วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2554


ผิดด้วยหรือ?? ยืมเงินนายเก่า หวังซื้อใจนายใหม่
ผิดด้วยหรือ?? ยืมเงินนายเก่า หวังซื้อใจนายใหม่  
แฉตัวเลขปริศนา 400 ล้านบาท คืออะไร!!!



ไม่เพียงจะเป็นทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ ที่ดังกระฉ่อนปาดหน้าข่าวน้ำท่วม ได้อย่างสบาย สำหรับคดีปล้นเงินสดจำนวนมากจากบ้าน นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม เพราะเป็นเรื่องลึกลับซ่อนเงื่อนไม่ได้ต่างไปกว่ากันเลย

           น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ ผู้คนสงสัยกันมากว่า ตกลงแล้วมวลน้ำมีมากมายเท่าไรกันแน่???

           และที่สำคัญมวลน้ำมหึมาเป็นหมื่นๆล้านลูกบาศก์เมตรนั้นมาจากไหน???

           ในขณะที่คดีปล้นสะเทือนแวดวงการเมืองในครั้งนี้ สิ่งที่เป็นปริศนาที่พูดกันให้แซ่ดก็คือ ตกลงเงินในบ้านอดีตปลัดสุพจน์นั้น มีเท่าไรกันแน่???

          รวมทั้งประเด็นสำคัญก็คือ เงินจำนวนมหาศาลนั้น มาจากไหน!!!
          เป็นคำถาม เป็นข้อสงสัย ที่คล้ายกันอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะฉะนั้นข่าวน้ำท่วมใหญ่ดังแค่ไหน ข่าวปล้นสะท้านการเมืองก็ดังไม่ต่างกัน

           บ้าน เลขที่ 29 เลขที่ 77 ภายในซอยลาดพร้าว 64 แยก 2 แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กทม. ของนายสุพจน์ กลายเป็นเป้าสนใจของทุกคน ในฐานะขุมสมบัติปริศนา?

            เพราะนับตั้งแต่เกิดการปล้นขึ้นมา รายละเอียดตั้งแต่ฉากแรกจนถึงขณะนี้ สามารถนำเอาไปเป็นพลอตสร้างหนังฮอลีวูดได้เลย

           นับตั้งแต่ฉากเปิดเรื่อง ที่สาวคนใช้ โทรศัพท์แจ้งนายสุพจน์ ด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกว่า “นายๆ โจรเข้าบ้าน”

          ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาราวๆ 19.40 น. ของวันที่ 12 พฤศจิกายน และนายสุพจน์กำลังอยู่ในงานสมรสของบุตรสาวที่โรงแรมพลาซ่า แอทธินี ถนนเพลินจิต โฆษกบนเวทีเพิ่งประกาศว่า สินสอดในงานหมั้นครั้งนี้มีเงินสด 2 ล้านบาท และทองคำแท่ง 50 บาท

          เพราะได้รับข้อมูลไม่ชัดเจน ไม่รู้ว่าเกิดการปล้นที่จะกลายเป็นคดีใหญ่ในเวลาต่อมา จึงทำให้นายสุพจน์ซึ่งคิดว่า คงเป็นพวกโจรงัดแงะ โจรกระ จอกทั่วๆไป จึงได้แจ้งไปยัง พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ขอความช่วยเหลือ

          ทำให้เรื่องนี้ถึงได้มีตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้อง

          และนี่คือคำตอบของข้อสงสัยที่ว่า หากรู้ว่าในบ้านตนเองมีเงินอยู่มากมาย ทำไมนายสุพจน์จึงกล้าที่จะแจ้งตำรวจ

          หากนายสุพจน์อยู่ที่บ้านในตอนนั้น หรือว่าได้รับรู้รายละเอียดมากพอว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทางฝ่ายสืบสวนคดีนี้ยังยอมรับว่า ไม่รู้ว่าคดีนี้จะโด่งดังหรือไม่?

         เพราะพฤติกรรมการปล้นที่เกิดขึ้นนั้นไม่ธรรมดา มีการวางแผนมาอย่างดี มีการทิ้งฝากคำพูด จนทำให้เกิดประเด็นในเรื่องการปล้นสั่งสอน เป็นการหักเกมกัน

          เนื่องจากข้อมูลที่พบก็คือ ขบวนปล้นใช้รถกระบะ 2 ตอน ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีเทา เป็นพาหนะ โดยคนร้าย 2-3 คน ลงจากรถเปิดประตูออกแล้วขับตรงไปที่ลานจอดหน้าบ้านได้อย่างสะดวก เพราะปกติแล้ว ประตูรั้วบ้านหลังนี้ใช้รีโมตคอนโทรล บังคับเปิด-ปิด แต่บังเอิญว่าเป็นช่วงกำลังเกิดน้ำท่วมใหญ่ นายสุพจน์จึงสั่งให้ถอดระบบรีโมต เพราะเกรงน้ำทะลักเข้าบ้านทำให้ไฟฟ้าลัดวงจร กลายเป็นการเปิดทางสะดวกสำหรับโจรไปโดยปริยาย

          คนร้ายประมาณ 6 คน ลงจากรถ แต่ละคนใช้หมวกไหมพรมคลุมหัวและใส่หน้ากากอนามัยทับอีกชั้น สวมถุงมือไหมพรมสีดำ ใส่เสื้อแขนยาวคอกลมและรองเท้าผ้าใบ ที่สำคัญเหมือนกับรู้ว่าบ้านมีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่ จึงมีการวิ่งหลบทิศทางกล้องด้วย

          ที่สำคัญข้อมูลจากการสอบปากคำสาวใช้ในบ้าน เกี่ยวกับการพูดตอบโต้กันของสาวใช้กับคนร้าย ทำให้มองเห็นทันทีว่า งานนี้ไม่ธรรมดาแน่

           เพราะเมื่อคนร้ายเข้าทางประตูหน้าบ้านไม่ได้ เพราะคนใช้ล็อกไว้แล้ว จึงอ้อมไปด้านหลังเป็นห้องครัวซึ่งยังไม่ได้ล็อก และคนใช้พยายามดันไม่ให้คนร้ายเปิดประตูได้ และตะโกนถามว่ามาเอาอะไร มาหาใคร เสียงที่ตอบมาเป็นสำเนียงอีสานก็คือ “พวกผมไม่ได้มาทำอะไร”

         เมื่อเข้ามาในบ้านได้ ก็ยังบอกว่า “ไม่ต้องร้อง ไม่ได้ทำอะไร” ในขณะที่ใช้เชือกมัดมือ 3 สาวใช้ แล้วดึงเทปกาวสีเขียวปิดปากพร้อมกับเอาหน้ากากอนามัยสีขาวสวมปิดทับอีกชั้น ก่อนที่จะบังคับให้คนใช้พาไปที่ห้องนอนของนายสุพจน์บนชั้นสอง

          น่าสังเกตุว่าเมื่อคนร้ายใช้ชะแลงงัดประตูห้องได้ ก็ตรงดิ่งไปงัดตู้เสื้อผ้า ช่วยกันดึงกระเป๋าที่ซุกอยู่ในตู้ออกมาแล้วใช้มีดคัตเตอร์กรีด เนื่องจากกระเป๋าหลายใบมีกุญแจล็อกอยู่ แล้วดึงเงินที่มัดเป็นปึกๆ ออกจากกระเป๋ามีทั้งกระเป๋าเอกสารทำด้วยหนัง กระเป๋าพลาสติกสำหรับเดินทาง ยัดใส่ถุงพลาสติกขนาดใหญ่ 2 ถุง ที่เตรียมมา สามารถบรรจุเงินได้นับร้อยล้านบาท ลากลงมาจากห้องชั้นสอง ก่อนขับรถหลบหนีออกไปอย่างรวดเร็ว

           คนร้ายรู้ละเอียด และมีการวางแผนมาเป็นอย่างดีได้อย่างไร

           รวมทั้งประโยคทิ้งท้ายที่ว่า “มาเอาของคืนให้นาย” นั่นหมายความเช่นไร

           แน่นอนว่าเรื่องนี้ในมุมมองของตำรวจ ของสังคม นี่เป็นการปล้นที่มีเงื่อนงำอย่างแน่นอน

          ยิ่งนายสุพจน์ระบุว่า เงินที่ถูกปล้นไปเป็นเงินสินสอดของลูกสาว ยังไม่ได้นับจำนวนที่แน่ชัด แต่แจ้งความเบื้องต้นว่าน่าจะราวๆ 5 ล้านบาท แต่ปรากฏว่าหลังจากนั้น ทั้งโดยการตามจับกุมของตำรวจ และโดยการเข้ามามอบตัวเองของคนร้าย

         เงินที่ถูกปล้นไปเบื้องต้นที่ได้คืนมาปาเข้าไปร่วม 18 ล้านบาท แถมคนร้ายยังพูดไปถึงขนาดว่า จริงๆแล้วเงินในบ้านมีมากมายหลายร้อยล้านบาท ดีไม่ดีจะมีมากถึงพันล้านบาทเลยด้วยซ้ำ

          ตะลึงกันไปทั้งเมือง บ้านที่ไหนจะเก็บเงินสดเอาไว้เป็นร้อยเป็นพันล้านบาท
          เท่านั้นเองจากผู้เสียหาย นายสุพจน์กลับกลายเป็นผู้ต้องสงสัยในทันที

          แม้ว่าทางต้นสังกัด คือ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จะมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว และไม่คิดจะทำอะไร แต่ทางรัฐบาลไม่ได้มองเช่นนั้นด้วย จึงได้สั่งย้ายมาประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในทันที

           ในขณะที่ประเด็นเงินจำนวนมหาศาลนั้นมีที่มาจากไหน ทำให้ทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตการแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการป้องกันการฟอกเงิน (ปปง.) ต้องยื่นมือเข้ามเกี่ยวข้อง ตรวจสอบ

            แน่นอนว่าทั้งกรณี ป.ป.ช. และ ปปง. ล้วนแล้วแต่เป็นยาขมหม้อใหญ่สำหรับแวดวงการเมือง ใครโดนเข้าเท่ากับอนาคตทางการเมืองดับวูบได้เลยทันที ใครบ้างที่ไม่กลัว

             ยิ่งมีการปล่อยชื่อตัวละคร ว่าน่าจะมีนักการเมืองใหญ่ ชื่อ น. และนักการเมืองลูกน้องที่ชื่อ ส. ออกมาว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แถมยังมีการโฟกัสต่อไปว่า อาจจะมี นายพล ส. เข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วยอีกคน

             เท่านั้นก็เหมือนกับระเบิดลงกลางวงการเมืองเลยก็ว่าได้

            ยิ่งเมื่อเจอมือเก๋าการเมืองระดับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เอาเรื่องนี้ไปพูดกลางสภา ก็ยิ่งกลายเป็นกระแสร้อนฉ่าขึ้นมาทันทีทันควัน

            เพราะ ร.ต.อ.เฉลิม ตั้งข้อสังเกตว่า เงินพันล้านที่พบในบ้านของนายสุพจน์ ที่ถูกปล้นไป น่าจะเป็นเงินที่มาจากการทุจริตคอร์รัปชั่นในโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง สีแดง และสีฟ้า ที่มีการเรียกรับผลประโยชน์มากถึง 8 เปอร์เซ็นต์


สอดคล้องกับความเชื่อที่เกิดขึ้นเป็นกระแสในสังคมมาโดยตลอดว่า ในรัฐบาลที่ผ่านมามีการเรียกหัวคิวกันหนักมาก สูงถึง 30% เลยก็มี ถึงขนาดทำให้หอการค้าไทย และสภาอุตสาหกรรมไทย อดรนทนไม่ไหว ต้องออกมาแสดงพลังต่อต้านการคอรัปชั่นกันตรงๆ

           และบิ๊กหอการค้าไทยมีการยอมรับว่า รู้จากสมาชิกว่ามีเรื่องการเรียกสินบนค่าใต้โต๊ะสูงถึง 30% เกิดขึ้นจริงๆ

           เมื่อ ร.ต.อ.เฉลิม เอาเรื่องรถไฟฟ้ามาพูดในสภาแบบชัดๆเช่นนี้ บรรดานักการเมืองที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงคมนาคม และโครงการรถไฟฟ้าในรัฐบาลที่แล้วเต้นผางไปตามๆกัน

           นายโสภณ ซารัมย์ อดีตรัฐมนตรีคมนาคม ซึ่งก็ให้บังเอิญที่มีชื่อย่อเป็น ส. เสือด้วย จึงเป็นคนแรกที่ออกมาสวนหมัด ร.ต.อ.เฉลิม ว่าไม่เป็นความจริง และกำลังเตรียมการที่จะฟ้องกลับ

           ในขณะที่นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และสส.ระบบบัญชีรายชื่อ ก็มาร่วมลุยด้วย โดยบอกว่าที่ ร.ต.อ.เฉลิม อ้างเงินในบ้านพักของนายสุพจน์ บางส่วนเป็นเงินจากการทุจริตโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ ในสมัยพรรคภูมิใจไทยดูแลกระทรวงคมนาคม ถือเป็นเรื่องทางการเมือง ที่นักการเมืองในสภาฯ จะพูดอย่างไรก็ได้เป็นสิทธิ์ของคนพูด ต้องมีการพิสูจน์ความจริง

           ยืนยันว่า พรรคภูมิใจไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินในบ้านของปลัดกระทรวงคมนาคม ส่วนที่มีการอ้างไปถึงชื่อ ของบริษัท ชิโน-ไทย เป็นเรื่องของบริษัทเอกชนจะเป็นผู้ไปดำเนินการไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนตัวเห็นว่าเป็นเรื่องการเมืองน้ำเน่า

          แม้แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้าน ยังเลี่ยงกระแสไม่ได้ ต้องออกมาบอกว่าเรื่องนี้ได้หารือกับร.ต.อ.เฉลิม แล้ว ยินดีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ กรณีการเดินหน้าตรวจสอบที่มาของเงินจำนวนมากในบ้านนายสุพจน์

          โดยขอให้รัฐบาลดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา

          ส่วนที่มีการพาดพิงไปถึงนายโสภณ อดีตรมว.คมนาคมในสมัยที่ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ยังไม่ได้มีการคุยกับนายโสภณ แต่ยืนยันว่าทุกโครงการที่มีการเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลขณะนั้นได้มีการตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา

           ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงคงต้องกลับไปดูว่ามีการกระทำผิดมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือไม่

           เผือกร้อนนี้ใครอยากจะรับไว้บ้าง

          อย่างไรก็ตาม จากการสืบค้นของทางบางกอก ทูเดย์ ว่าทำไมจึงมีเงินจำนวนมากขนาดนั้นอยู่ในบ้านของนายสุพจน์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ภาวะปกติในการดำรงชีวิตของคนทั่วไป เป็นไปได้จริงๆหรือ ก็มีวงในจากแวดวงการเมืองให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า

            จริงๆแล้วต้องไม่ลืมว่าเหนือปลัด ก็ยังมีหัวหน้า และเหนือหัวหน้า ก็ยังมีลูกพี่ใหญ่อยู่จริงๆ!!!

             เพียงแต่เมื่อกระแสการเมืองเปลี่ยน พรรคเพื่อไทยสามารถหักด่านป้องกันของสารพัดขั้วการเมืองเข้ามาเป็นรัฐบาลได้ แถมนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็เริ่มที่จะสามารถเข้ากับกองทัพ สามารถทำงานร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ได้

           ที่สำคัญบรรดาประเทศต่างๆ ผู้นำประเทศใหญ่ๆได้มีการให้การยอมรับในตัวนางสาวยิ่งลักษณ์ และรัฐบาลพรรคเพื่อไทย มากกว่ารัฐบาลก่อนๆหน้า

           จึงเป็นภาพที่ชัดเจนว่า การเมืองกำลังเปลี่ยนทิศ จึงเป็นไปได้ว่า กำลังจะมีการเปลี่ยนนายเปลี่ยนหัวหน้าเกิดขึ้นในแวดวงข้าราชการประจำ ทำให้บรรดาข้าราชการประจำเองต้องมีการตระเตรียมในเรื่องการสร้างสัมพันธไมตรี

           จึงทำให้มีการตั้งประเด็นขึ้นมาว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่า แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าเงินนั้นมีเจ้าของ และจะต้องมีการส่งให้เจ้าของซึ่งเป็นนายใหญ่เป็นลูกพี่ใหญ่ ซึ่งวงในกระซิบว่าน่าจะประมาณ 400-500 ล้านบาท

           ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องที่ไปจัดสรรแบ่งปันกันเองตามสัดส่วนที่ควรจะได้รับ

           แต่เนื่องจากในการเปลี่ยนขั้ว และเกิดมีคนกลางที่ว่ากันว่า คือ นายพล ส. เข้ามาเป็นตัวแปรในการเจรจาว่าสามารถที่จะคุยกับคนในรัฐบาลเพื่อไทยได้

          ซึ่งบังเอิญเหลือเกินที่วงเงินที่นายพล ส. ต้องการก็ดันอยู่ที่ 400-500 ล้านด้วยเหมือนกัน

          ดังนั้นเมื่อเข้าตาจน แม้ว่าจะไม่ได้คิดเบี้ยว หรือคิดอม แต่ตัวเลขที่ตรงกันแบบนี้ ก็เลยมีการคิดแผน “ยืมเงินนายเก่า หวังเอาไปซื้อใจนายใหม่”ขึ้นมา ตามคำแนะนำของคนกลาง

         ส่วนจะคืนนายเก่าอย่างไรค่อยว่ากันที่หลัง

          บังเอิญนายเก่ารู้แกว ใจร้อน และกลัวว่าจะไม่ได้คืน ก็เลยเกิดการปล้นหักเกมทางการเมืองกันขึ้นมา จนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต

          ทั้งหมดเป็นการตั้งประเด็นคำถามในแวดวงการเมืองที่น่าสนใจไม่น้อย ซึ่งคนที่จะสามารถตอบเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนก็คือ นายสุพจน์ นั่นเอง ว่าที่เมาธ์กันสนั่นแวดวงการเมืองอย่างที่ว่านั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง???

          จุดนี้เองที่ทาง ป.ป.ช. เองจำเป็นที่จะต้องมีการเรียกนายสุพจน์มาสอบปากคำโดยละเอียดอีกครั้ง ถ้าไม่มีอะไรในกอไผ่ ไม่มีหลักฐานอย่างที่ตั้งประเด็นสงสัยกันสนั่นเมือง นายสุพจน์ก็พ้นบ่วง

           แต่หากว่านายสุพจน์ไม่สามารถที่จะอธิบายถึงที่มาที่ไปของเงินจำนวนมากได้ งานนี้ก็อันตรายกับตัวของนายสุพจน์เอง

          ด้วยจำนวนเงินที่อายัดมาแล้วแม้จะไม่ถึงร้อยล้านพันล้านอย่างที่อ้างๆกัน แต่ก็มากพอที่ ป.ป.ช.จะสั่งอายัดไว้ก่อนนั้น ทำให้มีการพนันกันว่า สุดท้ายแล้วเรื่องจะจบลงโดยที่ นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม คือ แพะเดี่ยวที่จะตายโดยลำพังหรือไม่???

          ซึ่งก็อยู่ที่ฝีมือ ป.ป.ช. และ ปปง. ว่าจะขุดคุ้ยได้ลึกเพียงใด เพราะใช่ว่าจะไร้ร่องรอยสืบค้นเสียเมื่อไหร่???

งานนี้อนาคตการเมืองของใครบางคนระส่ำหนักจริงๆ
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น