โครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) ยืนยัน พ.ร.บ.ประชามติฯ มาตรา 61 ขัดหลักเสรีภาพ ขอทุกฝ่ายเปิดให้ประชาชนรณรงค์ได้
29 มิ.ย.2559 จากกรณีเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ที่ผ่านมา ผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีมติเอกฉันท์เห็นว่า มาตรา 61 วรรคสอง ของ พ.ร.บ.ประชามติมีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเนื้อหาในวรรคสองมีการบัญญัติคำว่า "รุนแรง ก้าวร้าว หยาบคาย" นั้น มีความไม่ชัดเจนและคลุมเครือ นำไปสู่ความสับสนของประชาชน ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น และอาจทำให้การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ดำเนินการโดยดุลพินิจของตัวเอง จนทำให้กระทบสิทธิของประชาชนที่อาจนำไปสู่ความเสียหาย จึงเห็นควรส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เฉพาะมาตรา 61 วรรคสอง ส่วนข้อความในมาตรา 61 วรรคสาม และวรรคสี่ นั้นที่ประชุมเห็นว่าเป็นเรื่องของบทกำหนดโทษ ซึ่งเป็นดุลพินิจของผู้ออกกฎหมาย และเป็นดุลพินิจของศาลที่จะพิจารณา โดยคำร้องดังกล่าวเป็นของ จอน อึ๊งภากรณ์ ผู้อำนวยการโครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)
โดยวันนี้ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ว่า พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 ม.61 วรรคสอง ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว) 2557 ม.4 จึงไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญดังกล่าว
ล่าสุด ไอลอว์ ออกคำชี้แจงว่า เนื่องจากขณะนี้เรายังไม่ ทราบเหตุผลที่แท้จริงในคำวินิ จฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ ง 9 คน ในประเด็นนี้ เราทราบเพียงผลคำวินิจฉัยจากข่ าวประชาสัมพันธ์ของสำนั กงาน ศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้นว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ พ.ร.บ.ประชามติฯ มาตรา 61 วรรคสอง ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว ปี 2557
ไอลอว์ขอยืนยันตามที่ได้ยื่ นคำร้องไปแล้วว่า พ.ร.บ.ประชามติฯ มาตรา 61 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติห้ามการแสดงความคิ ดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนู ญและการทำประชามติที่ผิดไปจากข้ อเท็จจริง หรือมีลักษณะรุนแรง ก้าวร้าว หยาบคาย ปลุกระดม หรือข่มขู่ โดยมีอัตราโทษจำคุกสูงถึง 10 ปีนั้น เป็นกฎหมายที่ขัดต่อหลักเสรี ภาพการแสดงออกซึ่งเป็นหลักการที ่อยู่คู่กับการเมื องการปกครองไทยมาทุกยุคสมั ยและเป็นหลักการพื้นฐานที่มนุ ษยชาติยอมรับกันโดยทั่วไป
การที่มาตรา 61 วรรคสอง บัญญัติถึงการกระทำอันเป็ นความผิดโดยใช้ถ้อยคำที่กว้ างและคลุมเครือ เช่น คำว่า "รุนแรง" "ก้าวร้าว" "ปลุกระดม" ซึ่งเป็นคำที่ไม่เคยมีนิยามอยู่ ในกฎหมายฉบับใดมาก่อน ทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าใจได้ ว่าการแสดงออกอย่างใดจะผิ ดกฎหมายหรือไม่ ขัดต่อหลักการของกฎหมายอาญาที่ ต้องชัดเจนแน่นอน ส่วนการแสดงออกด้วยถ้อยคำที่ "หยาบคาย" นั้น ตามปกติแล้วแม้จะเป็นสิ่งที่ไม่ สมควร แต่ก็ไม่ใช่การกระทำที่ต้องมี โทษทางกฎหมาย ขณะที่บทกำหนดโทษของความผิ ดตามมาตรา 61 วรรคสอง ก็เป็นโทษที่รุนแรงเกินไป ไม่ได้สัดส่วนกับการกระทำที่เป็ นเพียงแค่การแสดงออกซึ่งความคิ ดเห็นโดยสงบ อัตราโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปีนั้น เทียบได้กับความผิดฐานฆ่ าคนตายโดยประมาท หรือฐานทำให้หญิงแท้งลูกและถึ งแก่ความตาย การบัญญัติมาตรา 61 วรรคสองเช่นนี้ จึงเป็นการจำกัดสิทธิเสรี ภาพของประชาชนเกินขอบเขต โดยไม่มีเหตุอันสมควร
ไอลอว์ เห็นว่า บรรยากาศการพูดคุยเรื่องร่างรั ฐธรรมนูญ และการทำประชามติทุกวันนี้เป็ นไปอย่างเงียบเหงาผิดปกติ ทั้งที่ใกล้ถึงเวลาลงประชามติ แล้ว โดยที่ประชาชนที่มีความคิดเห็ นทั้งเห็นด้วยและไม่เห้นด้วยต่ างไม่กล้าแสดงออก ถกเถียง หรือทำกิจกรรม ดังที่มีตัวอย่าง การจับกุมดำเนินคดีกับนักกิ จกรรมที่แจกเอกสารแสดงเหตุผลไม่ เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ และมีผู้ถูกคุมขังอยู่อย่างน้อย 7 คนในปัจจุบัน บรรยากาศเช่นนี้ย่อมไม่ส่งผลดี ต่อการทำประชามติที่จะเกิดขึ้ นในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 และมีแต่จะทำให้ผลการลงประชามติ ไม่เป็นที่ยอมรับทั้ งโดยประชาชนชาวไทยและประชาคมโลก
ไอลอว์ ไม่มีความประสงค์จะสร้ างความไม่สงบเรียบร้ อยในการทำประชามติ และไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้ งทางการเมืองจนนำไปสู่ความรุ นแรง แต่เรายืนยันที่จะทำกิ จกรรมทางสังคมและใช้ช่ องทางตามกฎหมายทุกวิถีทางที่มี อยู่ต่อไป เพื่อเปิดโอกาสให้ ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็ นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนู ญและการจัดทำประชามติได้อย่ างเสรี เพื่อให้การจัดทำประชามติที่ จะเกิดขึ้นสามารถสะท้ อนเจตจำนงของประชาชนได้อย่างแท้ จริง
ในระหว่างที่พ.ร.บ.ประชามติฯ มาตรา 61 ยังไม่ถูกยกเลิกโดยศาลรัฐธรรมนู ญ ก็ยังเป็นไปได้ที่ บรรยากาศการทำประชามติจะดีขึ้น หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง คสช. และ กกต. เปิดให้ประชาชนได้แสดงความคิ ดเห็นและทำกิจกรรมรณรงค์ได้อย่ างเต็มที่ ไม่บังคับใช้กฎหมายที่ไม่มี ความชอบธรรม ยกเลิกการปิดกั้นการแสดงความคิ ดเห็นทุกรูปแบบ เลิกจับกุ มประชาชนจากการแสดงความคิดเห็น ปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังและยุติ การดำเนินคดีที่กำลังเกิดขึ้นด้ วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น