มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ออกแถลงการณ์ "ปิดเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี เรียกร้องการถ่วงดุลตรวจสอบ" ระบุเนื่องจากไม่มีความพร้อมและไม่มีความเหมาะสม ทั้งนี้ขอให้ควบคุมตัวบุคคลในคดีการเมืองในเรือนจำปกติโดยจัดให้มีแดนควบคุมเฉพาะ ชี้การขังเดี่ยวผู้ต้องขังขัดกับหลักการด้านสิทธิมนุษยชน
25 ต.ค. 2558 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ออกแถลงการณ์ "ปิดเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี เรียกร้องการถ่วงดุลตรวจสอบ" ระบุเนื่องจากไม่มีความพร้อมและไม่มีความเหมาะสม ทั้งนี้ขอให้ควบคุมตัวบุคคลในคดีการเมืองในเรือนจำปกติโดยจัดให้มีแดนควบคุมเฉพาะ ชี้การขังเดี่ยวผู้ต้องขังขัดกับหลักการด้านสิทธิมนุษยชน โดยรายละเอียดทั้งหมดมีดังต่อไปนี้
ปิดเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี เรียกร้องการถ่วงดุลตรวจสอบ
เนื่องจากเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2558 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้มีคำสั่งกระทรวงยุติธรรม ที่ 314/2558 เรื่องกำหนดอาณาเขตเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี กรณีที่ระบุว่าเป็นสถานที่คุมขังผู้ต้องขังประเภทมีเหตุพิเศษ ที่ไม่ควรจะรวมคุมขังอยู่กับผู้ต้องขังอื่น โดยสถานที่คุมขังดังกล่าวเป็นเรือนจำที่อยู่ในพื้นที่ พัน.ร.มทบ. 11 ถนนพระรามที่ 5 กรุงเทพ มีพื้นที่อยู่ในค่ายทหาร แต่ปรากฎว่าเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พบว่าพ.ต.ต. ปรากรม วารุณประภาผู้ต้องขังระหว่างสอบสวนในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ได้รับตัวไว้ควบคุมตามหมายขังของศาลทหารกรุงเทพตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม เสียชีวิตจากการผูกคอตัวเองกับลูกกรงห้องขังภายในเรือนจำชั่วคราวดังกล่าว
การดำเนินกระบวนการยุติธรรมในคดีที่มีความผิดร้ายแรงและมีลักษณะพิเศษมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใสตรวจสอบได้ ระบบยุติธรรมของไทยที่ได้พัฒนาปรับปรุงให้มีความทัดเทียมสากลและเคารพหลักนิติรัฐมาตลอดนั้นกลับถูกทำลายโดยข้ออ้าง“กรณีพิเศษ”โดยการแจ้งความ จับกุม ควบคุมตัว และการพิจารณาคดีโดยหน่วยงานเดียวกัน ความเป็นอิสระขององค์กรในการอำนวยความเป็นธรรมได้รับการพัฒนาเพื่อให้การทำงานของตำรวจ อัยการ ศาล มีการตรวจสอบซึ่งกันและกัน มีกลไกสิทธิมนุษยชนทั้งในตัวบทกฎหมายและในทางปฏิบัติโดยเน้นเรื่องการถ่วงดุลอำนาจเพื่อนำมาซึ่งการพิจารณาคดีเป็นธรรม นอกจากนี้ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติอื่นหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรีขององค์การสหประชาชาติตั้งแต่ปีพ.ศ. 2550 ซึ่งมีข้อห้ามเด็ดขาดในเรื่องการทรมาน ไม่ว่าจะกรณีใดใด ทั้งการก่อการร้าย การปราบปรามยาเสพติด การก่อความไม่สงบ ทั้งนี้หมายรวมถึงคดีที่มีความอ่อนไหวในสังคมไทยเช่นในกรณีมาตรา 112
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมมีความเห็นและข้อเรียกร้องต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังนี้
1. ขอให้ปิดเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรีเนื่องจากไม่มีความพร้อมและไม่มีความเหมาะสม ทั้งนี้ขอให้ควบคุมตัวบุคคลในคดีการเมืองในเรือนจำปกติโดยจัดให้มีแดนควบคุมเฉพาะ แม้จะมีคำสั่งให้เป็นสถานที่คุมขังตามคำสั่งกระทรวงยุติธรรมแต่การบริหารจัดการที่ขาดความรู้ ความเข้าใจ ความชัดเจนในบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ อีกทั้งสถานที่ตั้งเรือนจำอยู่ในเขตทหาร จนทำให้มีเหตุกังขาถึงสาเหตุการตายของผู้ต้องขังคนสำคัญรายนี้
2. ปรากฎในการแถลงข่าวของกรมราชทัณฑ์ว่า มีการขังเดี่ยวผู้ต้องขังกลุ่มดังกล่าว ซึ่งขัดกับหลักการด้านสิทธิมนุษยชน โดยห้ามไม่ให้มีการขังเดี่ยวผู้ต้องขังใดใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ต้องขังคดีทางการเมือง
3. กรณีดังกล่าวตามที่ระบุว่าจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงนั้น คณะกรรมการชุดนี้ต้องมีความเป็นกลางมีความน่าเชื่อถือเพื่อตรวจสอบการเสียชีวิตให้กระจ่าง รวมทั้งจัดให้มีการผ่าชันสูตรศพเพื่อหาสาเหตุการตายทางนิติเวช การตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ และมีการไต่สวนการตายอย่างถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย หากพบว่าเป็นการกระทำความผิดทั้งทางอาญาหรือวินัยของผู้ใดต้องมีการนำตัวคนผิดมาลงโทษตามกฎหมาย
4. ทางราชการต้องเปิดโอกาสให้มีการตรวจเยี่ยมสถานที่ควบคุมตัวทุกแห่งโดยหน่วยงานที่เป็นอิสระ เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือองค์กรระหว่างประเทศเช่น OHCHR และ ICRC ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนตามพันธกรณีที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีและต้องปฏิบัติตาม
5. ขอเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการตามคำมั่นสัญญาที่จะลงนามในพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน เพื่อเปิดโอกาสให้หน่วยงานอิสระที่จัดตั้งขึ้นตามพิธีสาร OPCAT เพื่อตรวจเยี่ยมสถานที่ควบคุมตัวทุกแห่งได้เพื่อป้องกันการทรมานและการปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น