วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ศาลทหารจำคุกลุงมอบดอกไม้ 3 เดือน รอลงอาญา 1 ปี ปรับสี่พัน


ศาลสั่งจำคุกชายวัย 78 ปี สามเดือน แต่ให้รอลงอาญา 1 ปี  เหตุมอบดอกไม้ให้พ่อน้องเฌอ ในกิจกรรม 'พลเมืองรุกเดิน' รณรงค์ไม่ให้พลเรือนขึ้นศาลทหาร และนั่งอยู่ในวงพูดคุยของนักกิจกรรม  
23 พฤษภาคม 2559  ศาลทหารกรุงเทพ ได้มีการอ่านคำพิพากษาในคดีของนายปรีชา‬ แก้วบ้านแพ้ว วัย 78 ปี ว่ามีความผิดตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 3/2558 ซึ่งมีอัตราโทษสำหรับความผิดที่ห้ามชุมนุมทางการเมือง ต่างจากในประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 7/2557 จึงอาศัย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ให้ใช้กฎหมายที่เป็นคุณแก่จำเลย พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 6 เดือน ปรับ 8,000 บาท ลดโทษกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษจำคุก 3 เดือน ปรับ 4,000 บาท
แต่เนื่องจากจำเลยไม่เคยกระทำความผิดมาก่อนประกอบกับพฤติการณ์แห่งคดียังไม่ร้ายแรง จึงสมควรให้โอกาสจำเลยปรับตัวเป็นคนดี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ มีกำหนดเวลา 1 ปี
นายปรีชา‬ ได้เล่าว่า เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2558  ตนได้ไปดู นายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ หรือพ่อน้องเฌอ ทำกิจกรรม‘พลเมืองรุกเดิน’ เพื่อเรียกร้องให้ คสช.ยุติการนำพลเรือนขึ้นดำเนินคดีในศาลทหาร โดยขณะที่พันธ์ศักดิ์ ได้เดินมาถึงบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยระหว่างนั้นมีคนนำดอกไม้มามอบให้นายพันศักดิ์ พร้อมกับนำมาแจก และเชิญชวนให้นายปรีชาที่ยืนดูอยู่ นำดอกไม้ให้นายพันศักดิ์ด้วย นายปรีชาจึงได้นำดอกไม้ที่ได้รับแจกไปยื่นให้หนึ่งดอก จากนั้นได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบเข้ามาพูดคุยด้วย ตนจึงพูดคุยด้วยดีเนื่องจากไม่คิดว่าเป็นการกระทำความผิดแต่อย่างใด เมื่อเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบขอเบอร์โทรศัพท์ นายปรีชาจึงได้ให้ไปโดยไม่ได้คิดอะไร 
จากนั้นกลุ่มของนายพันธ์ศักดิ์ได้เดินต่อไปยังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ลานปรีดี พนมยงค์ ปรีชาจึงเดินตาม เข้าไป แต่ได้แยกไปกินข้าวเมื่อเดินกลับออกมาพบกลุ่มนายพันธ์ศักดิ์ประมาณยี่สิบคนนั่งคุยกันอยู่โดยไม่ได้มีการกล่าวปราศัย ไฮด์ปาร์ก แต่อย่างใด ตนจึงได้เข้าไปนั่งฟังเฉยๆ จึงเป็นเหตุให้ถูกระบุว่ามีพฤติกรรมอยู่ในที่ชุมนุม
จากพฤติกรรมดังกล่าวนายปรีชาได้ถูกนำมาตั้งข้อกล่าวหาว่ามีการกระทำความผิดยุยงปลุกปั่นตาม  ป.อ.ม.116 (3) และร่วมกันฝ่าฝืนประกาศฯ ห้ามชุมนุมเกิน 5 คน ตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 7/2557
หลังทราบผลการพิจารณาคดี วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความได้กล่าวว่า เหตุที่จำเลยตัดสินใจไม่ได้สู้คดีเนื่องจาก เมื่อศาลทหารได้อ่านคำฟ้องให้จำเลยฟัง โดยในคำฟ้องไม่มีความผิดฐาน ยุยงปลุกปั่น ตาม ป.อ. มาตรา 116 (3)   แต่ฟ้องในข้อหา ฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. ตามประกาศที่ 7/2557 เพียงข้อหาเดียว เมื่อปรึกษากับลูกความแล้ว มีความเห็นตรงกันว่า การสู้คดีเป็นภาระหนักสำหรับลูกความที่เป็นคนชรา มีปัญหาสุขภาพ ประกอบกับประเมินว่าข้อหาที่ฟ้องน่าจะได้รับการปราณีจากศาลลงโทษไม่หนักนักจึงตัดสินใจยอมรับสารภาพตามข้อกล่าวหา
วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ ได้แสดงความรู้สึกเป็นกังวลใจ ว่าหากมีการใช้การตัดสินคดีข้างต้นมาเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินคดีในลักษณะเดียวกันต่อไป 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น