วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

"อิสรภาพ" ของ "ณัฐวุฒิ "เสริมพลัง"เสื้อแดง"และ"เพื่อไทย"ตัวแปรใหม่" ในสนามเลือกตั้ง
[Image: jpl_20110222_26.jpg]


ในที่สุดผู้พิพากษาก็อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว 7 แกนนำ และ 1 แนวร่วม

ผลที่ตามมา ย่อมมีทั้ง "ด้านลบ" และ "ด้านบวก" สำหรับรัฐบาล "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"

ด้านหนึ่ง เป็นการลดเงื่อนไขเรื่อง "สองมาตรฐาน" ที่เป็นชนวนเรียก "คนเสื้อแดง" ให้มาชุมนุมกันอย่างต่อเนื่อง

เพราะการให้ประกันตัวทั้ง 8 คน ย่อมแสดงให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมมีมาตรฐานเดียว

เมื่อให้แกนนำคนเสื้อเหลืองประกันตัว ก็ให้แกนนำคนเสื้อแดงประกันตัวเช่นกัน

แม้จะมีข้อวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่อง "ความช้า-เร็ว" บ้างก็ตาม

นั่นคือ ผล "ด้านบวก" สำหรับรัฐบาล

แต่ใน "ด้านลบ" การปล่อยตัว 7 แกนนำออกมาย่อมเพิ่มพลานุภาพให้กับกลุ่มนปช.ในทันที

เพราะแต่ละคนล้วนเป็น "แม่เหล็ก" บนเวทีปราศรัยทั้งสิ้น

ไม่ว่าจะเป็นนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นพ.เหวง โตจิราการ, นายก่อแก้ว พิกุลทอง, นายนิสิต สินธุไพร, นายขวัญชัย ไพรพนา, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย และ นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก

การลด "เงื่อนไข" แต่เพิ่ม "แม่เหล็ก" ให้เวทีชุมนุม

เมื่อหักลบกันแล้ว ดูเหมือนว่า "ด้านลบ" จะมากกว่า "ด้านบวก"

เชื่อได้ว่าเมื่อ "แกนนำ นปช." เปิดเวทีปราศรัยครั้งต่อไปเมื่อไร "คนเสื้อแดง" จะมารับขวัญ 7 แกนนำกันเนืองแน่นอย่างแน่นอน

และยิ่งในช่วงเวลาที่รัฐบาลอยู่ในภาวะ "ขาลง"

เจอทั้งเรื่อง "น้ำมันปาล์ม-อาหารแพง-ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา และปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้"

การเพิ่มพลังให้กับ "คนเสื้อแดง" จึงเป็นมรสุมลูกใหม่ของรัฐบาล

และคนที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดคือ "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ"

"ซุป-ตาร์" ของ "คนเสื้อแดง"

"ณัฐวุฒิ" เป็นคนที่มี "แฟนคลับ" มากที่สุดของ "นปช."

"อิสรภาพ" ของเขาไม่เพียงแต่มีความหมายมากไม่เฉพาะสำหรับขบวนคนเสื้อแดง

แต่ยังหมายถึง "พรรคเพื่อไทย" ด้วย

นี่คือ อีกมุมหนึ่งที่ "อภิสิทธิ์" อาจลืมไป
....................

กลุ่มคนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยนั้น ณ วันนี้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ไม่เหมือนคนเสื้อเหลืองกับพรรคประชาธิปัตย์

เพราะวันนี้ "คนเสื้อเหลือง" ได้แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ซึ่งวันนี้ทั้ง 2 กลุ่มยืนอยู่คนละฝั่งกันแล้วอย่างสิ้นเชิง

ในขณะที่ "เสื้อแดง" และ "เพื่อไทย" ยังประสานมือกันแน่น

ดังนั้น "อิสรภาพ" ของ "ณัฐวุฒิ" นอกจากจะเพิ่มพลานุภาพให้กับ "คนเสื้อแดง" แล้ว

ทันทีที่ปรับโหมดสู่การเลือกตั้ง เขาก็จะกลายเป็น "แม่เหล็ก" ให้กับพรรคเพื่อไทยทันที

ที่ผ่านมา "เพื่อไทย" มี "นักปราศรัย" ที่เรียกคนบนเวทีหาเสียงอยู่เพียง 2 คน คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และนายจตุพร พรหมพันธุ์

ร.ต.อ.เฉลิม นั้นเป็น "มวยเก๋า" บนเวทีปราศรัย แต่แรงดึงดูดของเขาก็เริ่มลดลงเรื่อยๆ

ในขณะที่ "จตุพร" เป็น "มวยรุ่นใหม่" ที่สร้างชื่อจากเวทีคนเสื้อแดง

ลีลาการปราศรัยที่ดุดันของเขาเรียกคนได้บนเวทีคนเสื้อแดงที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น

แต่บนเวทีหาเสียงที่ต้องการคะแนนนิยม

"จตุพร" ยังมีข้อจำกัด

แตกต่างจาก "ณัฐวุฒิ" ที่มีลีลาการปราศรัยที่หลากหลาย ทั้งดุดัน กินใจ และอารมณ์ขัน

"แฟนคลับ" ของเขาเยอะมากและกินตลาดกว้างทุกระดับ

ดังนั้น "อิสรภาพ" ของ "ณัฐวุฒิ" จึงเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพรรคเพื่อไทยในทันที

โดยเฉพาะในพื้นที่ "คนเสื้อแดง"

เขาจะเป็นคนที่เรียกคะแนนเสียงให้พรรคเพื่อไทยได้อย่างมาก

ในความเป็นจริงพลังของ "ณัฐวุฒิ" ในเวทีหาเสียงนั้น อาจส่งผลกระทบต่อพรรคประชาธิปัตย์ในระดับหนึ่ง

เพราะ "ประชาธิปัตย์" ไม่ได้มุ่งหวังพื้นที่ภาคอีสานมากนัก

แต่สำหรับพรรคภูมิใจไทยที่หวังส.ส.ในภาคอีสานนั้น "ณัฐวุฒิ" จะเป็น "ปิศาจ" ที่หลอกหลอน "เนวิน ชิดชอบ" อย่างแน่นอน


และจะส่งผลถึงคะแนนรวมของ "ประชาธิปัตย์+ภูมิใจไทย"


นี่คือ อีกมุมหนึ่งที่ "อภิสิทธิ์" คาดไม่ถึง


มติชน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น