกัน”
แม่ปิดท้ายด้วยประโยคซึ่งเหมือนเป็นการปลอบใจตนเองไปในตัว แต่กระนั้น แววตาและน้ำเสียงของเธอก็ยังคงเต็มไปด้วยความหวังต่อการกลับมาของลูก การได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาของครอบครัวนี้คงต้องอาศัยความอดทนรอคอยเวลาอีกสักพัก เช่นเดียวกับสามัญชนในสังคมนี้ที่รอคอยการกลับมาของประชาธิปไตยในประเทศ ทั้งแม่และสามัญชนต่างก็เฝ้ารอให้ลูกและประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับคืนสู่อ้อมอกเจ้าของที่แท้จริงเสียที

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น