วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เขมรจะจัดฉลอง “วันรบชนะไทย” วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
http://www.internetfreedom.us/thread-13989.html
เมื่อสัปดาห์ก่อนได้เล่าถึงเรื่องผู้หญิงอีสาน ต้องนุ่งผ้าถุงสองผืน
เพราะในอดีตสตรีของภาคนี้ จำต้องอพยพเดินทางตลอด
เนื่องจากถูกผู้ปกครองกดขี่บังคับ บางครั้งก็โดนกวาดต้อนไปเป็นเชลยบ้าง
หรือเพราะต้องหลบภัยสงครามบ้าง จนติดเป็นนิสัย
ดังนั้น เมื่อเกิดศึกกับเขมรเมื่อต้นเดือน ก.พ. 2554 ชาวบ้านที่เป็นผู้หญิง
ก็ต้องทำเหมือนบรรพบุรุษ ที่ต้องสวมผ้าถุงสองชั้น แล้วอพยพหนีตายออกจากบ้าน
นี่เป็นเพราะคนไทยและประเทศของเราโชคร้าย ดันไปได้...
“รัฐบาล-กาลี” ที่หาเรื่องตบตีกับเพื่อนบ้านเขาเรื่อยไป นั่นเอง!

หลังเกิดเหตุการณ์ปะทะใหม่ เมื่อถึงวันเสาร์ที่ผ่านมา (12 ก.พ.2554)
ผมได้ฟังวิทยุ “รายการลับลวงพลาง” ทางคลื่น อ.ส.ม.ท. Fm 100.5 MHz
วาสนา นาน่วม นักข่าวสายทหารของ ‘บางกอกโพสต์’ ได้เล่าถึง
ความขาดแคลนสิ่งของเครื่องใช้ ของทหารในแนวหน้า ได้ยินแล้วให้แปลกใจ
เพราะเธอเล่าว่า
สิ่งที่ทหารในแนวหน้าต้องการมาก คือ
ผ้าอนามัยสตรี สำหรับซับเลือดและห้ามเลือด
เมื่อยามได้รับบาดเจ็บและเกิดบาดแผลอันเกิดจากการสู้รบ
เพราะผ้าอนามัยมีประสิทธิภาพดีกว่าผ้าหรือสำลีทางการแพทย์ ที่แน่ๆคือ
ใช้ได้สะดวกกว่านั่นเอง!
ผมเองไม่ได้รบพุ่งกับใครมานานมากแล้ว เลยไม่ทันสมัย
เพียงแต่รู้ว่าผ้าอนามัย หรือที่เรียกกันคุ้นปากว่า “โกเต๊กซ์”
ซึ่งเป็นผ้าอนามัยที่โด่งดังมาก่อนยี่ห้ออื่นนั้น
ตำรวจจราจรเคยใช้ปิดจมูก ระหว่างปฏิบัติหน้าที่บนท้องถนนมานมนานแล้ว

[Image: kotex.jpg]

คุณวาสนา นาน่วม ได้ชักชวนให้คนไทย ช่วยกันบริจาค “โกเต๊กซ์” ให้ทหาร
มีใครบริจาคให้ไปกันบ้างหรือยัง ก็ยังไม่ได้ไต่ถาม แต่สำหรับผมแล้วเห็นว่า
ไม่ถึงกับต้องให้ประชาชนซื้อผ้าอนามัย
เพราะการจัด“โกเต๊กซ์” ให้ทหารแนวหน้าพกติดตัวกันกล่องครึ่งกล่อง
พวกทหารด้วยกันเองก็พอช่วยเหลือได้กระมังวิธีง่ายๆคือ
ขอเพียงให้ทหารนักกอล์ฟทั้งหลาย งดเล่นกอล์ฟกันคนสักอาทิตย์
แล้วสละเงินค่า Green fee สมทบให้เป็นทุนก็น่าจะเพียงพอแล้ว
เพราะขนาดทหารในแนวรบ ปะทะกันกับเขมรแบบเอาเป็นเอาตายอยู่นั้น
นายทหารทั้งในกรุงนอกกรุง ก็ยังตีกอล์ฟสบายใจเฉิบกันดีอยู่
ผมจึงขอแนะนำคุณวาสนา ให้เรี่ยไรจากนายทหารในกรุงนี่แหละ
ไม่ต้องไปบอกบุญกับประชาชน เดี๋ยวเขมรทันจะเย้ยใยไพเอาได้ว่า
กองทัพบ้านเราเป็น “กองทัพขอทาน” เสียชื่อเปล่าๆไม่เข้าการ

การปะทะกันระหว่างเขมรกับไทยในครั้งนี้ ในฐานะที่เป็นมือข่าวเก่า
ผมก็ไปคุยสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ได้ข้อมูลมาว่า
คนไทยไม่ตื่นเต้นกับเหตุการณ์เท่าไหร่ ทั้งนี้เพราะ
หลังจากพี่น้องประชาชน ถูกสังหารหมู่โดยทหาร
ระหว่างการสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อปีกลาย
เรื่องรู้กันไปทั่วโลก!
ความสัมพันธ์ระหว่างของคนในชาติกับทหาร
ก็ทรุดโทรมลงและทหารได้ถูกเกลียดชังโดยผู้คนจำนวนมาก
เพราะดันไปสนองคำสั่งของนักการเมือง ถึงกับฆ่าฟันพี่น้องเพื่อนร่วมชาติอย่างโหดเหี้ยม
อย่างที่ผมเขียนเอาไว้ในคอลัมน์ชื่อ
“ไทยรัฐ-ไทยร้าว”
แม้ประชาชนเขาไม่ได้เชียร์ทหาร อย่างที่พยายามออกข่าวประชาสัมพันธ์
แถมบางส่วนยังมีความรู้สึกเป็นศัตรูด้วยซ้ำ ถึงกระนั้นคนไทยเขาห่วงใยชาวบ้านชายแดน
ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชาติ ที่ต้องมารับเคราะห์
เพราะบ้านเรือนของพวกเขาอยู่ในระยะยิงของปืนใหญ่ และอาวุธปล่อยของฝ่ายตรงข้าม

การรบกันบริเวณชายแดนครั้งนี้
ทำให้ผมย้อนไปคิดถึงบทความที่เคยเขียนไว้ ชื่อบทความ คือ
‘บุญสร้าง’ อย่าเป็น ‘บุญเสี้ยม’ โดยตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ ‘ประชาทรรศน์’
เมื่อ 20 กรกฎาคม 2551 ขึ้นมาทันที
เหตุที่เขียนเพราะผมเห็นว่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในตอนนั้น คือ
พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ มักให้สัมภาษณ์สวนทางกับรัฐบาลของคุณสมัครอยู่เนืองๆ
ทั้งๆที่รัฐบาลในขณะนั้น
พยายามแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ทางชายแดนอย่างเต็มกำลังสติปัญญา
ยิ่งไปกว่านั้น วิทยุคลื่น FM 101 MHz ของกองบัญชาการทหารสูงสุด
หรือกองบัญชาการกองทัพไทย ก็วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลนายกฯสมัครอย่างเต็มที่
แบบเดียวกับที่เลียตูดรัฐบาลของนายมาร์ค มุกควาย ในขณะนี้
ขอตัดตอนบทความดังกล่าว มานำเสนอท่านผู้อ่านอีกครั้งในวันนี้
เพื่อให้ท่านผู้อ่าน พิจารณาดูว่า สิ่งที่ผมเขียนไว้เมื่อ 2 ปีกว่า กับเหตุการณ์ปัจจุบัน
มีความละม้ายคล้ายคลึงกันอย่างไร
ผมเขียนเอาไว้อย่างนี้ครับ...

...การเปิดเวทีของพันธมิตรฯ ซึ่งตั้งค่ายกลเคลื่อนไปมา
แต่อยู่ไม่ห่างจากทำเนียบ ระดมโจมตีรัฐบาลกันตั้งแต่หัวค่ำจนอุษาสาง
แถมไม่กี่วันที่ผ่านมา ยังมีนายทหารชั้นนายพลใกล้เกษียณ
อุตส่าห์แต่งเครื่องแบบ กระย่องกระแย่งขึ้นเวที ไปอวดศักดา ร่วมด่ารัฐบาลกลางถนน
เป็นที่น่า “สังเวช” ใจยิ่งนัก
อย่าว่าแต่ประชาชนคนธรรมดา
เขาจะรุมด่ากันทั้งในวงกาแฟและเว็บไซต์ต่างๆ แม้แต่พลทหาร
ยังวิจารณ์เอาเสียๆ หายๆ อีกด้วย!

ผมเองไม่ใส่ใจในเรื่องใครจะขึ้นเวทีพันธมิตรฯ
หรือใครจะขึ้นช้างลงม้าพาไปนรกหรือสวรรค์ชั้นไหน?
ห่วงอยู่แค่การเป็นคนไทยแล้ว ไปพูดจาให้บ้านเมืองของเรา
กระทบกระทั่งกับชาติอื่นเขา ทำให้สถานการณ์ตามแนวชายแดนตึงเครียดขึ้นมานั้น
ก็อยากจะให้รำลึกถึงอดีต ที่มีตัวอย่างให้เห็นกัน เช่น
กรณีในการพาชาติของเราเข้าสู่สถานการณ์รบพุ่งที่ไม่จำเป็น
ขอให้ดูสงครามที่ บ้านร่มเกล้า เอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจ
การปะทะกันด้วยกำลังทหารของทั้งสองฝ่ายนั้นหนักหน่วง
รบกันเพียงไม่กี่วันก็จริง แต่เงินทองของชาติที่ใช้ไปในการนั้น
ได้สิ้นเปลืองนับพันล้าน แถมยังมีกรณีน่าสลดใจ
เพราะมีการทิ้งระเบิดผิดพลาดของฝ่ายเราเอง ทำให้ทหารไทยที่ถึงคราวเคราะห์
ตายไปอีก...หลายร้อยศพ!
ความเสียหายอื่นยังมีให้เห็นอีก
เพราะเครื่องบินเรายังถูกยิงตก มีทั้ง เอฟ 5 อี และ โอวี 10
แถมนักบิน 3 นาย ยังถูกฝ่ายลาวจับเป็นเชลยอีกด้วย

นายพลอย่าง บิ๊กจิ๋ว เจ้าของฉายา “ขงเบ้งเมืองไทย” กลายเป็น “ขงบูด”
(แทบจะเป็น “ขงบ้า” ด้วยซ้ำ) ต้องบินไปเมืองลาวอย่างน่าสงสาร
และน่าอับอาย
เพราะต้องไปขอจูบปากกับผู้นำของเขา ขอญาติดีด้วย เรื่องราวก็สงบลงไปได้
แต่คนไทยรู้หรือเปล่าว่า...
ที่เมืองลาวนั้น เขาจัดฉลอง “วันรบชนะไทย” ในนครเวียงจันทน์กันใหญ่โตมโหฬาร
ครึกครื้นกันไปทั้งเมือง!
ฉะนั้น ต้องบอกกันตรงไปตรงมาว่า...
คนที่เป็นนายทหาร จะพูดจาไม่ว่าการให้สัมภาษณ์
หรือพูดในที่สาธารณะ ทำให้กลายเป็นชนวนก่อศึก ชาติที่เขากระทบกระเทือน
ก็จะบันทึกเอาไว้เป็นหลักเป็นฐานโดยละเอียด จึงน่าจะใคร่ครวญให้มากๆ
เพราะไม่ว่า ‘นายพลบุญสร้าง’ จะไปพูดที่ไหน พูดว่าอย่างไร
เขาบันทึกไว้หมด!

นอกจากมีนายพลขึ้นเวทีให้คนด่าเล่นแล้ว
ส่วนตัวผมก็ยังเห็นว่า แม้ ผบ.สูงสุด คนนี้มีพฤติกรรมพูดจาอวดภูมิ
ทำเป็นพระเอก แต่สวนทางกับรัฐบาลตลอดมาอย่างสม่ำเสมอ
ในกรณีปราสาทเขาพระวิหารนี่ก็เหมือนกัน
เจ้ากรมแผนที่ ซึ่งเป็นฝ่ายทหารที่ไปดำเนินการร่วมกับฝ่ายรัฐบาล
พร้อมกับหน่วยงานความมั่นคง และกระทรวงการต่างประเทศ
ก็สังกัดกองบัญชาการทหารสูงสุด ที่ตัวเองเป็นผู้บังคับบัญชาอยู่ แล้ว
นายพลบุญสร้างจะมาทำเป็นไม่รับรู้ได้อย่างไรกัน?
การที่รัฐบาลไปจัดการเรื่องมรดกโลก
ก็ทำไปด้วยความระมัดระวังรอบคอบ
เหมือนอย่างที่ชาติของเราได้เคยทำกันมาทุกครั้งทุกครา
เพียงแต่เรื่องการขัดรัฐธรรมนูญนั้น
บังเอิญมันเป็นเรื่องใหม่ ที่ไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน
ก็แค่นั้นเอง...ไม่มีอะไรนักหนาเลยจริงๆ
อย่าไปใส่ใจอะไรกับฝ่ายค้านดักดานของตามาร์ค
ก็ขนาดหม่อมเสนีย์ อดีตหัวหน้าพรรค
ทนายที่ว่าความเรื่องเขาพระวิหารเองแท้ๆ บุญพาวาสนาส่ง ไ
ด้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ตะแกก็ไม่เคยคิดจะทวงคืนจากเขมรเลย
เพราะแกรู้ดีว่าปราสาทมันเป็นของเขา ไม่ใช่ของเรา
อย่าว่าแต่เรื่องทวง
แม้จะพูดถึงยังไม่เคยพูดถึงเลย ไปตรวจหลักฐานดูได้
แม้แต่ “ตาชวน” ขึ้นเป็นนายกฯ แกก็ไม่เคยทวงเหมือนกัน...ไม่เชื่อไปถามดู!

การที่หน่วยราชการสมัครสมานสามัคคี ร่วมกันทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง
ก็เป็นปฏิบัติการ เหมือนกับแนวทางที่เราเคยปฏิบัติมา
หรือต้องเจรจาต้าอ่วยกับต่างประเทศในเรื่องแบบนี้นั้น ทุกรัฐบาล
ก็ต้องใช้องคาพยพทั้งมวล ของส่วนราชการที่เรามีอยู่ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ
ผลออกมาใครจะว่ามีอะไรเสียหายนั้น ก็ต้องแล้วแต่จะคิด
สำหรับผมเองนั้น ในเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร
ก็ดูแล้วดูอีก ทั้งเอกสารภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ก็เห็นว่า
รัฐบาลนั้น...ทำถูกต้องแล้ว!
ที่พูดอย่างนี้ อาจเห็นแย้งกับท่านอื่น ก็ไม่ว่ากัน เพราะหากเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง คือ
ถ้าอยู่ในฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศ เช่นเดียวกับ คุณนพดล ปัทมะ รับรองว่า
ผมจะต้องทำ...อย่างเดียวกัน!!

ดังนั้น การที่นายพลบุญสร้าง
ในฐานะ ผบ.สูงสุด ออกมาจัดการสัมมนาหาข้อยุติ
หรือข้อสรุปในเรื่องเขาพระวิหาร เป็นการจัดการหลังเหตุการณ์ยุติลงแล้ว
ประโยชน์โพดผลอะไรก็มีน้อย แถมยังมีข้อเสนอสะเหร่อๆ
อย่างกรณีให้ “ล้อมรั้ว” ตัวปราสาทเขาพระวิหารนั้น...
ฟังแล้ว “ไม่เข้าท่า” เลยจริงๆ!
ยังดีอยู่หน่อย เพราะเมื่อไม่กี่วันมานี้
ผมฟังวิทยุรายการหนึ่งเสนอคล้ายๆ กัน บอกให้สร้างกำแพง
แบบกำแพงเบอร์ลินกั้นสูงเอาไว้ ใครจะแหงนคอจนแทบหลุดจากที่ตั้งบนบ่า
ก็มองไม่เห็นปราสาทเขาพระวิหาร
ดูสิ...คิดบ้าๆ กันได้ถึงขนาดนี้!
ถ้าเกิดอุณหภูมิของสองชาติ คือไทยเรากับเพื่อนบ้าน
ซึ่งถูกปลุกปั่นกันอย่างทุกวันนี้ จนร้อนจัดปรอทแตก
เป็นเหตุให้เราต้องโจนเข้าสู่สถานการณ์รบ
หรือมีศึกสงครามต่อกัน ก็อยากให้ นายพลบุญสร้างลองสำรวจดูหรือยังว่า
- กำลังรบของกองทัพไทย ว่าอยู่ใน “สภาพพร้อมรบ” สักกี่กองพลกัน?
- รบกันแล้ว จะเป็น “ผลดี” กับชาติบ้านเมืองอย่างไร?
ขอบอกว่า ผมมีข้อมูลพวกนี้ จึงขอให้ใช้กบาลคิดกันหนักๆ อย่าโง่กันนักเลย!

สำหรับหน่วยในบังคับบัญชาของ พล.อ.บุญสร้าง ต้องขอย้อนไปไม่ไกลนัก
ยังจำได้หรือเปล่าว่า เมื่อต้นปี พ.ศ.2547 หน่วยงานในกำกับ
ดูแลของนายพลบุญสร้างเองคือ กองพันทหารพัฒนาที่ภาคใต้
ได้ถูกผู้ก่อความไม่สงบปล้นค่ายแบบ...
“ยกกองพัน” ...น่าอับอายเป็นที่สุด!

ผมเคยเขียนเรื่องนี้เอาไว้ เมื่อครั้งอยู่ค่ายผู้จัดการ
และได้เล่าให้ผู้อ่านฟังว่า เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ตั้งแต่พระปฐมบรมกษัตริย์ของชาวไทย
ได้ทรงตั้งพระบรมราชจักรีวงศ์ สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์
ค่ายทหารไทยเรา โดน “ตีแตก” ในแผ่นดินของตัวเอง!!
น่าเสียใจมากยิ่งขึ้นตรงที่ ไม่ได้เกิดจากฝีมือของทหารชาติอื่น
หากแต่ถูกผู้ก่อการร้าย ที่เป็นคนในบ้านเราเองแท้ๆ ไม่ใช่ทหารที่ไหน
แต่เป็นชาวบ้านธรรมดาๆ ได้รับการฝึกปรือเพียงเล็กน้อย แบบงูๆ ปลาๆ แท้ๆ
แต่พวกนี้ก็ยังสามารถรุกเข้าตี
จนฝ่ายทหารไทยแตกยับย่อยถอยร่น ทิ้งค่าย
กระเสือกกระสนหนีตายเอาตัวรอด แบบตัวใครตัวมัน
ส่วนที่เหลือก็ต้องยอมจำนนทั้งค่าย
นายทหารอย่างนายพลบุญสร้าง จะอายหรือไม่?
ก็ไม่รู้ แต่ถ้าไม่อาย
ผมขออายแทนแก...ก็แล้วกัน!!!

ฉะนั้น แม้จะมีตำแหน่งสูง แต่ก็อย่ามาทำปากเก่งให้มากนัก
เพราะการกระทำของท่านที่ปรากฏต่อสาธารณะ
นอกจากไม่ได้ช่วยเหลืออะไรชาติบ้านเมืองแล้ว
ยังสร้างความขัดแย้งขึ้นมาด้วยซ้ำ
เหมือนการ “เสี้ยม” ให้เกิดความแตกร้าวขึ้นในประเทศ
ใครที่อ่านข้อเขียนนี้ เกิดเห็นคล้อยตามผม และมีอารมณ์ขึ้นมา
ไม่เรียกท่านว่า “บุญสร้าง”
แต่ไพล่ไปเรียกเป็น “บุญเสี้ยม” หรือ “บุญแสบ” แทน ก็จะขัดใจกันเท่านั้น...

ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ
วันนี้ ผมเอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่อีกครั้ง เมื่อท่านผู้อ่านที่เคารพได้อ่านแล้ว
โปรดใช้วิจารณญาณเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ปัจจุบัน ว่า
มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร?
แต่อยากบอก สักนิดว่า...
นายมาร์ค มุกควาย เมื่อครั้งเป็นฝ่ายค้าน ร่วมกับกลุ่มพันธมิตร
ใช้ประเด็นปราสาทเขาพระวิหาร เป็นเครื่องถล่มรัฐบาลของคุณสมัคร สุนทรเวช
มาถึงวันนี้ กลุ่มพันธมิตร ใช้ประเด็นเดียวกัน
ย้อนกลับมาเป็นเครื่องมือ ถล่มรัฐบาลโลซกของนายกฯมุกควายเข้าให้บ้าง
ที่สะพานมัฆวานวันนี้
กลุ่มพันธมิตรซึ่งเคยร่วมหัวจมท้าย และรักกันดูดดื่มมาก่อนกับพรรคประชาธิเปรต
กลับออกมาเป็นฝ่ายกล่าวหา และปราศรัยถลกหนังพรรคดักดาน
ให้เห็นความอัปรีย์ของพรรคนี้ ในเรื่องการทุจริตฉ้อฉล
ทั้งในปัจจุบันและในอดีต รวมทั้งความประพฤติที่เบี่ยงเบนของนายมาร์ค มุกควาย
และพฤติกรรมตอแหล พูดจาโกหกไม่อยู่กับร่องรอย
ชนิด ‘นาธาน’ ยังต้องเรียก ‘พี่’!
ไม่เว้นแม้แต่เรื่องเก่าของโฆษกส่วนตัวนายมาร์ค
ที่ตอนนี้ผู้คนเขาเรียกด้วยความขบขันว่า
“ไอ้เทพไท ผีลูกถ้วย!”
แม้ประชาชนจะเดือดร้อนเพราะการจราจร
เพราะการชุมนุมของพันธมิตร แต่พอถึงตอนค่ำผู้คนหูก็ผึ่ง คอยฟังว่า
วันนี้จะมีเรื่องความจังไรของประชาธิเปรต ออกมาอีกกี่เรื่อง กี่ชุด ก็ครึกครื้นดี
ดังนั้น ชุมนุมกันต่อไปอีกสัก 365 วัน ก็คงจะวิเศษ!

[Image: f16.jpg.gif]

การรบกับเขมรครั้งนี้
ยังความสูญเสียซึ่งชีวิตของทั้งราษฎรและทหาร
รวมถึงทรัพย์สินเสียหายมากมาย
พี่น้องประชาชนนับหมื่น ต้องอพยพในประเทศของตัวเอง
น่าอนาถนัก!
อีกทั้งสถานการณ์ยังโดนตอกย้ำ
ด้วยการตกของเครื่องบิน F 16 อีกสองลำ
ในระหว่างที่ควันสงครามกรุ่นอยู่นั้น ทำให้ราษฎรเสียขวัญ พากันลือว่า...
สงสัยจะไปซื้อของ ‘เชียงกง’ อเมริกันมาใช้
แบบเดียวกับไอ้เรือเหาะที่ดันเหาะไม่ได้ ใช่หรือเปล่า?
ยิ่งเข้าทาง “ฮุนเซน” เลย!!

เผลอๆ เขมรหัวใสอย่างฮุนเซน
จะถึงฉกฉวยโอกาสงามๆอย่างนี่ ชิงพื้นที่โฆษณาตัวเอง
จัดฉลอง “วันรบชนะไทย” ขึ้นในกรุงพนมเปญ
เหมือนกับลาวที่จัดเป็นงานใหญ่โต ในนครเวียงจันทร์!
ตกลงเรา ‘แพ้สงคราม’ ชาติเพื่อนบ้านเกือบหมดแล้ว
ทั้งพม่า ลาว เขมร ขาดแต่มาเลเซีย เพราะยังไม่ได้รบกันเท่านั้น!!

โดนประเทศต่างๆเยาะเย้ยว่า เป็นชาติ ‘ขี้แพ้’ มันปวดทั้งหัวใจ...และไข่ดัน นะครับ!!!

...................

หมายเหตุ มีแฟนคอลัมน์แนะนำผม ขอให้พวกเราคนไทยช่วยกันแช่งให้
“ไอ้รัฐบาลโลซก มันตกเหมือน F 16 บ้าง!”

ท่านผู้อ่านล่ะครับ คิดอย่างไร?

(คอลัมน์ เขมรจะจัดฉลอง “วันรบชนะไทย” ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2554)

http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=280

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น