วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554


ไทยท้วงยึดโบอิ้งพระบรมฯผิดใหญ่หลวง
เยอรมันเสียใจทำระคายเคืองแต่คืนหรือไม่ให้ศาลชี้ขาด

ทางการเยอรมนีปิดหมายยึดเครื่องบินโบอิ้ง737ลำหนึ่งซึ่งอ้างว่าเป็นของบุคคลชั้นนำระดับสูงของไทยที่สนามบินมิวนิค ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยท้วงว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงของเยอรมัน (ภาพข่าว:AP)

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
14 กรกฎาคม 2554

อัพเดตวันที่16ก.ค.เยอรมนีเสียใจทำระคายเคือง แต่ยกให้ศาลตัดสินถอนอายัดเครื่องบินส่วนพระองค์

เอเจนซี - "กษิต" เข้าพบเจ้าหน้าที่รัฐบาลเยอรมนีเมื่อวันศุกร์(15) ในความพยายามโน้มน้าวขอถอนอายัดเครื่องส่วนพระองค์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทว่าไร้ผล โดยทางเบอร์ลินแสดงความเสียใจที่ก่อความระคายเคืองต่อพระองค์ แต่บอกว่าเรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับคำตัดสินของศาล

เจ้าหน้าที่บังคับคดีล้มละลายในเยอรมนี เข้ายึดโบอิ้ง737-400 เครื่องบินส่วนพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมารเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ ตามคำฟ้องของบริษัทเอกชนเยอรมนี เพื่อบังคับประเทศไทยจ่ายหนี้พร้อมค่าปรับอีกอันเกิดจากการล้มละลายของบริษัทที่ร่วมทุนทำโครงการทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ที่กิจการมีปัญหา

"เครื่องบินลำนี้ไม่ได้เป็นของรัฐบาลไทยแต่เป็นเครื่องบินส่วนพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ" นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีต่างประเทศบอกกับผู้สื่อข่าว พร้อมระบุว่าเจ้าหน้าที่จากกรุงเทพฯ พยายามชี้แจงเรื่องนี้ต่อศาลในมิวนิค"

"ผมหวังว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะไม่กัดเซาะความสัมพันธ์ระหว่างไทยและเยอรมนี" รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยกล่าว ทั้งนี้นายกษิต เดินทางไปเยอรมนีพร้อมกับกลุ่มของคณะทูตและนักกฎหมาย ในความพยายามแก้ไขในสิ่งที่เขาเรียกมันว่า "ความผิดพลาดอันใหญ่หลวง" ของฝ่ายชำระบัญชีเยอรมนี

อย่างไรก็ตามด้วยที่นายกุยโด เวสเตอร์เวลล์ รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนีอยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจในต่างแดน นายกษิตจึงเข้าพบกับนางคอร์นีเลีย เพียร์เพอร์ รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศแทน โดยเธอกล่าวแสดงความเสียใจที่ก่อความระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท แต่ระบุในถ้อยแถลงว่า "เวลานี้คดีอยู่ในมือของศาลเยอรมนี ที่มีความเป็นอิสระ"

ศาลเยอรมนีขอเอกสารกรรมสิทธิ์เครื่องบินส่วนพระองค์เพิ่ม

สื่อมวลชนรายงานเพิ่มเติมว่า ศาลเยอรมนีเลื่อนตัดสินคำขอถอนอายัดเครื่องบินส่วนพระองค์ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ พร้อมขอเอกสารกรรมสิทธิ์เครื่องบินเพิ่ม ด้าน “อภิสิทธิ์” คาดศาลนัดพิจารณา 18 ก.ค.นี้ ยันเดินหน้าปกป้องเกียรติยศ-ชื่อเสียงไทยเต็มที่ ระบุพร้อมปฏิบัติตามคำสั่งศาลหากคดีถึงที่สุด มั่นใจไม่กระทบความสัมพันธ์ชี้เป็นปัญหาของเอกชน

วันนี้ (16 ก.ค.) ความคืบหน้ากรณีเจ้าหน้าที่บังคับคดีล้มละลายในเยอรมนี ทำการยึดโบอิ้ง 737-400 ซึ่งเป็นเครื่องบินส่วนพระองค์ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ ตามคำฟ้องของบริษัทเอกชนเยอรมนี เพื่อบังคับประเทศไทยจ่ายหนี้พร้อมค่าปรับ อันเกิดจากการล้มละลายของบริษัทที่ร่วมทุนทำโครงการทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ที่กิจการมีปัญหานั้น

ล่าสุด นายเจษฎา กตเวทิน รองอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยภายหลังจากเมื่อวานนี้ ศาลเยอรมนีได้มีการไต่สวนนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ และคณะ ซึ่งได้เดินทางไปร่วมรับฟังการพิจารณา พร้อมกับยื่นเอกสารต่างๆ เพื่อเป็นการคัดค้านไปแล้วว่า ศาลเยอรมนีได้เลื่อนการตัดสินที่กำหนดไว้เมื่อวานนี้ออกไป และมีการขอเอกสารกรรมสิทธิ์ของเอกชนจากอัยการของฝ่ายไทยเพิ่มเติม เนื่องจากการแสดงเอกสารที่กองทัพอากาศได้ยื่นไปว่าได้ถวายเครื่องบินลำดังกล่าวไปเมื่อปี 2550 แสดงให้เห็นว่า การร้องขอของไทยได้รับการตอบรับที่ดี จนเป็นที่มาของการออกแถลงการณ์ขอโทษเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไปแล้ว

ขณะที่สื่อต่างประเทศรายงานว่า ศาลเยอรมนีได้มีการเลื่อนตัดสินเรื่องดังกล่าว หลังจากที่ไทยได้ยื่นเอกสารไปว่าเครื่องบินลำดังกล่าวไม่ใช่ทรัพย์สินของรัฐบาล แต่ยังไม่เพียงพอและต้องการเอกสารเพิ่ม จึงอาจจะมีการตัดสินในสัปดาห์หน้า แต่ไม่ได้ระบุวันที่

ด้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวก่อนเดินทางไปพักผ่อนช่วงวันหยุดที่ จ.ภูเก็ต ในเรื่องเดียวกันนี้ว่า เมื่อคืนวันที่ 15 ก.ค.หลังจากที่เรายื่นเรื่องให้ศาลเพิกถอนการอายัด ที่เดิมคิดว่าศาลจะสามารถตัดสินได้เลย แต่ปรากฏว่าฝ่ายบริษัทของเยอรมนีได้ไปยื่นเอกสารคัดค้าน ทำให้ศาลต้องพิจารณาเอกสารต่างๆ และนัดพิจารณาตัดสินในวันจันทร์ที่ 18 ก.ค. อย่างไรก็ตาม อัยการสูงสุดของเราได้ไปประจำอยู่ที่เยอรมนีแล้ว และวันนี้ตนได้สั่งการให้อธิบดีกรมขนส่งทางอากาศ เดินทางไปสมทบ เพื่อดูเอกสารของฝ่ายบริษัทเยอรมนีที่ยื่นคัดค้านเพื่อจะได้หักล้างกัน เข้าใจว่าเป็นการยื่นเอกสารข้อมูลเก่าในช่วงที่เครื่องบินลำดังกล่าวอยู่ในความดูแลของกองทัพอากาศ ซึ่งยังคาดว่าวันที่ 18 ก.ค. ศาลจะสามารถที่จะตัดสินได้

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ทางการเยอรมนีออกแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นการแสดงความเสียใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น บังเอิญเป็นเรื่องเอกชน และศาลทางการเขาไม่อาจก้าวล่วงได้ ขณะเดียวกัน ได้มีการช่วยอำนวยความสะดวกประสานงาน กับนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศตลอด ซึ่งพบกับ รมว.ต่างประเทศของเยอรมนีแล้ว รัฐบาลดำเนินการอย่างเต็มที่ เพราะเรื่องนี้เป็นการปกป้องเกียรติยศชื่อเสียงของประเทศไทยด้วย ในแก้ไขปัญหา สิ่งที่เขาดำเนินการไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ซึ่งตนยืนยันว่าคดียังไม่ถึงที่สุด และถ้าคดีถึงที่สุดเมื่อไหร่ประเทศไทยปฏิบัติตามคำพิพากษาอยู่แล้ว รัฐบาลไทยประเทศไทยไม่ได้หายไปไหน หรือหนีไปไหน ไม่มีความจำเป็นใดๆ ทั้งสิ้นเลย ที่จะต้องมาดำเนินการในลักษณะนี้

เมื่อถามว่า นายกฯ มั่นใจในหลักฐานที่ยื่นเพิ่มเติมหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เราได้แสดงชัดเจนว่าทะเบียนเครื่องบินที่เป็นเครื่องบินส่วนพระองค์ ซึ่งไม่น่าจะมีประเด็นอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เพียงแต่ว่าบริษัทไปเอาข้อมูลจากเว็บไซต์ที่มีรายชื่อเครื่องบินต่างๆ และอ้างว่าเครื่องบินลำดังกล่าว เป็นเครื่องของกองทัพอากาศ ซึ่งน่าจะเป็นข้อมูล เก่า

ต่อข้อถามว่า นายกฯ กังวลเรื่องจะกระทบความสัมพันธ์ไทย-เยอรมนีหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า อยากให้มีความชัดเจนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของเอกชน และรัฐบาลเยอรมนีไม่สามารถไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมได้ แต่ได้แสดงท่าทีออกแถลงการณ์ และได้ประสานงานกับรัฐบาลไทยตลอด ไม่มีเหตุผลใดที่จะมากระทบกับความสัมพันธ์ใดๆ ทั้งสิ้น แต่เอกชนรายดังกล่าวเป็นอีกเรื่องหนึ่งเราต้องมาพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรบ้างต่อการที่มาดำเนินการเรื่องนี้ เพราะศาลตัดสินเมื่อวันที่ 12 ก.ค. โดยไม่ได้ไต่สวนเป็นลักษณะคำขอเร่งด่วน และเราเพิ่งยื่นเอกสารเพิกถอนไปเมื่อวันที่ 13 ก.ค. แต่ทางบริษัทเพิ่งยื่นเอกสารก่อนศาลนัด 2 ชั่วโมง ทำให้ศาลต้องอ่านเอกสารของบริษัท เลยต้องเลื่อนไปตัดสินวันที่ 18 ก.ค.

ความผิดพลาดใหญ่หลวง

ก่อนนี้เมื่อวันที่15ก.ค.เวบไซต์ASTVผู้จัดการ รายงานข่าวเรื่อง “กษิต” แถลงทำหนังสือให้เยอรมนี ถอนอายัดเครื่องบินส่วนพระองค์เร็วที่สุด โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

กระทรวงการต่างประเทศ แถลงทำหนังสือถึง รมต.ต่างประเทศเยอรมนี ให้ถอนอายัดเครื่องบินส่วนพระองค์โดยเร็วที่สุด ระบุ การดำเนินการของเยอรมนีเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวง เพราะไม่ใช่ทรัพย์สินของรัฐบาล ขณะเดียวกัน ไม่อยากให้กระทบความสัมพันธ์ไทย-เยอรมนี ลั่น ไม่ให้ นายเวอร์เนอร์ ชไนเดอร์ จนท.ฝ่ายล้มละลายของบริษัท วอเตอร์บาวน์ เข้าประเทศไทยอีก

นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงกรณีที่บริษัท วอเตอร์บาวน์ ของเยอรมนี อายัดเครื่องบินโบอิง 737 ที่ท่าอากาศยานมิวนิก โดย นายกษิต ระบุว่า เยอรมนีดำเนินการอายัดเครื่องบิน ซึ่งไม่ใช่ทรัพย์สินของรัฐบาลไทย ถือเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง หลังจากที่ทราบข่าวว่า เยอรมนีได้อายัดเครื่องบินส่วนพระองค์ ในวันที่ 12 ก.ค.54 ทาง นายจริยวัฒน์ สันติบุตร เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ได้ประสานไปยังกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนีทันที และตนได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี ซึ่งขณะนี้มีภารกิจอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ก็ร้อนใจ และมีคำสั่งให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี โทรศัพท์ถึงตน โดยตนได้แจ้งว่า ในวันพรุ่งนี้ (15 ก.ค.) ตนและคณะ จะเดินทางไปยังกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี เพื่อเจรจามีเป้าหมายสูงสุดให้ถอนอายัดเครื่องบินส่วนพระองค์โดยเร็วที่สุด

นายกษิต กล่าวว่า ทางการไทยได้ยื่นเอกสารแสดงทะเบียนความเป็นเจ้าของเครื่องบินดังกล่าวไปยังเยอรมนีแล้ว และมีสำนักงานอัยการสูงสุดได้ร่วมดำเนินการทางกฎหมายให้กับฝ่ายไทย โดยขอยืนยันว่า เรื่องทั้งหมดไม่เกี่ยวกับพระองค์ แต่การดำเนินการของเยอรมนีเช่นนี้ เป็นความเป็นพลาดอย่างใหญ่หลวง และไม่อยากให้เป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่มีต่อความสัมพันธ์ไทย-เยอรมนี นอกจากนี้ ได้มีการรายงานต่อสำนักราชเลขาธิการ อย่างไรก็ตาม นายกษิต ประกาศ ไม่ให้ นายเวอร์เนอร์ ชไนเดอร์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายล้มละลายของบริษัท วอเตอร์บาวน์ เข้าประเทศไทยอีก

โดยก่อนหน้านี้ วันที่ 13 ก.ค. สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานอ้างคำพูดนายธานี ทองภักดี โฆษกกระทรวงต่างประเทศ ว่า การอายัดเครื่องบินลำดังกล่าว เป็นการเข้าใจผิดของทางการเยอรมนี ซึ่งคิดว่าเครื่องบินลำนี้เป็นทรัพย์สินของรัฐบาลไทย เพื่อใช้หนี้คดีฟ้องร้องโครงการสัมปทานดอนเมืองโทลล์เวย์

ทั้งนี้ นายเวอร์เนอร์ ชไนเดอร์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายคดีล้มละลายของบริษัทวอเตอร์บาวน์ บริษัทก่อสร้างสัญชาติเยอรมนี ได้อายัดเครื่องบินลำดังกล่าว เพื่อกดดันให้รัฐบาลไทยชำระหนี้สินจำนวน 42.3 ล้านดอลลาร์ โดยโฆษกของนายเวอร์เนอร์ กล่าวว่า การยึดเครื่องบินโบอิงลำดังกล่าว เป็นก้าวย่างสำคัญที่จะนำไปสู่การเจรจากันอีกครั้ง ขณะที่แถลงการณ์ของบริษัทระบุว่า ฝ่ายบริหารคดีล้มละลายตัดสินใจดำเนินการครั้งนี้ หลังจากรัฐบาลไทยเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องให้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าว

ที่ผ่านมา คณะกรรมการกฎหมายการค้าระหว่างประเทศของสหประชาชาติ ได้สั่งให้รัฐบาลไทยจ่ายเงินให้บริษัทวอเตอร์บาวน์กว่า 30 ล้านยูโร ฐานละเมิดกฎบัตรการลงทุนระหว่างเยอรมนีและไทย โดยคำสั่งดังกล่าวระบุว่า รัฐบาลไทยไม่ดำเนินการตามเงื่อนไขในการก่อสร้างโครงการทางยกระดับวิภาวดีรัง สิตหรือดอนเมืองโทลล์เวย์ ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างวอเตอร์บาวน์และบริษัทไทย


ก่อนหน้านี้เวบไซต์สำนักข่าวBBC นำเสนอข่าวเรื่อง เยอรมนีอายัดทรัพย์เครื่องบินเจ็ตของไทยของ(เซ็นเซอร์โดยไทยอีนิวส์)

ผู้บริหารหนี้ของเยอรมันนีได้อายัดทรัพย์เครื่องบินเจ็ทที่อ้างว่าเป็นเครื่องบินของบุคคลระดับสูงของไทย ในข้อพิพาทหนี้ที่ค้างชำระในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา

ผู้บริหารหนี้เยอรมนีกล่าวว่ารัฐบาลของประเทศไทยได้ปฏิเสธที่จะจ่ายเงินค่ามากกว่า 30 ล้านยูโร ( หรือ 43 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทยราว1,300ล้านบาท) ให้แก่บริษัทก่อสร้างที่เลิกกิจการไปแล้วของเยอรมัน

โบอิ้ง 737 ถูกยึดตามคำสั่งศาล และเป็นไปโดยชอบด้วยเหตุผล โฆษกของสนามบินมิวนิคกล่าว

กระทรวงการต่างประเทศของไทยกล่าวว่าการยึดดังกล่าวถือว่า"ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง"

"ทางการไทยได้แจ้งให้รัฐบาลเยอรมันรับทราบถึงความกังวลอย่างมากต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และมีการร้องขอให้แก้ไขปัญหาโดยเร็วที่สุด"นายธานี ทองภักดี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของไทยกล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์

แต่นายวอลเตอร์ ชไนเดอร์ ผู้บริหารของบริษัทก่อสร้างของเยอรมันซึ่งขณะนี้ล้มละลายกล่าวว่า"มาตรการที่รุนแรง"คือ"ขั้นตอนสุดท้ายแล้ว"

"รัฐบาลไทยมักจะล่าช้าและไม่ได้ตอบสนองความต้องการของเรา"เขากล่าวว่า

บริษัทเยอรมันรายนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่ช่วยในการสร้างถนนยกระดับเก็บเงินระหว่างกรุงเทพฯและสนามบินดอนเมือง

ทางการไทยเรียกร้องให้การตัดสินของศาลจะยังคงอยู่ระหว่างการพิจารณาเกี่ยวกับหนี้ที่มี แต่ทางการเยอรมันกล่าวว่าเรื่องดังกล่าวได้มีการตัดสินใจเป็นที่ยุติแล้ว

ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า บริษัทเยอรมันที่ล้มละลายนี้ชื่อ Dywidag ต่อมาถูกควบรวมกิจการโดยบริษัท Walter Bau AG

ทั้งนี้สำนักข่าวรอยเตอร์ได้ติดต่อสัมภาษณ์หน่วยงานทางราชการของไทยแห่งหนึ่งที่เกี่ยวข้อง แต่ได้รับการปฏิเสธจะให้ข่าวใดๆ และว่า กรณีดังกล่าวนี้เป็นเรื่องส่วนบุคคลไม่เกี่ยวกับหน่วยงาน

รัฐบาลจี้บัวแก้วเจรจาเยอรมนี ปมอายัดเครื่องบิน

เวบไซต์หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้รับรายงานจากกระทรวงการต่างประเทศ กรณีเครื่องบินสัญชาติไทยถูกรัฐบาลเยอรมนีอายัดที่ท่าอากาศยานมิวนิกแล้ว ขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศอยู่ระหว่างการประสานงาน เพื่อเจรจาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ขณะนี้รัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้แถลงความชัดเจนต่อไป

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานอ้างคำพูดนายธานี ทองภักดี โฆษกกระทรวงต่างประเทศ เมื่อวานนี้ (13 ก.ค.) ว่า กระทรวงต่างประเทศอยู่ระหว่างการประสานกับทางการเยอรมนี เพื่อขอให้ปล่อยเครื่องบินสัญชาติไทย ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่เยอรมนีอายัดขณะที่จอดในสนามบินมิวนิก เพื่อใช้หนี้คดีฟ้องร้องโครงการสัมปทานดอนเมืองโทลล์เวย์

นายธานี กล่าวว่า การอายัดเครื่องบินลำดังกล่าว เป็นการเข้าใจผิดของทางการเยอรมนี ซึ่งคิดว่าเครื่องบินลำนี้เป็นทรัพย์สินของรัฐบาลไทย กระทรวงการต่างประเทศจึงพยายามสร้างความเข้าใจกับรัฐบาลเยอรมนี โดยพยายามติดต่อประสานงานตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา ส่วนคดีที่อยู่ระหว่างการฟ้องร้องนั้น อยู่ในขั้นตอนการตัดสินใจยื่นอุทธรณ์

ทั้งนี้ นายเวอร์เนอร์ ชไนเดอร์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายคดีล้มละลายของบริษัทวอเตอร์บาวน์ บริษัทก่อสร้างสัญชาติเยอรมนี ได้อายัดเครื่องลำดังกล่าว ซึ่งเป็นเครื่องบินโบอิง 737 เพื่อกดดันให้รัฐบาลไทยชำระหนี้สินจำนวน 42.3 ล้านดอลลาร์ โดยโฆษกของนายเวอร์เนอร์ กล่าวว่า การยึดเครื่องบินโบอิงลำดังกล่าว เป็นก้าวย่างสำคัญที่จะนำไปสู่การเจรจากันอีกครั้ง ขณะที่แถลงการณ์ของบริษัทระบุว่า ฝ่ายบริหารคดีล้มละลายตัดสินใจดำเนินการครั้งนี้ หลังจากรัฐบาลไทยเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องให้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าว

ที่ผ่านมา คณะกรรมการกฎหมายการค้าระหว่างประเทศของสหประชาชาติ ได้สั่งให้รัฐบาลไทยจ่ายเงินให้บริษัทวอเตอร์บาวน์กว่า 30 ล้านยูโร ฐานละเมิดกฎบัตรการลงทุนระหว่างเยอรมนีและไทย โดยคำสั่งดังกล่าวระบุว่า รัฐบาลไทยไม่ดำเนินการตามเงื่อนไขในการก่อสร้างโครงการทางยกระดับวิภาวดีรังสิตหรือดอนเมืองโทลล์เวย์ ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างวอเตอร์บาวน์และบริษัทไทย

กรมทางหลวงยันคดียังไม่สิ้นสุด

ด้าน นายวีระ เรืองสุขศรีวงศ์ อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาวอเตอร์บาวน์ ซึ่งเป็นอดีตผู้ถือหุ้นในบริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ผู้รับสัมปทานโครงการดอนเมืองโทลล์เวย์ ได้ยื่นฟ้องรัฐบาลไทยที่ศาลในนครนิวยอร์ก โดยในเบื้องต้นศาลตัดสินให้รัฐบาลไทยเป็นฝ่ายแพ้ และให้จ่ายค่าชดเชยแก่บริษัทในวงเงินประมาณ 29 ล้านยูโร แต่รัฐบาลไทยโดยสำนักงานอัยการสูงสุดได้ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งปัจจุบันขั้นตอนการอุทธรณ์ยังไม่สิ้นสุด จึงไม่น่าจะมีสิทธิอายัดทรัพย์สินใดๆ ของรัฐบาลไทย

นายสมบัติ พานิชชีวะ ประธานกรรมการ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วอเตอร์บาวน์ฟ้องรัฐบาลไทย ในฐานะนักลงทุนชาวเยอรมนีที่เข้ามาประกอบธุรกิจในไทย โดยก่อนหน้านี้วอเตอร์บาวน์เคยถือหุ้นในบริษัทประมาณ 9% แต่ภายหลังตนได้ซื้อหุ้นจำนวนดังกล่าวแล้ว และปัจจุบันวอเตอร์บาวน์ไม่มีสัดส่วนหุ้นใดๆ ในบริษัท อีกทั้งการฟ้องร้องระหว่างวอเตอร์บาวน์กับรัฐบาลไทยไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทเช่นกัน โดยวอเตอร์บาวน์ เห็นว่ารัฐบาลไทยทำผิดสัญญาในหลายประเด็น ส่งผลให้บริษัทได้รับความเสียหายจากการลงทุน จึงยื่นฟ้องรัฐบาลไทย

อ้างกฎหมายคุ้มครองลงทุนต่างแดนฯ

แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า วอเตอร์บาวน์เป็นอดีตผู้ถือหุ้นในบริษัท ทางยกระดับดอนเมือง ซึ่งได้รับสัมปทานจากกรมทางหลวงให้ดำเนินโครงการดอนเมืองโทลล์เวย์ เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรบนถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งมีปัญหาการจราจรแออัด และยังเป็นเส้นทางสู่ท่าอากาศยานหลักของไทยในขณะนั้น แต่ต่อมารัฐบาลได้อนุมัติให้ก่อสร้างโครงการอื่นๆเพิ่มเติม เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจร เช่น โครงการถนนเลียบทางรถไฟ หรือ โลคอลโรด โครงการทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด โครงการทางหลวงวงแหวนด้านตะวันออก โดยการก่อสร้างโครงการเหล่านี้ ส่งผลให้รายได้ค่าผ่านทางของบริษัทไม่เป็นไปตามเป้าหมาย อีกทั้งรัฐบาลยังไม่อนุมัติให้บริษัทปรับขึ้นค่าผ่านทางตามสัญญาสัมปทาน รวมทั้งให้ลดค่าผ่านทางเหลือ 20 บาทตลอดสาย

ที่ผ่านมา บริษัทได้เจรจากับกรมทางหลวง เพื่อหาแนวทางชดเชยรายได้ที่ลดลงจากการที่รัฐบาลไม่ดำเนินการตามสัญญา ในที่สุดกรมทางหลวงได้ขยายอายุสัมปทานให้บริษัท 2 ครั้ง ล่าสุดสัญญาสัมปทานจะสิ้นสุดในปี 2577 หรือเพิ่มขึ้นอีก 20 ปี จากครั้งแรกที่สัญญาจะสิ้นสุดในปี 2557 บริษัทตกลงว่าจะยุติการฟ้องร้องที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมานายสมบัติ ได้ซื้อหุ้นจำนวนดังกล่าวจากวอเตอร์บาวน์เรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตาม วอเตอร์บาวน์เห็นว่า การไม่ปฏิบัติตามสัญญาสัมปทานของรัฐบาลไทย ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างโครงการต่างๆ รวมทั้งการไม่อนุมัติให้ปรับขึ้นค่าผ่านทาง ส่งผลให้บริษัทได้รับความเสียหาย จึงยื่นฟ้องรัฐบาลไทยในช่วงปี 2549 โดยเป็นการฟ้องในฐานะนักลงทุนเยอรมนี ซึ่งใช้สิทธิตามสนธิสัญญาว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนต่างตอบแทน ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี พ.ศ. 2545

"แม้ว่า วอเตอร์บาวน์ จะพ้นจากการถือหุ้นในบริษัททางยกระดับฯ ไปแล้ว แต่การฟ้องร้องที่เกิดขึ้น เป็นการฟ้องในฐานะที่ได้รับความเสียหายในช่วงที่ลงทุน ซึ่งกระทรวงคมนาคม เห็นว่าบริษัทไม่ได้เป็นคู่สัญญาสัมปทานของรัฐโดยตรง เป็นเพียงผู้ถือหุ้นในบริษัทที่มารับสัมปทานจากรัฐเท่านั้น จึงไม่น่ามีสิทธิฟ้องรัฐบาลไทย และปัจจุบันการฟ้องร้องยังไม่สิ้นสุด เพราะอยู่ในขั้นตอนการอุทธรณ์" แหล่งข่าวกล่าว

ที่มาของปัญหาในทางลึกกรณีนี้

ทางด้านประชาไท รายงานข่าวเรื่อง อายัด ‘โบอิ้ง 737’ ที่มิวนิค อ้างทวงหนี้ดอนเมืองโทลล์เวย์ ว่า ในวันที่ 13 กรกฎาคม สื่อและสำนักข่าวต่างประเทศหลายสำนัก อาทิ บีบีซี รอยเตอร์ นิวยอร์กไทมส์ รายงานข่าวเกี่ยวกับเครื่องบินโบอิ้ง 737 ของกองทัพอากาศไทยถูกอายัดที่สนามบินมิวนิค โดยเจ้าหน้าที่เร่งรัดหนี้สินของบริษัทสัญชาติเยอรมัน วอลเตอร์ บาว (Walter Bau AG)

ทั้งนี้รายงานของ ‘แอนดรูว์ แมกเกรเกอร์ มาร์แชล’ ให้รายละเอียดว่าเครื่องบินลำดังกล่าวถูกอายัดเนื่องมาจากข้อเรียกร้องทางการเงินที่มีต่อรัฐไทย โดยเจ้าหน้าที่เร่งรัดหนี้ของบริษัทในเยอรมันเมื่อวันอังคาร (12 ก.ค.) ที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่ามาจากความพยายามเร่งรัดการทวงหนี้ในส่วนของบริษัทวอลเตอร์ บาว ซึ่งถือหุ้นจำนวน 10 เปอร์เซ็นต์ ในบริษัททางยกระดับดอนเมือง ซึ่งสร้างและดำเนินการทางด่วนยกระดับจากตัวเมืองกรุงเทพฯ เชื่อมต่อสนามบินดอนเมือง และต่อมาบริษัทวอลเตอร์ บาวล้มละลายในปี 2548 เจ้าหน้าที่จึงพยายามเร่งรัดหนี้ดังกล่าวให้กับเจ้าหนี้ โดยการเรียกร้องสินไหมต่อประเทศไทย สืบเนื่องจากการเปลี่ยนเงื่อนไขของข้อสัญญาในการสร้างทางด่วนและการปฏิเสธการขึ้นค่าทางด่วนในปี 2547 ในสมัยอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถูกอ้างว่าเป็นสาเหตุให้ทำให้โครงการดังกล่าวขาดทุน

ในปี 2552 คณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศมีคำสั่งให้ประเทศไทยจ่ายเงินจำนวน 29.2 ล้านยูโรเป็นค่าชดเชย พร้อมค่าปรับ 1.98 ล้านยูโรเป็นค่าละเมิดสัญญา (การตัดสินใจและความเป็นมาที่เป็นปัญหาของโครงการทางยกระดับสนามบินดอนเมือง สามารถอ่านได้ที่นี่) ซึ่งรัฐบาลไทย โดยนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ยอมรับผลการตัดสินดังกล่าว และตัดสินใจสู้คดี โดยตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อพิจารณาปัญหาดังกล่าว ซึ่งรายงานของ ‘แอนดรูว์ แมกเกรเกอร์ มาร์แชล’ ระบุว่า “เพื่อฝังกลบประเด็นดังกล่าวด้วยระบบราชการที่ยืดยาดและไม่มีวันจบสิ้น”

รายงานของอดีตผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ผู้นี้ระบุว่า เหตุพิพาทดังกล่าวและคำสั่งให้รัฐบาลไทยจ่ายเงินค่าชดเชยโดยคณะอนุญาโตตุลาการ เป็นเหตุให้ผู้ตรวจการทางการเงินของเอาส์เบอร์ก (Ausburg) แวร์เนอร์ ชไนเดอร์ (Werner Schneider) ซึ่งดูแลเรื่องการล้มละลายของวอลเตอร์ บาว ตัดสินใจทำการอายัดเครื่องบินลำดังกล่าวเพื่อเป็นมาตรการบังคับให้ประเทศไทยจ่ายหนี้ที่ค้างชำระ

ทั้งนี้ รายงานข่าวเกี่ยวกับเครื่องบินโบอิ้ง 737 ของกองทัพอากาศไทยถูกอายัดที่สนามบินมิวนิค ถูกนำเสนอในหน้าหนึ่งของเว็บไซต์สำนักข่าวต่างประเทศชื่อดังหลายแห่ง โดยระบุด้วยว่า เครื่องบินลำดังกล่าวเป็นเครื่องบินโบอิ้ง 737 ที่(เซ็นเซอร์โดยไทยอีนิวส์) และย้ำว่าหนี้ดังกล่าวนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับ(เซ็นเซอร์โดยไทยอีนิวส์) แต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม นิวยอร์กไทม์ รายงานคำสัมภาษณ์ของนายธานี ทองภักดี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศซึ่งยอมรับว่า มีการอายัด(เซ็นเซอร์โดยไทยอีนิวส์) แต่(เซ็นเซอร์โดยไทยอีนิวส์) ดังกล่าวเป็นของ(เซ็นเซอร์โดยไทยอีนิวส์) ไม่ใช่ของรัฐบาลไทยตามที่สื่อมวลชนเข้าใจ และการกระทำครั้งนี้ถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น