วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554


คนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยสองแนวรบ สองกองทัพ!

คนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยสองแนวรบ สองกองทัพ!
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ วันสุข
         ปีที่ 7 ฉบับที่ 324 ประจำวัน จันทร์ ที่ 22 สิงหาคม 2011
         โดย รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์

1.เผด็จการมุ่งตอกลิ่มคนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทย

การที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 จน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรี สามารถจัดตั้งคณะรัฐบาลผสมสำเร็จถือเป็นชัยชนะทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่งของฝ่ายประชาธิปไตย และเป็นการถดถอยที่เกินความคาดหมายของฝ่ายเผด็จการ

ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้นอกจากอาศัยพลังการนำที่ขาดเสียมิได้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้ว ที่สำคัญยังเป็นผลมาจากการทำงานอย่างหนักของคนเสื้อแดงหลายล้านคนทั่วประเทศที่เคลื่อนไหวรณรงค์สนับสนุนพรรคเพื่อไทยอย่างทุ่มเทชีวิต

ฝ่ายเผด็จการตระหนักแล้วว่าแนวร่วมคนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยคือปัจจัยชี้ขาดที่ทำให้พรรคเพื่อไทยฆ่าไม่ตาย ทำลายไม่หมด ตราบใดที่แนวร่วมนี้ยังคงอยู่และเข้มแข็ง ฝ่ายเผด็จการจะไม่มีวันได้ชัยชนะในเวทีการเลือกตั้งภายใต้เสื้อคลุมรัฐสภา

ฉะนั้นยุทธศาสตร์ประการหนึ่งของฝ่ายเผด็จการในการทำลายขบวนประชาธิปไตยคือ ต้องทำลายแนวร่วมคนเสื้อแดง-พรรคเพื่อไทย

ในระหว่างการคัดสรรบุคคลเข้าสู่ฝ่ายบริหารได้มีความสับสนถึงบทบาทของขบวนการเสื้อแดง แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กับพรรคเพื่อไทย เกิดการถกเถียงและเกิดความเข้าใจผิดในหมู่คนเสื้อแดงและแกนนำ นปช. บางคนที่มีต่อพรรคเพื่อไทย เปิดช่องให้ฝ่ายเผด็จการใช้สื่อมวลชนในมือและสายลับบนสื่อออนไลน์ปล่อยข่าวลือ สร้างข่าวเท็จ ยุแหย่ตอกลิ่มเพื่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างคนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทย

ในการนี้คนเสื้อแดงต้องหนักแน่น มีสติ ยึดภาพรวมทั้งหมดของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเป็นที่ตั้ง มองทะลุภาพลวงตาของการเลือกตั้งและเสื้อคลุมรัฐสภาให้เห็นถึงเนื้อในที่ยังเป็นระบอบเผด็จการปัจจุบัน มุ่งหน้าไปให้ถึงเป้าหมายประชาธิปไตยที่แท้จริงในขั้นสุดท้าย จะต้องไม่ตกเป็นเหยื่อการยุแหย่และสงครามจิตวิทยาของฝ่ายเผด็จการอย่างเด็ดขาด

คนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยนั้นต้องการซึ่งกันและกัน ขาดจากกันมิได้ในการต่อสู้เพื่อไปบรรลุประชาธิปไตย พรรคเพื่อไทยที่ปราศจากคนเสื้อแดงจะแพ้เลือกตั้ง จะถูกกระบวนการตุลาการและอำนาจทหารทำลายได้โดยง่าย

ส่วนคนเสื้อแดงที่ปราศจากพรรคเพื่อไทยจะอ่อนแอ ไม่มีที่ยืนในการเมืองระดับชาติและระดับท้องถิ่น ไม่มีกำลังที่จะต่อกรกับเผด็จการในแนวรบรัฐสภาและสนามเลือกตั้ง ไม่มีอาวุธในมือใดๆที่จะสกัดอำนาจในระบบของฝ่ายเผด็จการ ความแตกแยกระหว่างคนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยคือความพ่ายแพ้ของขบวนประชาธิปไตย

2.พรรคเพื่อไทย

พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองภายใต้กฎหมายและรัฐธรรมนูญ 2550 ที่เป็นระบอบเผด็จการแฝงเร้นของพวกจารีตนิยม พรรคเพื่อไทยจึงถูกจำกัดขอบเขตและมัดมือมัดเท้าทั้งในด้านกิจกรรม การเคลื่อนไหว และตัวบุคคลด้วยโซ่ตรวนทางกฎหมายของพวกเผด็จการ ถึงกระนั้นสนามรบการเลือกตั้งก็เป็นการต่อสู้ที่สำคัญเชิงยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายประชาธิปไตยมีจุดแข็งและมีโอกาสชนะได้มากที่สุด อีกทั้งเป็นสนามรบที่ฝ่ายเผด็จการจะต้องเผชิญอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ไม่ช้าก็เร็ว เว้นแต่จะหันไปก่อรัฐประหารและปกครองด้วยเผด็จการที่เปิดเผยยาวนาน
ในแนวรบการเลือกตั้ง หน้าที่ของพรรคเพื่อไทยคือต้องชนะเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงมากที่สุดจึงจะสามารถจัดตั้งคณะรัฐบาลได้ ในการนี้พรรคเพื่อไทยต้องโน้มน้าวจูงใจคนจำนวนมากให้หันมาลงคะแนนเสียง ในสภาวะปัจจุบันคนเสื้อแดงยังไม่ใช่คนส่วนใหญ่ของประเทศ ลำพังแต่คะแนนเสียงของคนเสื้อแดงนั้นไม่พอจะทำให้พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งได้ ยังต้องอาศัยคะแนนเสียงของประชาชนจำนวนมากที่มิใช่คนเสื้อแดงแต่มีจิตใจที่เป็นธรรม หรือประชาชนทั่วไปที่เบื่อหน่ายความล้มเหลวในการบริหารงานของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ และคาดหวังการแก้ปัญหาของประเทศจากพรรคเพื่อไทย

ฉะนั้นในการหาเสียงเลือกตั้ง การออกแบบนโยบาย ไปจนถึงการจัดตั้งคณะรัฐบาล และการคัดสรรรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยจึงต้องคำนึงถึงคะแนนเสียงทั้งหมด มิใช่คะแนนเสียงของคนเสื้อแดงเท่านั้น และรัฐบาลที่จัดตั้งโดยพรรคเพื่อไทยต้องเป็น “รัฐบาลของคนไทยทุกหมู่เหล่า” ที่มุ่งบริหารงานเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนทั้งประเทศ

ภารกิจของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยจึงเป็นการเดินนโยบายสองขา คือด้านหนึ่งบริหารประเทศ แก้ปัญหาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าของประชาชนอย่างรีบด่วนและได้ผล เพื่อรักษาความเชื่อมั่นและเพิ่มความนิยมในหมู่ประชาชนส่วนข้างมาก ยึดกุมชัยชนะในสนามรบการเลือกตั้งไว้ให้มั่นเพื่อสู้กับฝ่ายเผด็จการในระยะยาวต่อไป

อีกด้านหนึ่งต้องดำเนินการต่อสู้ทางประชาธิปไตย เสริมความเข้มแข็งให้กับขบวนการเสื้อแดง เพื่อเป็นอาวุธในการรับมือและตอบโต้การรุกทำลายของฝ่ายเผด็จการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ในการนี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยต้องดำเนินมาตรการรูปธรรมหลายประการ ได้แก่ การปลดปล่อยคนเสื้อแดงหลายร้อยคนที่ถูกคุมขังอยู่ทั่วประเทศ การชดเชยและเยียวยาแก่ประชาชนที่เสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุการณ์เมษายน-พฤษภาคม 2553 ดำเนินการสอบสวนเปิดเผยความจริงทั้งหมดที่เกี่ยวกับการสังหารหมู่ประชาชนในครั้งนั้น นำเอาผู้สั่งการฆ่าประชาชนมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม

ที่สำคัญคือเริ่มต้นขั้นตอนการปฏิรูปรัฐธรรมนูญเพื่อขจัดเผด็จการ สร้างประชาธิปไตยที่ “อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎรทั้งหลาย”

แต่ในการปฏิรูปรัฐธรรมนูญนั้นรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมิอาจกระทำได้แต่ลำพัง แม้จะชนะเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ แต่คะแนนเสียงในรัฐสภายังก้ำกึ่ง และรัฐบาลมีอำนาจที่แท้จริงจำกัด ต้องบริหารงานอยู่ในกรงเล็บของตุลาการและกองทัพที่ฝ่ายเผด็จการอาจใช้เพื่อโค่นล้มรัฐบาลในโอกาสที่เหมาะสม ขบวนการเสื้อแดงต้องเรียกร้อง กดดัน และประสานหนุนช่วยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยให้ไปดำเนินการต่อสู้ทางประชาธิปไตยอย่างมีจังหวะก้าวและเด็ดเดี่ยว

3.คนเสื้อแดง-แกนนำ นปช.

ในการคัดสรรตัวบุคคลมาเป็นรัฐมนตรีนั้นไม่มีแกนนำ นปช. ได้เข้าสู่ฝ่ายบริหารเลย ทำให้คนเสื้อแดงและแกนนำ นปช. บางคนแสดงความไม่พอใจ ด้วยอ้างเหตุว่าการกีดกันคนเสื้อแดงจากฝ่ายบริหารแสดงว่าพรรคเพื่อไทย “ประนีประนอมและมีข้อตกลงลับกับเผด็จการ” หรือ “พรรคเพื่อไทยเห็นคนเสื้อแดงมีภาพพจน์เผาบ้านเผาเมืองจึงต้องกันออกไป” เป็นต้น แต่ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการเข้าใจผิดของคนเสื้อแดงและแกนนำ นปช. บางคนในสาระสำคัญของการเลือกตั้งครั้งนี้
ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะกันแกนนำ นปช. ออกไปจากฝ่ายบริหารด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่เมื่อมองจากผลลัพธ์ทางยุทธศาสตร์ของภาพรวมทั้งหมดแล้วต้องถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง

ประการแรก จุดประสงค์ของการสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. โดยแกนนำ นปช. คือต้องการ “สิทธิคุ้มครองทางสภา” เพื่อรักษาสถานะการนำขบวนการเสื้อแดงไว้ได้แม้ในยามคับขัน ดังเช่นที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ได้แสดงให้เห็นมาแล้ว แต่การได้เป็น ส.ส. แล้วเข้าไปสู่ตำแหน่งทางบริหารอีกนั้นเป็นการขัดต่อจุดประสงค์นี้โดยตรง เพราะแกนนำ นปช. ที่มีตำแหน่งบริหารจะไม่อาจเป็นแกนนำ นปช. ได้อีกต่อไป

ประการที่สอง การนำเอาแกนนำ นปช. เข้าสู่ฝ่ายบริหารในขณะนี้เป็นการเปิดศึกข้อขัดแย้งที่เผชิญหน้าเร็วเกินไปและโดยไม่จำเป็น คือได้ใจคนเสื้อแดงบางกลุ่มที่ไม่มองภาพใหญ่ แต่ต้องเผชิญกับแรงต่อต้านทั้งจากสื่อมวลชน ชนชั้นกลางในเมือง และฝ่ายเผด็จการทันที คณะรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงต้องการเวลาในการสร้างความเชื่อมั่นในหมู่ประชาชน และสร้างความมั่นคงเข้มแข็งให้กับตนเอง รวมทั้งต้องการเวลาให้คนเสื้อแดงได้ปรับขบวนเพื่อรับมือกับการรุกกลับของฝ่ายเผด็จการ

ประการที่สาม แนวรบนอกสภากับแนวรบในสภานั้นแยกจากกันแต่ก็เดินควบคู่ไปด้วยกัน ขบวนการเสื้อแดงเป็นกองทัพนอกสภาที่เข้มแข็งและกว้างใหญ่ไพศาล เป็น “ผนังทองแดง กำแพงเหล็ก” ของนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ และรัฐบาลพรรคเพื่อไทย “สองแนวรบ สองกองทัพ” มีหน้าที่ต่างกัน แต่ประสานกันไปสู่จุดหมายปลายทางเดียวกันคือ ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง

สำหรับคนเสื้อแดงแล้วจุดมุ่งหมายของการได้ชัยชนะในการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จไม่ใช่เพื่อให้แกนนำคนเสื้อแดงบางคนได้เป็นรัฐมนตรี แต่เพื่อให้ได้รัฐบาลที่เป็นมิตรกับฝ่ายประชาธิปไตย เปิดช่องให้คนเสื้อแดงได้ปรับขบวน พัฒนาตนเอง ยกระดับความคิดและการจัดตั้ง เสริมความเข้มแข็งและมีความพร้อมยิ่งขึ้น เพื่อเผชิญกับการรุกกลับของฝ่ายเผด็จการที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคตอันใกล้

แม้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะมีอำนาจบริหารจำกัด แต่ก็เป็นเงื่อนไขเพียงพอที่ฝ่ายประชาธิปไตยจะได้อาศัยเป็นประโยชน์ ยิ่งฝ่ายประชาธิปไตยขยายตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้น รวมตัวจัดตั้งเป็นระบบมากยิ่งขึ้น ชัยชนะขั้นสุดท้ายของประชาธิปไตยก็ยิ่งใกล้เข้ามา สิ่งที่ขบวนประชาธิปไตยต้องเร่งกระทำโดยเร็วคือขยายจำนวนคนที่ “รู้ความจริง” ให้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขยายการจัดตั้งในระดับรากฐานให้กว้างขวาง เช่น “หมู่บ้านเสื้อแดง” ในภาคอีสาน และ “บ้านธงแดง” ในภาคเหนือ บนพื้นฐานของภาษา วัฒนธรรม และวิถีชีวิตท้องถิ่นพื้นบ้าน ประสานกับขบวนประชาธิปไตยระดับรากหญ้า ตลอดจนการรวมกลุ่มคนเสื้อแดงในภาคกลางและเมืองใหญ่ตามสภาพสังคมและวัฒนธรรมแต่ละท้องที่

เร่งขยายผลสะเทือนของประชาธิปไตยไปในหมู่ทหาร ตำรวจ และข้าราชการให้มากที่สุด ขยายเครือข่ายสังคมออนไลน์เชื่อมกับเครือข่ายบนดินให้ทั่วถึง จัดตั้งวิทยุชุมชนให้เพิ่มขึ้นครบทุกอำเภอและตำบลทั่วประเทศ จัดตั้งสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเพิ่มขึ้นอีกในประเทศเพื่อนบ้าน ให้ครอบคลุมทุกภูมิภาค ภาษา และวัฒนธรรมทั่วประเทศ

ทั้งหมดนี้คือการเตรียมพร้อมกองทัพนอกสภา เพื่อรับมือกับการรุกกลับของฝ่ายเผด็จการจารีตนิยมที่จะกระทำต่อรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์อย่างแน่นอน

บัดนี้ฝ่ายเผด็จการได้ใช้สรรพาวุธที่มีอยู่จนหมดแล้ว พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องซ้ำรอยเดิม คือการใช้อันธพาลการเมืองบนท้องถนน ใช้พรรคประชาธิปัตย์ก่อการภายในสภา ทำให้รัฐบาลไม่อาจบริหารงานได้ แล้วใช้ตุลาการในมือมาทำลายรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ และในที่สุดถ้าล้มเหลว หนทางสุดท้ายก็คือรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอีกครั้ง

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 7 ฉบับที่ 324 วันที่ 20 - 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554 หน้า 7 คอลัมน์ เวทีความคิด โดย รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น