วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2555


เสวนาปรากฏการณ์ 112ริกเตอร์ ถึงเวลาสามัญชนลุกยืนตัวตรง
เสวนาปรากฏการณ์ 112ริกเตอร์ ถึงเวลาสามัญชนลุกยืนตัวตรง
ใน www.prachatai.com/journal/2012/05/40703 . . Sun, 2012-05-27 18:30


           27 พ.ค. 2555 นักวิชาการผู้ร่วมรณรงค์แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, นิธิ เอียวศรีวงศ์, วรเจตน์ ภาคีรัตน์ และพวงทอง ภวัครพันธุ์ ร่วมเสวนาหัวข้อปรากฏการณ์ 112 ริกเตอร์ ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาธรรมศาสตร์ ในโอกาสปิดการรณรงค์แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หลังจากดำเนินต่อเนื่องมาทั้งสิ้น 112 วัน โดยมีจำนวนประชาชนเข้าร่วมลงชื่อทั้งสิ้น 39,185 คน

          ชาญวิทย์ เกษตรศิริ มาตรา 112- พ.ศ. 2475 จุดร่วมมุมมองแตกต่าง ความเปลี่ยนแปลงบนเหรียญสองด้าน หัว-ก้อย

          ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี มธ. กล่าวว่า ได้ปรับทุกข์กับอาจารย์นิธิว่าคนวัยเราไม่น่าจะต้องมาอยู่กับนักวิชาการรุ่นใหม่แล้ว แต่เมื่อได้ทบทวนสถานการณ์และบทบาทของตนเองในฐานะนักวิชาการและปัญญาชนแล้ว ในที่สุดก็ตัดสินใจเข้าร่วม จากนั้นได้กล่าวถึงสถาบันกษัตริย์ไทยกับมาตรฐานสากลและกฎหมายหมิ่นมาตรา 112

            จากการศึกษาและการสอนวิชาประวัติศาสตร์การเมืองสยามประเทศไทยมาเป็นเวลานานหลายสิบปี ขณะนี้สังคมและประชาชนคนไทยเผชิญปัญหาที่ท้าทายอย่างยิ่ง คล้ายปี 2475 ในเรื่องรัฐธรรมนูญ ที่ถ้ามองจากเหรียญด้านหัวของคณะเจ้าก็กล่าวได้ว่าคณะราษฎรใจร้อนชิงสุกก่อนห่าม แต่ถ้ามองจากเหรีญด้านก้อยก็จะเห็นว่าคณะเจ้านั่นเองที่ล่าช้า อืดอาดไม่ทันโลก

           จากการปฏิรูปการปกครองของรัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 6 ทดลองดุสิตธานี รัชกาลที่ 7 ให้ที่ปรึกษาต่างชาติร่างรัฐธรรมนูญ ก็ยังไม่มีการมอบรัฐธรรมนูญเสียที จึงจำเป็นต้องมีการปฏิวัติ 24 มิ.ย. 2475

           เราจะสามารถปฏิรูปและแก้ไขกฎหมายหมิ่น ม. 112 ได้ทันท่วงทีกับสถานการณ์ภายในและสังคมระหว่างประเทศหรือไม่ เป็นเรื่องต้องชั่งน้ำหนักระหว่างเหรียญด้านหัว-ก้อย กลุ่มอำนาจเดิมกับอำนาจใหม่

           โดยชาญวิทย์กล่าวว่า ได้พบการชี้ถึงปัญหา ม.112 ในหนังสือล่าสุดที่ นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นบรรณาธิการ คือ King Bhumibol Adulyadej: A Life''s Work

           ในหนังสือเล่มดังกล่าวมีอยู่บทหนึ่งที่พูดเรื่องกฎหมายหมิ่น กล่าวว่า จากพ.ศ. 2536-2547 begin_of_the_skype_highlighting            2536-2547      end_of_the_skype_highlighting เป็นเวลา 11 ปี จำนวนคดีหมิ่นใหม่ๆ ลดลงครึ่งหนึ่ง และไม่มีคดีหมิ่นเลยในปี 2545 ซึ่งน่าจะเป็นยุคต้นของรัฐบาลทักษิณ อย่างไรก็ตามในปีที่ผ่านมาเร็วๆ นี้จำนวนคดีหมิ่นที่เข้ามาสู่ระบบศาลไทยเพิ่มขึ้นอย่างน่าสังเกต ปี 2552 สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ (เป็นปีเดียวกับที่มีปัญหามรดกโลกและเขาพระวิหาร)

            นอกจากนั้นยังมีการขยายความว่ากฎหมายหมิ่นของไทยนั้นมีโทษรุนแรงที่สุดในรอบหนึ่งร้อยปี โทษขั้นต่ำของไทยเท่ากับโทษสูงสุดของจอร์แดน และสูงกว่าสามเท่าเมื่อเทียบกับในยุโรป ทำให้ราชอาณาจักรไทยในสมัยปัจจุบันมีคดีหมิ่นมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ของโลกเช่นเดียวกัน ข้อความนี้มาจากหนังสือ King Bhumibol Adulyadej: A Life''s Work

            ข้อมูลเชิงประจักษ์จากหนังสือเล่มนี้น่าจะเพียงพอที่ทำให้ท่านทั้งหลายจะต้องนำมาพิจารณาเพื่อปฏิรูป ปรับปรุงแก้ไข โดยไม่ต้องพูดถึงอดีตที่ค้างคา รวมถึงคดีอากงที่เสียชีวิตไปแล้วในคุก
           
           ทั้งนี้ข้อเสนอของครก. 112 คณะนิติราษฎร์ และกลุ่มสันติประชาธรรม คนหนุ่มสาว กวี และประชาชนหากสามารถผลักดันให้ผ่านสภา มี ส.ส. ส.ว. ที่มีทัศนะกว้างไกล มีความกล้าหาญทางจริยธรรมทางการเมือง รับลูกที่จะดำเนินการต่อในกรอบของกฎหมาย และกรอบรัฐธรรมนูญ ก็จะช่วยให้สังคมไทยมีสันติสุข และทำให้สถาบันกษัตริย์มั่นคงสถาพร และที่สำคัญคือได้มาตรฐานสากล ดังเช่นนานาอารยประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหราชอาณาจักรและยุโรปตะวันตก ไม่ทำให้สถาบันอ่อนแอและล่มสลายอย่างในยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง เอเชียตะวันออกและเอเชียใต้

            จากการศึกษาทางวิชาการพบว่าสหราชอาณาจักรและยุโรปตะวันออก อาจจะรวมหรือไม่รวมญี่ปุ่นที่แพ้สงคราม ต่างก็มีสถาบันกษัตริย์ที่มั่นคงเพราะได้ปฏิรูปให้เป็นสถาบันที่ให้พระคุณ กอปรด้วยเมตตากรุณา มุทิตา อุเบกขา มากกว่าการใช้พระเดช ที่ข่มขู่ด้วยคุกตาราง ทำให้เกิดความกลัว

             เราได้เห็นโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับ ปรีดี พนมยงค์ เหยื่อคดีสวรรคต ร. 8 เหยื่อพฤษภาอำมหิต หรือเหตุการณ์ที่เกิดกับผู้คนชนบท ชายแดนห่างไกลที่ห่างไกลจากคนที่อยู่ในเมืองหลวง

            บรรดาอารยะประเทศในยุโรปตะวันตก ส่วนใหญ่ก็มีกฎหมายหมิ่น แต่การบังคับใช้ไม่สาหัสสากรรจ์และพร่ำเพรื่อ และไม่ปล่อยให้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

            ถ้าเราจะรักษาสถาบันประชาธิปไตยให้ควบคู่กับการรักษาสถาบันกษัตริย์ต้องปฏิรูปกฎหมายหมิ่นมาตรา 112 ดูประเทศที่สถาบันกษัตริย์อยู่ควบคู่กับสถาบันประชาธิปไตย และหนีไม่พ้นต้องดูแบบประเทศอังกฤษที่เราเลียนแบบมาแม้แต่คำขวัญ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ หรือแม้แต่เพลงสรรเสริญพระบารมี ในสมัยรัชกาลที่ 4 เครื่องราชย์ฯ การถอนสายบัว นานานัปการ มาจากอังกฤษที่เป็นมาตรฐานสากลของสถาบันกษัตริย์และประชาธิปไตยซึ่งทำให้รักษาสถาบันกษัตริย์ไว้ได้ ไม่ใช่ทำให้สถาบันกษัตริย์ขัดแย้งกับสถาบันประชาธิปไตย

              สังคมไทยถึงจุดที่กำลังถูกท้าทายอย่างมาก เราต้องไม่ฝืนกระแสโลก ยิ่งทุกวันนี้เทคโนโลยีการสื่อสารรวดเร็ว การบอกว่าประเทศเราไม่ควรนำไปเปรียบกับสังคมโลก แน่นอนแม้เราจะมีลักษณะพิเศษแต่เราก็อยูในสังคมโลก ถามว่าประเทศส่วนใหญ่ 15 หรือ 30 ประเทศเป็นสถาบันกษัตริย์ ที่เหลืออีก 85 เปอร์เซ็นต์เป็นระบบประธานาธิบดี

             ถ้าเราทำให้สถาบันกษัตริย์กับสถาบันประชาธิปไตยขัดแย้งกัน จะทำให้สังคมเรามีปัญหาแน่ๆ แต่ถ้าทำให้อยู่ร่วมกันได้ก็จะไม่เกิดความขัดแย้งรุนแรงอย่างที่เกิดขึ้นหลายครั้งไม่ว่าจะเป็น 14 ต.ค.2516, 6 ต.ค.2519 พฤษภาคม 2535 ทั้งนี้ ไม่ใช่พฤษภาทมิฬ “ทมิฬ” ที่เป็นผู้สร้างอารยธรรม ทมิฬไม่เกี่ยวอะไรกับราชดำเนินและราชประสงค์เลย ดังนั้นขอให้ยกเลิกคำว่า“ทมิฬ”

              ท้ายสุดก็ค่อนข้างเป็นห่วงว่าการปฏิรูปกฎหมายหมิ่นนี้น่าจะยากเย็นเพราะมีอำนาจเดิมที่เต็มไปด้วยโมหะและอวิชชาสูงมาก ส่วนพลังใหม่ อำนาจใหม่ก็มีทั้งที่เฉื่อยชา เมินเฉย ได้ดีแล้วทำเป็นวัวลืมตีน บางคนเกี๊ยะเซี๊ยะ บางคนมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ คนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในสังคมชั้นสูงที่ผมจำเป็นต้องพบปะเป็นครั้งคราว คุยทีไรก็บอกเห็นด้วยกับเรื่องการแก้ไขนี้ แต่น้อยคนที่จะกล้าพูดในที่สาธารณะ แสดงความคิดเห็นขีดเขียนเพื่อสังคม ผมจึงเห็นว่าถ้าเป็นอย่างนี้ก็มีโอกาสที่สังคมนี้จะแตกหักไปสู่การนองเลือดเหมือน พ.ค. 53 เกิดกาลียุคดังที่ปรากฏในเพลงยาวพยากรณ์ และบนหน้าบรรณปราสาทเขาพนมรุ้ง เขาพระวิหาร

             สังคมไทยเรายังพอมีโอกาสปลดล็อกเงื่อนไขกาลียุคหรือนองเลือดได้ แต่ก็ต้องการผู้มีความกล้าหาญทางจริยธรรมสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในปีกพลังอำนาจเดิม

             การปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ของสากลโลกใช้คนไม่มากเพียงสิบเพียงร้อยที่จะก้าวมาเป็นผู้ก่อการเปลี่ยนแปลง และต้องได้รับความสนับสนุนจากคนส่วนใหญ่ที่เป็นตัวจริงของจริง ณ บัดนี้ สังคมสยามประเทศเรามีตัวจริงของจริงจำนวนไม่น้อย มีประชาชนที่หลากหลายจำนวนมากมายมหาศาลทั้งในกรุง ในชนบท อย่างไม่เคยเกิดมาก่อน ที่พร้อมแล้วที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขกฎหมายหมิ่น มาตรา 112 ที่จะให้สถาบันกษัตริย์อยู่ร่วมกับประชาธิปไตยได้อย่างสงบสันติ เสมอภาค ภราดรภาพ ตามเจตนารมณ์ของการปฏิวัติประชาธิปไตย 24 มิ.ย. 2475 และการปฏิวัติประชาชน 14 ต.ค. 2516

             “คบเพลิงของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันได้ส่งต่อมายังประชาชนรุ่นเราท่าน ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นเก่า 14 ต.ค. 2516 กลางเก่ากลางใหม่-พ.ค. 2535 หรือรุ่นล่าสุด เม.ย.-พ.ค. 2553” ชาญวิทย์กล่าวในที่สุด

             นิธิ เอียวศรีวงศ์: หกสิบกว่าปีที่ยาวนานมากที่สถาบันกษัตริย์ควบคุม เลือกการปรับตัวได้ แต่คราวนี้ไม่ใช่ มีคนหน้าไพร่ๆ อย่างพวกเราเข้ามาขอมีส่วนบ้าง

             นิธิ เอียวศรีวงศ์ กล่าวว่า หากอยากพูดเรื่องการปรับปรุงสถาบันกษัตริย์ ก็คงต้องใช้สติอย่างเต็มที่ในการอภิปรายอย่างระมัดระวัง เรื่องนี้น่าเศร้าไม่ใช่เรื่องน่าขำ เราอยู่ในอาณาจักรไรซ์ที่3 หรือโซเวียตกันแน่ ผมคาดว่าในฐานะคนที่มีลูกมีหลานที่จะต้องมีชีวีตอยู่ในประเทศนี้ต่อไปมันน่าเศร้ามากๆ เพราะโซเวียตได้ล่มสลายไปแล้ว

             เราได้ยินเสมอมาว่าสถาบันกษัตริย์ไทยดำรงอยู่มาตั้งแต่ก่อนสุโขทัยถึงบัดนี้โดยไม่เปลี่ยนแปลง ผมอยากถามว่าคุณบ้าหรือเปล่าเพราะไม่มีสถาบันใดในโลกนี้ที่ดำรงอยู่ได้โดยไม่ปรับเปลี่ยน แม้แต่ตัวเราเองก็ต้องปรับเปลี่ยน โดยคนอื่นเปลี่ยนแปลงเราบ้างหรือเปลี่ยนโดยเรานึกได้แล้วปรับตัวเองบ้าง ดังนั้นสถาบันอะไรก็แล้วแต่ในโลกนี้ต้องถูกเปลี่ยนเสมอ ไม่เช่นนั้นก็อยูไม่ได้

              ย้อนกลับมาที่สถาบันกษัตริย์ไทยใน 100-200 กว่าปีที่ผ่านมา มีวิกฤตหลายครั้งที่สถาบันต้องชิงปรับตัวเอง การปรับเปลี่ยนโครงสร้างการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้นเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของสถาบันในการสถาปนาอำนาจสูงสุดและเด็ดขาดเหนือขุนนางทั้งส่วนกลางและภูมิภาค และเหนือพระ ให้ต้องอยู่ใต้อำนาจอาณัติบัญชาของการเมือง

              ความล้มเหลวครั้งสำคัญก็คือ การเปลี่ยนแปลงระบอบประชาธิปไตย รัชกาลที่ 7 ก็คิดว่าจะตั้งนายกฯ แต่เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ก็บอกว่าจะตั้งไปทำไม ถ้าตั้งนายกฯ เขาก็ด่านายกฯ แทนท่าน เพราะท่านเป็นคนตั้งนายกฯ ไปบอกให้ฝรั่งเขียนรัฐธรรมนูญแล้วก็ไม่กล้าประกาศ ไม่ทันการณ์ตลอดเวลา ผลจึงเกิด 2475 หลังจากนั้นฝ่ายสถาบันกษัตริย์ที่ไม่ได้หมายถึงกษัตริย์องค์เดียว แต่หมายถึงเจ้านายทั้งหลายก็พยายามทุกวิถีทาง เช่น อยู่ๆ นายกฯ ประกาศปิดสภา ทั้งๆ ที่อยู่ในสมัยประชุม ง่ายๆ คือรัฐประหารโดยมีพระปรมาภิไธย รัชกาลที่ 7 รับรองการรัฐประหารนั้นเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นเกิดกบฏบวรเดช ซึ่งหลักฐานชัดเจนมากขึ้นว่าอย่างน้อย รัชกาลที่ 7 ทรงรู้เห็นมาก่อน และไม่ได้เตือนรัฐบาลว่าจะเกิดการรัฐประหาร ช่วงเวลาดังกล่าวที่ความพยายามที่จะชิงอำนาจกลับคืนมา ถือว่าเป็นความพยายามปรับตัวแต่ไม่สำเร็จ

               หลังจากปี 2476-2490 begin_of_the_skype_highlighting            2476-2490      end_of_the_skype_highlighting เป็นครั้งแรกที่สถาบันกษัตริย์ถูกปรับตัวโดยคนอื่น คนอื่นบังคับให้ต้องปรับ มีรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดของประเทศไทย พ.ศ. 2489 ที่ร่างขึ้น โดยสถาบันกษัตริย์ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้อง ก่อนหน้านั้นเข้ามาเกี่ยวข้องเกือบจะหลายๆ มาตราด้วยซ้ำไป ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่ฝ่ายสถาบันกษัตริย์ที่ประกอบด้วยเจ้านายหลายพระองค์ ขุนนางและนายทุนที่ได้รับเงินกู้จากพระคลังข้างที่ หมดกำลังอย่างสิ้นเชิง

               การเคลื่อนไหวเพื่อแก้มาตรา 112 เป็นเวลาอันเหมาะสมที่ อ.ชาญวิทย์กล่าวว่าสถาบันกษัตริย์ต้องปรับตัวในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว และผมเชื่อว่าผู้ใหญ่ที่ อ.ชาญวิทย์พูดว่า “เห็นด้วยๆ” นี่ เขาเห็นด้วยจากใจจริง

               แต่ปัญหาคือใครจะเป็นคนปรับ เพราะนี่เป็นครั้งแรกของความเคลื่อนไหวในสังคมไทยหลัง พ.ศ. 2476-2490 begin_of_the_skype_highlighting            2476-2490      end_of_the_skype_highlighting ที่คนหน้าตาไพร่ๆ อย่างพวกเรามีส่วนร่วมในการปรับ และสิ่งนี้ต่างหาก ท่าทีอันนี้ต่างหากเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ เพราะจากช่วงเวลา พ.ศ. 2476-2490 begin_of_the_skype_highlighting            2476-2490      end_of_the_skype_highlighting ก็ 60 กว่าปีที่ยาวนานมากที่สถาบันกษัตริย์ควบคุม เลือกการปรับตัวได้ แต่คราวนี้ไม่ใช่ มีคนหน้าไพร่ๆ อย่างพวกเราเข้ามาขอมีส่วนบ้าง กรณีที่อ.เวรเจตน์โดนชกไม่ใช่เรื่องเล็กไม่ใช่เรื่องคนดีคนเลว แต่เพราะท่าทีที่บังอาจถึงขนาดที่จะเป็นผู้หนึ่งที่จะปรับเปลี่ยนสถาบันกษัติย์ อันนี้ต่างหากที่เขารับไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่พวกเราต้องรับต่อไป อาจจะไม่ใช่กำปั้นโดยตรง แต่เราทุกคนจะต้องโดนอย่างเดียวกับที่อ.วรเจตน์โดน เพราะคุณกำลังทำสิ่งที่มันท้าทายต่ออำนาจที่ดำรงอย่างค่อนข้างยืนนานในประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2490 เป็นต้นมา ไม่มีหนทางเรียบง่ายหรือสบาย อะไรจะเกิดก็ต้องพร้อมยอมรับมัน

               วรเจตน์ ภาคีรัตน์: ปรากฏการณ์ 112 ริกเตอร์ คือสัญญาณว่าสามัญชนกำลังจะลุกขึ้นยืนตัวตรง

              วรเจตน์ ภาคีรัตน์ กล่าวว่า การเกิดปรากฏการณ์ 112 ริกเตอร์ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากมีสัญญาณชัดเจนว่าประชาชนสามัญชนกำลังจะลุกขึ้นยืนตัวตรง และความพยายามนี้หลายคนยังรับไม่ได้ อย่างที่ อ.นิธิได้กล่าวมา ซึ่งถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 15 ม.ค.55 ที่ผ่านมาเขาได้นั่งอยู่บนเวทีนี้และอธิบายตัวร่างแก้ไขมาตรา 112 โดยหวังว่าคนที่ไม่เข้าใจจะเปิดใจรับฟัง เมื่อย้อนรำลึกกลับไป หลัง 15 ม.ค. สัก 1 สัปดาห์ก็ยังไม่เป็นข่าวใหญ่ แต่เริ่มเป็นข่าวเพราะว่าหนังสือพิมพ์ไปเสนอเรื่องนิติราษฎร์เสนอให้กษัตริย์ต้องสาบานตนว่าจะพิทักษ์รัฐธรรมนูญ และปิยบุตร แสงกนกกุล เสนอเรื่องกษัตริย์ไม่ควรมีพระราชดำรัสสด จากนั้นกระแสข่าวก็โหมโจมตีคณะนิติราษฎร์อย่างรุนแรง และทำให้ 112 ได้รับรู้สู่สังคมวงกว้างขึ้น

               วรเจตน์กล่าวว่าเมื่อเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 เข้าสู่ความรับรู้ของสาธารณะอย่างเต็มรูปแบบก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาที่ตัวเขาค่อนข้างมาก และแม้ทางเดินจะยาวก็ต้องเดินต่อไป สำหรับวันนี้เป็นจุดที่น่าดีใจที่มีรายชื่อเพียงพอ และเมื่อประชาชนพยายามลุกขึ้นยืนแล้วก็ต้องยืนให้ได้ ยืนให้ตรง และการเสนอร่างแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ต่อสภา ต่อเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอน

               “คำถามที่หลายคนอาจจะสงสัยคือว่ามันจะประสบความสำเร็จไหม ผมคิดว่าเราหลายคนในที่นี้ก็รู้แก้ใจว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เรากำลังพยายามพูดถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งในสังคมไทย 112 เป็นประเด็นที่สาธารณชนต้องพูดถึงต่อไป ท่าทีของนักการเมืองนั้นเห็นอยู่แล้วว่าไม่ประสงค์จะแก้ไข พรรคที่เป็นรัฐบาลก็ปฏิเสธการแก้ไขอย่างเด็ดขาด หลายคนก็สงสัยว่าแล้วจะทำไปทำไม เพราะโอกาสที่จะผ่านสภาคงมีไม่มาก ผมเรียนว่าความสำเร็จนั้นเป็นคนละเรื่องกับความพยายาม เราพยายาม ความสำเร็จเป็นเรื่องในอนาคต ผมรู้สึกว่าการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ผมรู้สึกว่าอาจจะช้าเกินไปแล้ว หรืออาจจะสายเกินไปแล้ว แต่ว่าแน่นอน นี่เป็นสิ่งที่ฝ่ายชนชั้นนำควรต้องประเมินว่าความรู้สึกของคนในสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้วในกระแสโลกาภิวัตน์ การปรับตัวเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”

               “มาตรา 112 คงเป็นอุปสรรคสำคัญอันหนึ่งทำให้การทำงานทางวิชาการเป็นไปได้ยากลำบาก โอกาสที่พัฒนาไปสู่ความก้าวหน้าก็ไม่ง่าย โอกาสที่จะแก้ไขหรือปฏิรูปหรือยกเลิกเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ใช่แค่เรื่องนักโทษที่เป็นลำดับแรกที่เราคำนึงถึง แต่รวมถึงการพัฒนาประเทศในอนาคตต่อไปด้วย ตลอดระยะเวลา 112 วันผมเฝ้ารอคอยการโต้เถียงอย่างเป็นอารยะจากฝ่ายที่เห็นว่ามาตรา 112 ควรดำรงอยู่ต่อไป ทุกครั้งที่มีจดหมายมาถึงผม ผมหวังว่าจะได้เห็นความเห็นที่แตกต่างอย่างเป็นเหตุเป็นผล แต่ 112 วันผ่านไป ผมไม่พบความเห็นที่เป็นเหตุเป็นผลทั้งในที่สาธารณะและในที่ส่วนตัว ว่าทำไม 112 จึงแก้ไม่ได้”

                 วรเจตน์กล่าวว่าข้อโต้แย้งที่มักพบคือกฎหมายนี้มีมานานแล้ว ซึ่งจริงๆ กฎหมายมาตรานี้มีปัญหาอย่างน้อยที่สุดในทางหลักการ และทางทฤษฎี และมีคนได้รับความเดือดร้อนจริงๆ จึงไม่สามารถปฏิเสธปัญหาของมาตรานี้อีกต่อไป

               “ผมคิดว่าวันนี้การเมืองไทยมาถึงทางแยกที่สำคัญ ปรากฏการณ์ 112 จะเป็นปัจจัยสำคัญ มีหลายคนที่ผมคิดว่าเขาอยู่ใกล้ผม แต่เมื่อเกิดปรากฏการณ์นี้เขาอยู่ห่างจากผมมาก แต่บางคนในความมืด ผมไม่เคยคิดว่าเขาอยูใกล้ผม ผมก็พบว่าเขาอยู่ใกล้ๆ ผมนี่เอง”

              ถึงทางแยก 112 vs ปรองดอง จะเดินต่อบนหนทางประชาธิปไตย หรือจะแยกไปเส้นทางอื่น

               วรเจตน์กล่าวว่า ความพยายามเสนอเรื่องนี้ด้วยใจบริสุทธ์และซื่อตรงนี้อาจจะสร้างความขุ่นเคืองใจขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายการเมืองอาจจะประเมินเรื่องเหล่านี้ต่ำเกินไป ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นวันนี้จะละเลยเรื่อง 112 ไม่ได้ อำนาจไม่ได้อยู่ในมือชนชั้นนำไม่กี่คนอีกต่อไปแล้ว แม้แต่หมู่คนเสื้อแดงด้วยกันเอง อำนาจของพ.ต.ท.ทักษิณที่มีต่อการชี้ประเด็นต่างๆ นั้นอาจจะไม่เพียงพอ เมื่อพูดถึง 112 ตอนนี้สังคมไปไกลมากแล้วและดำเนินมาถึงทางแยกสำคัญ หลังจาก 29 พ.ค. นี้ที่เสนอต่อสภา ก็คงตามมาด้วยพ.รบ.ปรองดอง สองเรื่องนี้เมื่อรวมกันเข้าก็แยกคนออกว่าใครจะเดินต่อไปบนเส้นทางประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ใครจะเดินไปบนเส้นทางอื่น ซึ่งก็ยากที่จะเดินร่วมกันไปได้ ที่สุดต้องตัดสินใจ จำนวนคนที่เดินไปในทางนี้อาจจะไม่มาก แต่คงจะมากขึ้นเป็นลำดับ โดยส่วนตัวผมเองอยากจะขอบคุณหลายคนที่สร้างปรากฏการณ์ 112 ริกเตอร์ขึ้นมา ท่านหนึ่งที่ผมอยากจะเอ่ยคือ อาจารย์สมศักดิ์ [เจียมธีรสกุล] ที่ได้แสดงความเป็นห่วง แม้ความเห็นจะแตกต่างกัน แต่ท่านเป็นคนหนึ่งที่ทำให้การอภิปรายเรื่องนี้มีวิตชีวาในหมู่นักวิชาการทั่วไป ผมได้รับกำลังใจจากคนจำนวนมาก ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่เคยคิดว่าจะมาอยู่ในจุดที่นำในทางความคิดในลักษณะแบบนี้ แต่ผมเชื่อว่าความคิดนี้ได้เข้ามาสู่สังคมแล้ว และเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะขยายออกไป

               “การรณรงค์เรื่องนี้คงไม่สำเร็จในเร็ววัน กิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องจะต้องดำเนินต่อไป จากนี้ถ้าใครด่าผม ผมอาจจะทำข้อสอบปรนัย 10 ข้อ ถ้าผ่านก็มีสิทธิด่าผมได้ แต่ถ้าไม่ผ่านก็อยากให้ไปทำความเข้าใจเสียก่อน แล้วค่อยมาด่าต่อไป”

              “เราพยายามลุกขึ้นยืนตรง และเรายืนตรงคนเดียวไม่พอ เราต้องพยายามชวนคนในสังคมให้ลุกขึ้น มีคนจำนวนไม่น้อยพอใจที่จะนั่งพับเพียบต่อไป เราอาจจะต้องบอกกับเขาว่านั่งพับเพียบนานๆ มันเมื่อย และอธิบายให้เขาเข้าใจถึงการยืนตัวตรง และในที่สุดปรากฏการณ์ 112 ริกเตอร์จะได้เปลี่ยนสังคมไทย ปรับทัศนะสถาบันกษัตริย์ ศาล และกองทัพให้อยู่ร่วมกันได้โดยสันติและปลดวงจรความสูญเสียเสียที ”

             วรเจตน์กล่าวถึงข้อกล่าวหาว่าการแก้ไขมาตรา 112 จะทำให้คนด่าเจ้าได้โดยอิสระนั้น เขาเห็นว่าการเปิดโอกาสให้คนได้วิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตจะลดทอนอารมณ์เช่นนั้นออกไป เหมือนรูระบายให้แก่กาน้ำที่กำลังเดือด และเขาย้ำว่า การแก้ไขมาตรา 112 ในเวลานี้อาจจะช้าเกินไปแล้วด้วย

ถาม-ตอบ

ถาม กษัตริย์มาจากการเลือกตั้งได้หรือไม่

วรเจตน์: ปกติเราอธิบายว่ากษัตริย์มาจากการสืบสันตติวงศ์ แต่ถ้ามาจากการเลือกตั้งก็จะเป็นประธานาธิบดี ไม่ใช่ราชอาณาจักรแล้ว แต่มีกรณีที่กษัตริย์มาจากการเลือกได้ เป็นการเลือกในหมู่ราชวงศ์ที่สืบเชื้อสายมา แต่ที่มาจากประชาชนไปลงคะแนน ระบอบแบบนี้ไม่มีอยู่เพราะระบอบกษัตริย์ใช้ระบบการสืบสันตติวงศ์ และจึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีปัญหาตลอดเวลาที่มีการเปลี่ยนรัฐเข้าสู่รัฐสมัยใหม่

ถาม กษัตริย์ไม่รับรองการรัฐประหารได้ไหม

วรเจตน์: ท่านคิดว่าได้หรือไม่ ในฐานะที่เป็นนักกฎหมาย ขอตอบว่าในประเทศสเปนเคยมีกรณีกษัตริย์ไม่รับรองการรัฐประหาร แต่ถ้าพูดกันทางหลักการ เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนสุ่มเสี่ยง โดยกษัตริย์สเปนถือว่ามีหน้าที่ต้องพิทักษ์รัฐธรรนูญและนี่เป็นเหตุผลอันหนึ่งที่นิติราษฎร์เสนอว่าก่อนขึ้นครองราชย์ให้กษัตริย์ปฏิญาณ หรือแสดงออกว่าจะพิทักษ์รัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดเพื่อแสดงให้เห็นว่าประมุขของชาติ รัฐธรรมนูญกำหนดให้พระองค์พิทักษ์รัฐธรรมนูญไว้ ต่อมาเมื่อทหารคิดจะทำรัฐประหารจะไปกำหนดให้พระมหากษัตริย์ ลงนามก็ทำให้กษัตริย์ต้องทรงฝ่าฝืนคำปฏิญาณ ผมตอบได้เท่านี้

ถาม กษัตริย์มาจากสามัญชนได้ไหม

ชาญวิทย์: ต้องตอบด้วยวิชาประวัติศาสตร์ เพราะถ้าไม่รู้ประวัติศาสตร์ก็เหมือนตาบอดข้างหนึ่ง แต่ถ้าเชื่อประวัติศาสตร์ฉบับกระทรวงศึกษาธิการก็ตาบอดสองข้าง คำถามนี้ ถ้าดูประวัติศาสตร์ ก็ต้องตอบแบบ น.ม.ส. ว่า “อันผู้ดีมีมาแต่ไหนแน่ สืบไปแน่แท้ก็คือไพร่” จักรพรรดินโปเลียนที่สถาปนาพระองค์ขึ้นมายิ่งใหญ่มาก ก็มาจากสามัญชน

               สมเด็จพระเจ้าตากสิน พระเจ้ากรุงธนบุรี พระพุทธยอดฟ้ารัชกาลที่ 1 คือต้องเริ่มต้นจากเป็นสามัญชนทั้งนั้น เพียงแต่ว่าโลกในอดีต โลกสมัยเก่าสามารถสถาปนาราชวงศ์ใหม่ได้ แต่ปัจจุบันโลกสมัยใหม่เป็นไปไม่ได้แล้ว โลกสมัยใหม่ไม่สามารถมีราชวงศ์ใหม่ๆ ได้ ล่าสุดไม่กี่สิบปีนี้ที่อังกฤษสถาปนาให้เป็นกษัตริย์ในตะวันออกกลาง เดิมเป็นหัวหน้าเผ่าเล็กๆ เช่นซาอุดิอาระเบีย จอร์แดน สวาซิแลนด์ เลโซโธ เป็นต้น

              ปัจจุบันถ้าดูสถิติจากบทความที่เกษียร เตชะพีระ แปลจากงานของเบน แอนเดอร์สัน ก็จะมีรายชื่อสถาบันกษัตริย์อยู่ราว 27-30 ประเทศ เป็น 15 เปอร์เซ็นต์ของสหประชาชาติ ที่ปัจจุบันมีสมาชิก 193 ประเทศ

             โดยชาญวิทย์กล่าวว่าปัจจุบันนี้โลกไม่ยอมรับราชวงศ์ใหม่ๆ แล้ว ที่จะมีผู้ปกครองโดยคนๆ เดียว

ถาม อาจารย์นิธิคิดอย่างไรกับ พ.ร.บ. ปรองดอง

นิธิ: ขอตอบสั้นๆ ว่าไม่เห็นด้วย แต่เมื่อถามว่าความเป็นไปได้ในทางการเมือง จะปลดปล่อยผู้กระทำผิดสังหารประชาชน เราจะต่อต้านอย่างไร ก็สารภาพว่าตันมากๆ แต่แน่นอนจะไม่ไปร่วมกับ พธม. ในการต่อต้าน ขณะที่เราต้องการพลังในการที่จะควบคุมนักการเมืองไว้ต่อไปให้ได้ ฉะนั้นก็ตอบไม่ได้

             และคิดว่าประชาชนเล่นการเมืองเรื่องการเลือกตั้งน้อยเกินไป เราต้องคิดให้ดีว่าเราจะใช้การหย่อนบัตรเพื่อคุมนักการเมืองอย่างไร นักการเมืองส่วนใหญ่เลวทั้งนั้น แต่เราอย่าเกลียดคนเลว คนดีที่คุมไม่ได้อันตรายกว่าคนเลว ปัญหาของเราคือต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทำ สร้างองค์กรและขบวนการที่ประชาชนอย่างเราสามารถคุมคนชั่วได้ และหนึ่งในการคุมคนชั่วก็คือมีการเลือกตั้ง เราต้องกลับมาคิดเรื่องนี้ให้ดีว่าทำอย่างไรจะคุมนักการเมืองได้

              ประเด็นที่สอง เป็นความจริงที่ว่าทุกราชวงศ์ในโลกนี้กลัว ไม่ว่าราชวงศ์ใดก็แล้วแต่ถ้าคุณพบว่าเลิกไปล้มไปก็จะไม่เกิดราชวงศ์ใหม่อีก พูดง่ายๆ ก็คือตัวระบบมันอยู่ไม่ได้อีกแล้วในโลกปัจจุบันนี้ และความรู้อันนี้ผมคิดว่าสำหรับเราประชาชนไม่ได้สนใจเท่าไร แต่สำหรับคนที่อยู่ในราชวงศ์เขารู้ดี และเขารู้ดีนี่แหละที่น่ากลัว

              นิธิกล่าวถึงฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องควีนส์ กรณีท่าทีของราชวังต่อการตายของเลดี้ไดอานา หลังจากที่รัฐบาลบอกร้อยแปดว่าไดอานานั้นมีคนรักมาก คนเริ่มออกมารำลึก วางดอกไม้ไว้อาลัย แล้วราชวังจะยังเฉยอยู่ไม่ได้ ที่สุดแล้วรัฐบาลก็ถวายคำแนะนำแนวทางปฏิบัติ แสดงให้เห็นว่าในสังคมประชาธิปไตย อำนาจจะงัดกันไปมา แต่ที่สุดแล้วต้องมีอำนาจหนึ่งที่เป็นสุดยอดที่จะตัดสินและผู้มีอำนาจนั้นก็คือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่แทนที่จะเป็นคำสั่งก็เป็นการถวายคำแนะนำให้ปฏิบัติ

               นิธิกล่าวว่า มีนักวิชาการรายหนึ่งอธิบายว่า ก่อน 24 มิ.ย. อำนาจอธิปไตยเป็นของกษัตริย์ หลัง 24 มิ.ย. อำนาจธิปไตยกลับมาเป็นของประชาชน ทำให้หลังรัฐประหาร อำนาจคืนมาสู่กษัตริย์ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ทรงลงพระปรมาภิไธยรับรองการรัฐประหาร แต่จริงๆ แล้ว 24 มิ.ย 2475 ร.7 ได้ลงพระนามในฐานะพระมหากษัตริย์ไทยรับรองว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน เป็นการผูกมัดกษัตริย์ทุกพระองค์
http://redusala.blogspot.com

สถิติที่น่าสนใจของการใช้มาตรา 112
รายงานพิเศษ: 
สถิติที่น่าสนใจของการใช้มาตรา 112 
โดย *I Pad* และ สภ.ร้อยเอ็ด
Fri, 2011-12-09 16:26  (อ้างอิงจาก เวบไซท์ประชาไท) 

            กรณีศึกษาเมื่อสามัญชนฟ้องร้องบุคคลอื่นด้วยกฎหมายอาญามาตรา 112 ไอแพด-วิพุธ สุขประเสริฐ และสภ.ร้อยเอ็ด กับตัวเลขที่น่าสนใจเชิงสถิติ ภายใน 1 ปี กล่าวหาบุคคลทั่วไปว่ากระทำผิดมาตรา 112 ไปแล้วอย่างน้อย 15 ราย จากการถกเถียงท้ายบทความของประชาไทจำนวน 3 บทความ
            การฟ้องร้องกันด้วยกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า กฎหมายหมิ่นฯ กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์จากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งในแง่มุมของตัวบทกฎหมายและกระบวนการบังคับใช้ นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความเห็นเกี่ยว กับกฎหมายมาตราดังกล่าวว่า การบังคับใช้ของกฎหมายนี้รุนแรงเกินไปโดยเฉพาะในแง่ของการฟ้องร้องที่เปิด โอกาสให้ใครก็ได้สามารถกล่าวโทษ ทั้งนี้ เขาเสนอแนะว่า อาจมีการตั้งหน่วยงานที่ทำหน้าที่สั่งฟ้องโดยเฉพาะ เพื่อป้องกันไม่ให้กฎหมายดังกล่าวถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง รวมถึงพิจารณาลดบทลงโทษให้ผ่อนคลายลงกว่าเดิมด้วย
            อย่างไรก็ตาม แม้จะเริ่มมีแรงกระเพื่อมในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ต่อกฎหมายดังกล่าว แต่ข้อเท็จจริงคือสถิติคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้น เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดภายในเวลา 5 ปี หลังการรัฐประหาร เฉพาะปี 2553 มีการดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหาจำนวน ทั้งสิ้น 478 คดี เพิ่มขึ้นเป็นสามเท่า เทียบกับปี 2552 ซึ่งมี 164 คดี และปี 2550 จำนวนทั้งสิ้น 126 คดี
            ในช่วงเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งการเมืองไทยกำลังเข้มข้นด้วยขบวนการทั้งฝ่ายต่อต้านทักษิณและสนับสนุน ทักษิณ พื้นที่ท้ายข่าวของประชาไทถูกเปิดไว้ โดยผู้โพสต์ความเห็นท้ายข่าวของประชาไทมาจากหลากหลายอุดมการณ์และแนวคิด อย่างไรก็ตาม ในระยะเวลา 1 ปีกว่าที่ผ่านมา บรรยากาศการถกเถียงท้ายข่าวของประชาไทเริ่มคุกรุ่นด้วยการใช้กฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยผู้ใช้นามแฝงว่า I pad ซึ่งมักเข้ามาแสดงความเห็นโจมตีฝ่ายที่เห็นต่างอย่างรุนแรง หยาบคาย พร้อมทั้งขู่ว่าจะฟ้องร้องคู่สนทนาของตนเองด้วยมาตราดังกล่าวอยู่เนืองๆ
            ประชาไทติดตามสำเนาคำฟ้องที่ I pad นำมาโพสต์เพื่อยืนยันว่า ได้กระทำการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อเจ้าพนักงานสอบสวน สภ.เมืองร้อยเอ็ดจริง ได้ทั้งสิ้น 3 ครั้ง รวมผู้ถูกกล่าวหาทั้งสิ้น 15 คน จากจำนวนที่ไอแพดอ้างว่าเขาได้ร้องทุกข์กล่าวโทษผู้แสดงความเห็นท้ายข่าวประชาไทไปทั้งสิ้น 8 ครั้ง
            ทั้งนี้ จากการโพสต์ข้อความของ I pad ซึ่งอ้างว่าเป็นผู้ฟ้องร้องผู้โพสต์ข้อความท้ายข่าวประชาไททั้ง 15 รายนั้น ปรากฏในคำร้องทุกข์ของเจ้าพนักงานว่า ผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษชื่อ นายวิพุธ สุขประเสริฐ ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.ร้อยเอ็ด และเป็นนักกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมืองร่วมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย
รายละเอียดของการฟ้องร้องแต่ละครั้งมีดังนี้
วันที่ 1 พ.ย. 2553
           นายวิพุธ สุขประเสริฐ ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ. เมืองร้อยเอ็ด มีผู้ถูกกล่าวหาทั้งสิ้น 5 ราย เป็นผู้ใช้นามแฝงในการโพสต์ท้ายข่าวในเว็บไซต์ประชาไท 4 ราย และเว็บมาสเตอร์ประชาไท 1 ราย
          โดยร้องทุกข์กล่าวโทษว่าบุคคลดังกล่าวหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
           ในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี ไม่ปรากฏว่า นายวิพุธอ้างข้อความใดว่าเป็นการกระทำผิดที่มีลักษณะดังกล่าว

          ไม่ปรากฏการอ้างอิง url ของเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเข้าข่ายการกระทำความผิดดังกล่าว

วันที่ 6 ธ.ค. 2553
           นายวิพุธ สุขประเสริฐ ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ. เมืองร้อยเอ็ด มีผู้ถูกกล่าวหาทั้งสิ้น 10 ราย เป็นผู้ใช้นามแฝงในการโพสต์ท้ายข่าวในเว็บไซต์ประชาไท 8 ราย เว็บมาสเตอร์ประชาไท 1 ราย และบรรณาธิการประชาไท 1 ราย
          ในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี ไม่ปรากฏว่า นายวิพุธอ้างข้อความใดว่าเป็นการกระทำผิดที่มีลักษณะดังกล่าว

          ไม่ปรากฏการอ้างอิง url ของเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเข้าข่ายการกระทำความผิดดังกล่าว

วันที่ 11 ส.ค. 2554
           นายวิพุธ สุขประสริฐ ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ. เมืองร้อยเอ็ด มีผู้ถูกกล่าวหาทั้งสิ้น 3 ราย เป็นผู้ใช้นามปากกาในการเขียนบทความ 1 ราย ผู้ใช้นามแฝงในการแสดงความเห็นท้ายข่าวในเว็บไซต์ประชาไท 1 ราย และเว็บมาสเตอร์ประชาไท 1 ราย
           ในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี ไม่ปรากฏว่า นายวิพุธอ้างข้อความใดว่าเป็นการกระทำผิดที่มีลักษณะดังกล่าว

          ไม่ปรากฏการอ้างอิง url ของเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเข้าข่ายการกระทำความผิดดังกล่าว

           บางครั้งที่ผู้ใช้นามแฝง Ipad ขู่ว่าจะฟ้องผู้โพสต์ข้อความท้ายข่าวประชาไท เขาจะนำเอาใบรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีซึ่งเจ้าพนักงานสอบสวนบันทึกไว้ มาโพสต์เพื่อแสดงความคืบหน้าในการดำเนินการ เช่น
วันที่ 19 พ.ย. 2553
ขอโพสต์ข้อความที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อหา (ไร้) สาระ ในคอลัมน์นี้ ของนายเห่าอ่อนไหล หน่อย ติ๊ล่ะ!
เพราะ ให้เครดิตว่าคอลัมน์ของนาย ''อ่อนไหล น่าจะมีคนเข้าชมมากพอดู (นี่ชมนะเนี่ย!) ฮา
จึงขอยืม ส่วนแสดงควายคิดเห็น ของนาย ''อ่อนไหล ประกาศ ดังนี้
ประกาศ
ได้มี สาวก@ป่าช้าไท ตนหนึ่ง นาม ปรวย ท้าทายว่า I Pad เอาแต่ขู่ว่าจะฟ้อง จะแจ้งความ
พอดีว่า I Pad เป็นคนหัวอ่อน ใครสั่งให้ทำอะไรก็ทำตามทุกอย่าง ;)~ นาย ปรวย บอกให้ฟ้อง ก็ ฟ้อง และสั่งไว้อีกว่า ฟ้องแล้วก็เอาหลักฐานการฟ้องมาให้ดูด้วย อย่าเอาแต่พูดลอย เว่าพล่อยๆ แบบ นังดอก เจ มัน! มันไม่ดี ;)~ I Pad ก็เชื่อก็ทำตาม จึงขอแจ้งให้ไปชม บันทึกประจำวันเอาได้ที่นี่
คลิก เอาเลย เพียก ;)~
จบ! ข่าว
ขอ แส ดง ค่วมนับถือ คักคัก ;)~
ลายเซ็นต์ I Pad
(นาย I Pad บ้านโคกอีแหลว แอ่วมอง) ;)~
ปล. ท่านที่ติดร่างแหไปกับนายปรวย ก็ รวมทั้งหมด 6 คน อันได้แก่ ปรวย, น้ำลัด, ว ณ ปากนัง, MM, คนเมียง และ เว็บมัสเตอร์เบชั่น สวัสดี
อ้อ! คราวหน้าคาดว่าจะเป็นคราวของ นายเห่าอ่อนไหล (เจ้าของคอลัมน์ นี้นั่นเอง) ;)~ ผลเป็นประการใดจะแจ้งให้แซ่บ อีกเตื้อ มื่อหน้า เด้อ สู! ;)~
วันพฤหัสบดีที่ 20 ม.ค. 2554 IPAD โพสต์ข้อความดังนี้
แล้วมาถึงก็ได้ละเลงใน คห. ที่อยู่บนสุด ก็ขอซะเลย
ถึงบรรดาเพื่อนๆ กลุ่มเสียง เป็นโรคท่องเที่ยวร้อยเอ็ด (โดยจำใจ) (ฮา) ทราบ
วันนี้กระผมนาย I Pad ได้ไปให้ปากคำเพิ่มเติมครบ 8 คดี เป็นที่เรียบร้อยแว๊ววววว
แล้วบังเอิ๊ญ บังเอิญ ร้อยเวรคดีนี้แกเป็นคนไม่ค่อยรอบคอบ แกเล่นเอาสำนวนคดีมากางให้ I Pad อ่านแล้วให้ปากคำเพิ่มเติม แถมพิมพ์ช้ามาก
ระหว่างให้ปากคำสำนวนคดีนี้จึงเป็นสำนวนคดีที่ I Pad ได้แอบอ่านมากที่สุด กร๊ากกกกกกกก
จน I Pad ได้อ่านไปถึงรายงานจาก Service Provider ทีทำหนังสือตอบมาซึ่งระบุหมายเลข IP ของแต่ละนามแฝง ลงลึกไปถึง ที่ตั้งของ คอมฯ เครื่องนั้น อยู่ที่บ้านเลขที่อะไร ถนนอะไร เมืองอะไร ประเทศอะไร ลึกขนาดนั้นเลย
แล้วในหนังสือนั้นยังแจ้งอีกว่า ขั้นตอนการสืบค้นถึงชื่อบุคคลนั้น ขอให้ทาง สตช. เรียกร้องเพิ่มเติมพร้อมหมายศาล จึงจะสมารถให้ข้อมูลขั้นต่อไปได้
นั่นก็คือท่านผู้ติดเชื้อโรคท่องร้อยเอ็ด (ฮา) ยังไม่โดนระบุถึงชื่อ นามสกุล จริง แต่ก็ระบุที่อยู่ที่ก่อเหตุไว้เรียบร้อยแล้ว
ซึ่งหลังจากนี้เมื่อ สภอ. เมืองร้อยเอ็ด มีคำสั่งเห็นควรสั่งฟ้อง แล้วอัยการ จว. ร้อยเอ็ด เห็นสมควรตาม เสนอต่อศาล แล้วศาลออกหมาย ทีนี้ สตช. ก็คงขอไปยัง Service Provider เพื่อขอสืบค้นชื่อ นามสกุลจริง ต่อไป
จึงเรียนมาเพื่อโปรดติดตามด้วยใจประหวั่น พลัน (ฮา)
ปล. มีบางท่านไปแอบก่อคดีไกลถึง สรอ. รัฐ นิวเม็กซิโก โน่นแน่ะ! แต่ก็อย่างที่บอก ตร. เขาไม่ได้โง่นะ เพียงแต่เขาจะตามหรือไม่เท่านั้นเอง! แต่ได้ข่าวว่าเขารออนุมัติ แล้วร้อยเวรก็จะเดินทางไปตามถึง สรอ. ด้วยตนเอง
โชคดีนะ ปรวย, เปลียนแปลงสยาม และ น้ำ.... (ฮา)
กรณีของ I pad หรือนายวิพุธ สุขประเสริฐคือตัวอย่าง ของการที่ "ใครก็ได้" สามารถนำเอากฎหมายอาญามาตรา 112 ไปร้องทุกข์กล่าวโทษต่อเจ้าพนักงาน โดยนายวิพุธ คือตัวอย่างของคนที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับสถาบันกษัตริย์แล้วเอากฎหมายนี้ไปใช้กล่าวหาผู้ที่ มีความเห็นต่างจากตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อไม่สามารถอดทนถกเถียงแลกเปลี่ยนด้วยเหตุผลและหลักวิชา ขณะที่ สภ. เมืองร้อยเอ็ด ก็กำลังจะเป็นตัวอย่างของกลไกลในกระบวนการยุติธรรมของไทยที่ไม่ทำหน้าที่ตี ความและบังคับใช้กฎหมายให้เป็นคุณแก่เสรีภาพในการแสดงความเห็นของประชาชน
         น่าจับตาดูว่า นายวิพุธ สุขประสริฐและสภ.เมืองร้อยเอ็ด จะสร้างสถิติในการเป็นบุคคลและเป็นสถานีตำรวจที่ฟ้องและรับฟ้องคดีหมิ่นฯ มากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยหรือไม่
          ทั้งนี้ การที่กฎหมายมาตราดังกล่าวถูกใช้อย่างแพร่หลาย โดยบุคคลธรรมดาที่สามารถนำมาตราดังกล่าวไปร้องทุกข์กล่าวโทษแก่เจ้าพนักงาน ได้ และทางปฏิบัติ เจ้าพนักงานก็รับร้องทุกข์ไว้นั้น มีส่วนช่วยเพิ่มจำนวนคดีหมิ่นฯ ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ บวกเข้ากับบรรยากาศทางการเมืองไทยมีความแตกต่างทางความคิดเชิงอุดมการณ์ อันนำไปสู่การถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับสถาบันหลักของประเทศ ซึ่งแม้เสรีภาพในการแสดงความเห็นจะเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่นานา ประเทศเคารพ ดังเช่นคำสัมภาษณ์ของ กงสุลสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยซึ่งแสดงความผิดหวังอย่างรุนแรงต่อกระบวน การยุติธรรมไทยที่ตัดสินโทษ นายโจ กอร์ดอนว่ามีความผิดตามมาตราดังกล่าว ว่า"เรายังคงเคารพสถาบันกษัตริย์ของไทย แต่ในขณะเดียวกันเราก็สนับสนุนสิทธิในการแสดงออก ซึ่งเป็นหลักสิทธิมนุษยชนซึ่งได้รับการรับรองในทางสากล" แต่หลักการเช่นนี้ ยังเป็นสิ่งที่ต้องพิสูจน์ ไม่ใช่จากผู้มีอำนาจบังคับใช้กฎหมายของไทยเท่านั้น แต่หมายถึงคนไทยทั่วๆ ไปด้วย
             "มาตรา 112 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จ ราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี"
*******************************************
http://redusala.blogspot.com

วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555


ความปรองดอง เป็นฉันใด ?

ความปรองดองเป็นไฉน ?! โดย...สอาด จันทร์ดี

ปรองดองเป็นไฉน?            บริบทแห่งความปรองดองดูเหมือนยังไม่ตกผลึก  เพราะยังมีเสียง “คัดค้าน” ดังมารอบทิศ  เสียงที่คัดค้านเหล่านั้นดังมาจากทุกฟากฝั่ง ไม่ว่าจะเป็นฝั่งพรรคประชาธิปัตย์ที่ก่นหาถ้อยคำเอามาขัดขวาง หาว่าจะปรองดองเพื่อคน-คนเดียว “คือ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร”  ที่ยังคงระเห็จอยู่ต่างแดน

            ส่วนอีกฟากหนึ่ง คือเสียงกึกก้องจากคนเสื้อแดงที่ไม่เห็นด้วยที่จะปรองดองแล้วอภัยให้แก่นักฆ่ามหาโหด คือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณกับพวกไม่น้อยกว่า 9 คน  ที่ประชาชนรู้ดีว่า “เป็นใคร...?”  ซึ่งได้ร่วมกันเข่นฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยมทารุณ


            ผู้คนสองฝั่งฟาก จึงมีแนวคิดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


            ข่าวแจ้งว่าเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2555  สภาได้รับเรื่อง พ.ร.บ. ปรองดอง ที่พลเอกสนธิ บุณยรัตกลิน  หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ในฐานะ ส.ส. และในฐานะประธานความปรองดอง ได้ยื่นเรื่องเอาไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้กำหนดวันอภิปราย  ข่าวว่ายังจะมีร่างของพรรคร่วมรัฐบาลกับร่างของ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีอีก 2 ร่าง  รวมแล้วจะมีร่าง พ.ร.บ. ปรองดองถึง 3 ร่าง ที่จะให้สภาถกกันอย่างละเอียดรอบคอบ แล้วจะเลือกเอาร่างไหนเป็นร่างหลัก เพื่อจะหาหนทางประกาศเป็นกฎหมายแก้ไขความขัดแย้ง รวมไปถึงประกาศเป็นกฎหมายสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นกับชาติของเรา


             เราไม่อาจคาดเดาได้ว่า พ.ร.บ. ปรองดอง จะออกมาอย่างไร  แต่พอจะคาดเดาเอาไว้ล่วงหน้าว่าจุดหมายปลายทางของ พ.ร.บ. ปรองดองที่กำลังเดินทางขึ้นแท่นในสภาผู้แทนราษฎร จะมีความร้อนแรงทั้งในการเพิ่มข้อขัดแย้งให้แก่ทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้เนื่องจาก ถ้าจะมีการ “อภัย” ให้ท่านทักษิณ ไม่ว่ากรณีใดๆก็จะถูกคนพวกนั้นออกมาต่อต้านสุดเหยียด


             ในเวลาเดียวกันหากแม้นว่า พ.ร.บ. ปรองดอง ไม่เอาผิด (นิรโทษ) ให้แก่พวกฆาตกรที่เห็นอยู่ตำตาว่ามันคือใครก็จะมีการคัดค้านแบบตายไม่เผาผีขนาดนั้น  ซึ่งจะส่งผลให้เกิดข้อขัดแย้งครั้งใหม่ อันเกิดจากความเห็นไม่ลงรอยของคู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่าย



             ผมได้มีโอกาสรับฟังความเห็นจากผู้หลักผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในรอบเดือนที่ผ่านมาเกี่ยวกับเรื่องความปรองดอง (นิรโทษ) ซึ่งพอจะสรุปออกมาได้ ดังนี้


             ความเห็นของนายแพทย์ ประสงค์ บูรณ์พงศ์  อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งเป็นนักการเมืองสายประชาธิปไตย คร่ำหวอดกับระบบการเมืองไทยมาอย่างยาวนาน โดยมีความเห็นเกี่ยวกับการปรองดองเอาไว้ว่า  “ฝ่ายประชาธิปไตยอย่าหุนหันพลันแล่น ต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ” มีสติและปัญญาหยั่งถึงต้นตอของปัญหาอันเกิดจากรากเหง้าสังคมไทยมันเต็มไปด้วยกลุ่มอำนาจที่เกาะเกี่ยวกันเป็นพวง  พวกกลุ่มอำนาจเหล่านั้นไม่มีวันที่จะฉีกออกจากัน  พวกเขายังคง “เกื้อกูล” ด้วยการเป็นพันธมิตรของกันและกัน   ดังที่ทุกคนทราบดี แล้วก็ทราบดีว่าเราได้ถูกคนพวกนี้เข่นฆ่าราวีพวกเราอย่างสาหัสสากรรจ์เพียงใด
              พวกเขาเข่นฆ่าราวีพวกเราขนาดหนักเพียงใด ในที่สุดก็เอาผิดพวกเขาไม่ได้

              นายแพทย์ประสงค์ บูรณ์พงศ์ กล่าวต่อไปว่า ถ้ายืนยันที่จะจัดการให้จบสิ้นในวันนี้ ก็เป็นการยากที่จะเรียกหาความปรองดองได้  ดังนั้น คนเสื้อแดงจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องไม่เอาความปรองดองขึ้นมาเป็นเงื่อนไข แต่เราสามารถที่จะใช้บริบทแห่งความปรองดองเอามาเป็น “หมากอีกหมายหนึ่ง” เพื่อจะทำให้เห็นว่าพลังของประชาชนที่รักประชาธิปไตย เป็นพลังบริสุทธิ์  นับแต่จะก้าวหน้า มีอำนาจต่อรองในสังคมมากยิ่งขึ้น

              นายแพทย์ประสงค์ บูรณ์พงศ์ ไม่ได้เรียกร้องให้คนเสื้อแดงยินยอมอย่างสิโรราบ แต่ก็ไม่ได้เรียกร้องให้แข็งขืน ประเภทยอมหักไม่ยอมงอ หากแต่ต้องการบทสรุปก็คือ “ให้รับฟังความคิดเห็นของ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ด้วยความรักและความเข้าใจ”  ทั้งนี้เนื่องจากไม่มีใครรู้ลึกถึงจิตใจของทักษิณว่าได้รับ “ความบอบช้ำ” แสนสาหัสเพียงใด

     เราน่าจะรู้เองว่าท่านเผชิญชะตากรรมขนาดนั้น ยังทนอยู่ได้

     ต่อมา ผมได้สรุปเอาเองว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ถูกเผด็จการเล่นงานอย่างหนัก ถูกทำร้ายทางการเมืองด้วยความเจ็บปวด ลองคิดดูเอาเถิดครับว่านอกจากจะต้องถูกตราหน้าว่าล้มเจ้า หาว่าเป็นหัวหน้าก่อการร้าย ยังมีข้อหาอื่นๆอีกมากมาย อันล้วนแต่แสนจะเจ็บปวด ซึ่งใครเจอเข้ากับตัวเองอาจจะบ้าตายแล้วก็ได้

       พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ทนได้อย่างไร  น่าเห็นใจอย่างยิ่ง เช่นถึงขั้นต้องหย่ากับครอบครัวเพื่อความปลอดภัยของลูกเมีย ต่อมา...ถูกยึดทรัพย์  ถูกคำสั่งลับให้ยุติบทบาททางการเมือง ให้หลบลี้หนีหน้าไปอยู่ประเทศอื่น ห้ามกลับเข้าประเทศไทย อย่างนี้เป็นต้น
  
            เมื่อมันร้ายแรงถึงขนาดนั้น ก็เป็นเหตุอย่างสำคัญที่จะเป็นปัจจัย “บีบคั้น” ให้ท่านทักษิณอยากใช้หลายแนวทาง เพื่อจะได้กลับสู่แผ่นดินเกิด  ทั้งนี้โดยมีรัฐบาลที่เป็นของฝ่ายเราเป็น “กำแพง” ให้เอาหลังพิงให้ได้กลับสู่บ้านเกิดเมืองนอน

               ผมเขียนมาถึงตอนนี้ทำให้เกิดความสงสัยว่าพรรคเพื่อไทย และรัฐบาล น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเป็นกำแพงให้ “พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร” ได้กลับบ้านสำเร็จไหมหนอ ?  หรือว่าจะเป็นเพียงภาพลวงตาให้แผ่นดินนี้เป็นแผ่นดินอาถรรพณ์ ไม่รู้จักจบจักสิ้น   ผมย้อนหลังมองดูอดีต นับแต่พระยามโนปกรณ์ ต้องไปตายที่ปีนัง  พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ร. 7 สวรรณคต ณ ประเทศอังกฤษ  นายปรีดี พนมยงค์ สิ้นชีวิตที่ฝรั่งเศส  จอมพล ป. พิบูลย์สงคราม จบชีวิตที่ญี่ปุ่น ดร. ป๋วย ไปตายต่างแดน

               เขียนถึงตอนนี้...ทำให้เกิดความฉงน ?..จนต้องถามว่าความปรองดองนี้...มันเป็นไฉน ?


                                “สอาด จันทร์ดี”
http://redusala.blogspot.com

พรบ.ปรองดอง จะเข้าสู่สภาฯ ภายใน สัปดาห์หน้า





อ้างอิง:ด่วนมากๆครับ

ถึง เพื่อนๆทีเคลือนไหวประชาธิปไตย ทุกท่าน

พรบ.ปรองดอง จะเข้าสู่สภาฯ ภายใน สัปดาห์หน้า (คาดว่าจะเป็น 30-31 พฤษภาคม)

พรบ.นี้ นอกจาก นิรโทษกรรม คดีทีเกิดจากคำสัง คมช. ทั้งหมด เช่น คตส. (เช่น คดี รัชดา) และเลิกแบน นักการเมือง ... ซึง 2 อันนี้ผมว่า โอเค ไม่มีปัญหา หรือไม่น่าสนใจเท่าไร

แต่ จะ "นิรโทษกรรมหมด" รวม รบ.ชุดที่แล้ว และ จนท.ทั้งหมด แต่ไม่ยอมรวม คดี 112 ไว้ด้วย

ผมว่า ในขณะที่ ถ้า เพือไทย-นปช ต้องการจะเข็น พรบ.นี้ให้ผ่านแน่ๆ คงไมมีใครไปห้ามได้ (ผมสงสัยว่า ทำไมจึงรีบแบบนี้ สงสัย รู้สึก จังหวะ "พร้อม" แล้วมั้ง หลังการ "ถวาย" อะไรแต่อะไรแล้วน่ะ (ฮา ไม่ออก)

แต่ผมว่า เราต้องพยายาม "กดดัน"เต็มที่ ใน 2 นี้ครับ ทั้งเรื่อง "นิรโทษกรรม" การฆ่ากลางเมือง กับ ไม่นิรโทษกรรม 112 (ซึง ยังไง โทษ ก็น้อยกว่าแน่ๆ)

สู้จนถึงที่สุด ไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ให้รู้ว่า รบ.นี้ พรรคการเมืองนี้ และ นปช. ด้วย ทีอ้าง "ทำความจริงให้ปรากฏ" อ้าง "ไม่ปรองดองกับฆาตรกร" หรือคุยว่า "สู้เพื่อความยุติธรรม" (แต่ไม่นิรโทษ 112) จะเอาหน้าไปไว้ไหน?


ฉบับเต็ม










http://redusala.blogspot.com

วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2555


ASTV ตอแหลรายวัน กุข่าวนายกยิ่งลักษณ์ ไปดู นัง กากา 
ASTV กุข่าว ตอแหลรายวันอีกแล้ว
และควายเหลือง สลิ่มหลากสี ก็ถูกจูงแล้วจูงเล่า โถเจ้าควาย
เจ้าเดิม มัลลิกา บุญมีตระกูล จอมตอแหล

http://redusala.blogspot.com

ฝากคำถามถึงนปช.และแกนนำ…

ฝากคำถามถึงนปช.และแกนนำ… 
Started by ดาบมะเขือเทศ, 
Today, 09:55 AM
Posted Today, 09:55 AM  
(อ้างอิงจาก เวบบอร์ด IF)
ฝากคำถามถึงนปช.และแกนนำ….
โดย แด่เพื่อน ผู้เดือดร้อน 
เมื่อ 22 พฤษภาคม 2012 เวลา 15:50 น. ·

            หากเพื่อนๆ ที่รู้จักมักคุ้นกันดี คงทราบว่าปกติแล้ว ปลา “แทบจะ” ไม่เคยเอ่ยก้าวล่วงใครจริงๆ จังๆ ให้ต้องเสียกำลังใจกันเลย แต่ งานรำลึกครบรอบ 2 ปี ในวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา บอกตามตรงว่า “เคือง” จนต้องยอม “ออกตัว พลีชีพ”... และเตรียมใจพร้อมรับความเห็นต่าง เพราะในวันนี้ เราคงจะต้องวิจารณ์อย่างไม่ต้องเกรงใจ และรักษาหน้า รักษายศกันอีก  

                 ไปเพื่อก่อร่างสร้างชีวิตประชาชนให้ “เป็นไท” อย่างแท้จริง

            จริงอยู่การต่อสู้ของคนเสื้อแดง ทุกคนทุกข์ยาก ลำบาก และสู้ร่วมกันมาอย่างอดทน ด้วยความเต็มใจ พี่ น้องประชาชนจำนวนมาก หลายคนหยุดงานสูญเสียรายได้ หลายคนอดหลับอดนอน ใช้จ่ายเงินทองที่หาได้ยากในสมัยนี้ เดินทางไกลหลายร้อยกิโล......เพื่อมาร่วมงาน ตากทั้งแดดร้อน และฝนตก แต่ทุกคน มาด้วยใจ     เขาเหล่านี้มาเพื่ออะไร ???

             ความทุ่มเทของเขาเหล่านี้ สมควรแล้วหรือ กับสิ่งที่เขาได้รับ

             - มาฟังขวัญชัย ไพรพนา พร่ำเพ้อถึงแต่วีรกรรม “ผมลงจากเวที คนสุดท้าย หลังจากจตุพรเข้ามอบตัว” ..... คุณขวัญชัยคะ ..... พูดเพื่ออะไร?? มวลชนอีกจำนวนมาก ยังคงยืนอยู่ ณ.จุดเดิม ....ในเวลาที่คุณ “หนี” ลงจากเวที และเขาเหล่านั้นละทิ้งลานประหารอีกนานหลายนาทีต่อจากนั้น พวกเขาเสี่ยงชีวิต น้อยกว่าคุณหรืออย่างไร ? คุณรู้จัก “คุณผุสดี งามขำ – หญิงเสื้อแดงคนสุดท้าย” ไหม?? ผู้หญิงคนนี้ ทำให้เราต้องใช้คำใหม่ เวลาคิดจะเรียกใครว่า “หน้าตัวเมีย” อย่างที่คุณเป็น.... ในวันที่พามวลชนไปอนุสรณ์สถาน

             - มาเพื่อบริจาคหรือ? …….. ไม่ว่า วันนี้ หรือก่อนหน้านี้ สิ่งหนึ่งที่เวทีนปช.ดูจะกระทำจริงจังเสียเหลือเกิน คือ การตั้งโต๊ะบริจาค .... ราวกับรีดเลือดกับปู จริงอยู่มวลชน อยาก”ให้” ด้วยนิสัยพื้นฐานส่วนใหญ่เป็นคนแบ่งปัน การใช้วาทกรรม “คนเสื้อแดงไม่ทิ้งกัน” ยิ่งบีบรัดลึงให้เขากระเบียดกระเสียรเงินที่มีอยู่น้อยนิด แบ่งปันบริจาคไป ด้วยหวังว่าสุดท้ายจะย้อนกลับมาหามวลชน ผลที่ได้คืออะไร.... ช่วงสลาย - เงินบริจาคมากมาย หายไปพริบตาพร้อมกับข่าวหน้าหนังสือพิมพ์หราว่าเกิดศึกภายใน น้องภรรยาคุณวีระรวบหัวรวบหาง เปิดแน่บ เงินบริจาคของมวลชนที่ควรจะใช้จ่ายฉุกเฉินสำหรับพี่น้องเราที่บาดเจ็บ ล้มตาย อยู่ไหน??? หลังสลาย 1 ปี – เวทีนปช.กลับมาใหม่ พร้อมตั้งโต๊ะรับบริจาคอีกครั้ง

              ด้วยข้ออ้าง... เพื่อเยียวยามวลชน ...ในฐานะที่เราติดตามเรื่องเยียวยาและเคยติดต่อประสานงานเช่นกัน คำถามคือ เงินนั้น ได้นำมาใช้ประโยชน์จริงๆ หรือ ติดต่อกี่ครั้ง จบลงที่....”นปช.ไม่มีเงินแล้ว” และระดมบริจาคใหม่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หลังสลาย 2 ปี – ในวันที่ได้เป็นรัฐบาล และมีทีท่าว่ามวลชนจะได้รับเงินเยียวยา ... คุณยังคงตั้งโต๊ะบริจาคอยู่ เพื่อ???

               ข้อนี้ หากใครจะเถียงแทน ได้โปรดเถียงมา เพราะอย่างน้อย จะได้ช่วยบรรเทาความเอือมระอาและผิดหวัง ในใจปลาให้น้อยลง การตั้งเวที ปลาเชื่อว่า คุณมีเงินสนับสนุนอยู่ก่อนแล้ว และอย่างน้อย หากใครสักคนจะต้องบริจาค ... มันสมควรแล้วหรือ ที่จะต้องเป็นมวลชนเสื้อแดงที่ส่วนใหญ่หาเช้ากินค่ำ ตรากตรำทำงานหนักและออกมาเรียกร้องเพื่อสิทธิและปากท้องที่ดีขึ้น

                - มาเพื่อ....จะโดนการ์ดวีไอพีทั้ง หลายผลัก ดัน และตะคอกตะคั้น เพื่อให้หลบทางให้แก่ “แกนนำอำมาตย์” จริงอยู่ ฉันเรียนรู้ และเข้าใจได้ เรื่องการรักษาความปลอดภัยในแหล่งคนพลุกพล่านและจำนวนมากเช่นนี้ แต่หากคุณทำเช่นนี้ ปฏิบัติกับมวลชนราวกับไม่ใช่คน คุณอย่ามาเปลืองลมปาก พาใครไถ่ถามหาความเท่าเทียม และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เลย เพราะแม้แต่คุณเอง ก็ไม่เคยมี ..... ฉันเคืองโกรธ ในนาทีที่เห็นการ์ดของ “แรมโบ้ อีสาน” ดันมวลชนให้หลบพ้นทาง ฉันตะโกนออกไปแบบดังๆ ว่า “เฮ้ย นี่มันม๊อบอำมาตย์นี่หว่า ไม่ใช่ม๊อบไพร่แล้ว” การ์ดหันมามองหน้าฉัน อย่างไม่สบอารมณ์ และฉันเอง...พร้อมมีเรื่อง! ไม่นับรวม “แก๊งค์นักรบองค์ดำ” ที่แหวกฝูงชน เพื่อให้ตัวเองได้เดินอย่างยิ่งใหญ่... อยากถามคุณคำหนึ่ง ในวันสลายการชุมนุมคุณ”สู้” อยู่ที่ไหน.... ในความทรงจำที่ฉันจำได้แม่น คือ พวกคุณหายไป ละทิ้งมวลชนไปจากราชประสงค์ ตั้งแต่ก่อนสลายร่วมอาทิตย์แล้ว ...... หากฉันเข้าใจผิด โปรดมาแก้ไข ... แต่หากฉันเข้าใจถูก .... คุณไม่คู่ควรแม้แต่จะมาเดินลอยหน้าอาจ-องอยู่ท่ามกลางมวลชนเสียด้วยซ้ำ ไม่ นับรวม “การ์ดทั่วไป” ที่นิยมอวดอ้างสรรพคุณความสามารถ ชำนาญการในการใช้อาวุธ ให้แก่ทุกคนที่พบเจอ .... โดยไม่สนใจความเจ็บปวดของมวลชนที่ต้องถูกสังคมตราหน้าว่า “ผู้ก่อการร้าย” และโดนยิงตายทั้งๆ ที่มือเปล่า

                - มาเพื่อฟังแกนนำและคุณทักษิณ กู่ร้องลอยลมเรื่องการปรองดอง ในวันที่หัวใจมวลชนอัดอั้นไปด้วยความเจ็บปวด เคียดแค้น และสูญเสีย ใครหลายคนยังมีภาพวันคืนหฤโหดคอยตามหลอกหลอน และครอบครัวอีกหลายครอบครัวสูญเสียคนที่เขารักไปตลอดกาล.... ฉันเติบโตมาท่ามกลางกระแสการเมืองตั้งแต่วัยเยาว์ เรียนรู้และเข้าใจในสัจธรรมของนักการเมืองได้ดี จึงเลือกที่จะเงียบในหลายเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามา แต่ในวันนี้ ความอดทนอดกลั้น หมดลง ... ฉันเกลียด....นัก “เล่นการเมือง” ที่เห็นชีวิตประชาชนเป็นแค่เรือรั่วเก่าๆ ให้ความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะอุดรูรั่วให้เขา แต่เมื่อคุณถึงฝั่ง กลับถีบเรือนั้นให้จมลง .... ฉันภาวนาว่าคุณจะไม่เป็นแบบนั้น.....

               ในวันนี้ฉันออกมาสู้ มาเสี่ยง มาตามหาความจริง พิสูจน์ให้ตัวเองและโลกเห็นว่ามวลชนเสื้อแดงไม่ได้เลวร้าย อย่างที่ใครๆ กล่าวหา ในวันนี้ฉันต้องยอมเจ็บตัว เปิดหน้า “เลือกข้าง” ยอมสูญเสียสัมพันธภาพอันดีกับเพื่อนหลายคน เพื่อให้ตัวเองได้มา”ยืนเคียงข้างชาวบ้าน” อย่างแท้จริง....

ในวันที่ 19 พ.ค. 53 ฉันละทิ้งชีวิต เลือกที่จะไม่กลับบ้านทั้งๆ ที่มีโอกาส เลือกที่จะไม่ละทิ้งผู้บริสุทธิ์ในแดนประหารเดียวกัน....

               หลัง จากวันนั้น ฉันทุ่มเททั้งความสามารถ เงินทอง และเวลา เพื่อที่จะติดตามช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ สูญหาย และผู้เสียชีวิตให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ...... บากหน้าไปขอความช่วยเหลือใครๆ ทั้งๆที่ไม่ใช่ปกติวิสัยอย่างที่ควรจะเป็น

               ใน วันที่ 12 มี.ค. 54 ….. .ในวันที่มีการรณรงค์มาตรา 112 โดยยังปราศจากการให้ความรู้มวลชนอย่างเป็นรูปธรรม ในกลิ่นอบอวลของวาทกรรมแกนนำ “กระสุนจากฟ้า, กระสุนพระxxxxบลา บลา บลา” อีกนับไม่ถ้วน ฉันเลือกที่จะจัดทำเอกสารจำนวนน้อยชุดตามกำลังเงิน ไปแจกจ่ายให้มวลชนได้แบ่งปันความรู้เรื่องข้อดี – ข้อเสีย ของมาตรานี้ เพื่อไม่ให้มวลชน “ตกเป็นเหยื่อ” แต่ ฉันโดนจับ...ส่งตำรวจ โดยที่ตำรวจเอง หลังจากอ่านเนื้อหา ก็ยอมรับด้วยตัวเอง ว่าไม่รู้จะยัดข้อหาให้ได้อย่างไร (ไม่รวมตำรวจนายหนึ่งที่พยายามจะสรรหาช่องโหว่มาเล่น) กอปรหลายคนจำนวนหนึ่งที่มาจากหลายกลุ่ม พยายามให้ความช่วยเหลือ .... ในครั้งนั้น ฉันผิดหวัง .... ไม่ได้เสียใจที่โดนจับ แต่เสียใจที่จนแล้วจนรอด เสื้อแดงคงจะเดินในแนวทาง “แนวร่วม” ที่พัฒนาความรู้ต่างๆ ให้มวลชนไม่ได้ .....

               ฉันแปลกใจ ว่าเหตุใด .... ในเมื่อมวลชนเสียเวลา เสียเงิน เสียชีวิตแล้ว แต่กลับไม่ได้อะไร แม้แต่ความรู้ติดตัวกลับไปจากการชุมนุมเลย อย่างมากก็ได้แค่ “เหล้า ร้องเพลง สังสรรค์ ถ่ายรูป และโคโยตี้?”  และการได้นั่งฟัง บรรดาแกนนำ พูดย้ำๆ ซ้ำๆ ในเนื้อหาที่ไม่ต่างไปจากเดิม และราวกับวิกลจริต ..... วันหนึ่งพูดหมิ่นเหม่เรียกเสียงเฮจากแม่ยก แต่อีกวันปราบปรามคนคิดหมิ่นเหม่

               สิ่งเหล่านี้ ไม่อาจจะนำพาสิ่งที่พวกคุณเสี่ยงชีวิตออกมาสู้ให้มันมาถึงมือคุณได้หรอก

                *** สิทธิ เสรีภาพ เสมอภาค ภารดรภาพ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเท่าเทียมในการเข้าถึงทรัพยากร และ ประชาธิปไตย น่ะหรือ ..... มันแค่ความฝันที่ห่างไกล ***

                ฉันไม่ใช่แดงก้าวหน้า ฉันไม่ใช่แดงพรรค ฉันไม่ใช่แดงนปช. ฉันไม่ใช่แดงทักษิณ   สิ่งที่ฉันเป็น คือ ประชาชนธรรมดาคนหนึ่ง ที่เฝ้าดูการเติบโต และความทุกข์ยากที่ชาวบ้านต่อสู้กันมานาน และหวังเพียงว่า มันควรจะถึงเวลาที่ ประชาชน “ไม่ใช่อากาศธาตุ และมดงาน” ให้ผู้มีอำนาจใช้เป็นเครื่องต่อรอง

                หากคุณทักษิณ แกนนำ และนปช. มีแนวทางที่ต่างออกไปจากนั้น เราอาจจะต้องถึงเวลาแยกทาง ต่างคนต่างเดิน และเป็นปรปักษ์ต่อกัน

ขอแสดงความนับถือ...........................ในจิตวิญญานแห่งประชาชน
อุทิศแด่......
พี่สุวัน ศรีรักษา
ลุงบุญมี เริ่มสุข
พี่คิม – ฐานุทัศน์ อํสวสิริมั่นคง
และผู้สูญเสียทุกคน... 
http://redusala.blogspot.com

A solemn reflection of May 19 bloody crackdow

คลิปการชุมนุมคนไทยในL.A.รำลึก 2 ปี 19 พฤษภา 53



ดร. พิทยา พุกกะมาน 


A solemn reflection of May 19 bloody crackdown


A solemn reflection of May 19 bloody crackdown

ดร.พิทยา พุกกะมาน             As Thailand comes to a full two-year cycle of the bloody crackdown of pro-democracy protesters by armed security forces on the fateful day of May 19, 2010, all Thais who are imbued with the spirit of democracy and justice, Red Shirts and non-Red Shirts alike,  came together to commemorate the tragic event at the Rajprasong Intersection on Saturday, May 19, 2012.  This was not the occasion for rejoice or revelry.  But it is the occasion to reflect on the brutal crackdown ordered by the Abhisit government which had no legitimacy whatsoever to cling on to power.  Two years have passed, but the same group of people still entertains no shame or decency when it categorically denies or even justifies the cold-blooded murder of at least 91 innocent civilians whose only demand was a reinstatement of a democratic regime supported by the majority of the Thai people.  This people have made a mockery of democracy and the constitution which, ironically, was crafted to suit its own existence.  Backed by the military and fascist zealots, the regime in power at that time had indulged in murderous violence and cold-blooded impartially in the choice of victims.  This tyrannical trio, consisting of some elements of old-guard politicians, military, and elitists had no scruples in callously slaughtering innocent civilians in order to maintain a backward regimented society where the Thai people who were not deemed to be their own creed were brutally subjugated and gunned down with impunity.


            After the formation a democratically elected government of Prime Minister Yingluck Shinnawatra nearly a year ago, we are still witnessing a struggle against militarism and a certain form of fascism.  It is the struggle that pits civilization against savagery, the 21st century against medieval era, the forces of progress against the forces of backwardness, an enlightened governance against dictatorial regime, democracy against totalitarianism, and those who sanctify life against those who are trigger happy murderers.  The primitivism of the latter has no place in the 21st century society where the allure of freedom, democracy, liberty, and technological advances is too pervasive for all Thais not to embrace.  Ultimately, democracy, not modern day fascism, should win the day.  The democratic forces had won an election and a majority in the legislative branch, but the battle with the dictatorial forces is far from over.  



As Thailand approaches the crucial crossroad towards progress or degeneration, the challenge facing all Thais is how to prevent dictators and tyrants from seizing power again in our country.  All Thais have to rise to the call of democracy and take action against the dictators who took power by force in 2006 and subsequently stole an election in broad daylight and indiscriminately sprayed live bullets on pro-democracy protesters who died at the Rajprasong Intersection two years ago, choking in their own blood.  Will the Thai people and international community thwart these pernicious practitioners of mass murder?  It is prime time for all Thais to act in unison with at least a hundred thousands of freedom loving Thais who assembled at the Rajprasong Intersection on Saturday, May 19, 2012 to commemorate the brutal crackdown 2 years ago.
http://redusala.blogspot.com

จุดยืนของสอาด  กับท่านทักษิณ ชินวัตร

จุดยืนของสอาด  กับท่านทักษิณ ชินวัตร

โดย...”สอาด จันทร์ดี”

            กระแสของคนเสื้อแดงในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความร้อนแรงยิ่งกว่าฟ้าสะเทือน  ทำให้ฝ่ายตรงข้ามของท่านอดีตนายกรัฐมนตรี  “พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร” ได้ทีขี่แพะไล่ พากันออกอากาศ “ด่าทอ” สนุกปากไปเลย  ทำให้คนเสื้อแดงส่วนหนึ่งพลอยเป็นเหยื่อในกระแสดังกล่าว   แล้วก็พากันวิพากษ์วิจารณ์สุดเหยียด จนลืมไปว่าการคล้อยตามกระแสดังกล่าว คือการกรอกยาพิษใส่ปากตัวเอง

            ในเว็ป pchannelnews.com ตรงนี้ก็มีความเห็นดาษดื่นที่แสดงความคิดเห็นเล่นงานท่านทักษิณอย่างหนัก  โดยที่ผมไม่ได้กีดกันแต่อย่างใด  จนทำให้หลายคนเข้าใจว่าผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เริ่มมีอารมณ์กับท่านทักษิณเช่นเดียวกับคนอื่นที่กำลังโหนกระแสอยู่ในขณะนี้

            ผมขอกราบเรียนว่าผมมี “จุดยืน” กับท่านทักษิณอย่างมั่นคง  โดยไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น  ทั้งนี้ก็เพราะผมเป็นคน “นอกระบบ” ที่ไม่มีทางจะได้ดีทางการเมือง ผมไม่เหลืออะไรเอาไว้เพื่อการต่อรองและไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้อง “กอด” ท่านทักษิณ เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง

             ดังนั้น ผมจึงอยากเขียนแสดงตัวตนอันเป็นจุดยืนของผม ดังนี้

             ขอกล่าวว่านับแต่ปี พ.ศ. 2504 เป็นต้นมา  ผมเพิ่งจะได้พบ “นักการเมือง” ระดับนายกรัฐมนตรี คือฯพณฯ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนแรกที่สามารถ “เข้าใจ” ต่อแนวทางแก้ปัญหาให้แก่ประชาชนผู้ยากไร้ ซึ่งก่อนหน้านั้น ผมเคยได้ยินแต่คำพูด แต่เอาเข้าจริง ไม่มีใครทำได้  ผมต้องคอยถึง  44 ปี จึงได้มีคนที่ทำได้จริง คือ ฯพณฯ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร



                      Serichon


           แต่ทว่า...สิ่งที่ท่านผู้นี้ทำได้  ได้กลายเป็น “หอกทิ่มแทง” ต่อชะตาชีวิต ท่านถูกลอบสังหาร หวังจะฆ่าให้ตาย รวมทั้งถูกปฏิวัติรัฐประหาร ถูกใส่ร้ายป้ายสีหาว่าฝักใฝ่อยากเป็นประธานาธิบดี  ถูกพิพากษาให้ติดคุก ถูกไล่ล่าข้ามทวีป ถูกยึดทรัพย์ และถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ก่อการร้าย กลายเป็นหัวหน้าล้มล้างสถาบันหรือ “ล้มเจ้า”  ดังที่ทุกท่านเคยได้ยินมาจนแก้วหูแทบแตก

             ท่านทักษิณถูกกระทำอย่างทารุณโหดร้าย ราวกับว่าท่านผู้นี้ไม่ได้มีคุณงามความดีแม้แต่น้อย และสุดท้าย แม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะได้เป็นรัฐบาลแล้วก็ตามก็ยังไมมีว่าแววว่าจะได้กลับบ้าน นอกจากจะไม่มีวี่แววให้เห็น ยังมีข่าวดังกระหึ่มอยู่ตลอดเวลาว่า  กลับมาเมื่อไหร่ ตายเมื่อนั้น

             สิ่งเหล่านี้ ย่อมเป็นที่ตระหนักแก่ใจของคนเสื้อแดง
             ตัวของท่านทักษิณเองก็ตระหนักแก่ใจของตนเองอย่างยิ่ง

             ปัญหาที่ทำให้เกิดความขัดเคืองในหัวใจของคนเสื้อแดงก็คือ  ทุกคนอยากเห็น ฯพณฯ พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่  เก่งกล้าสามารถ ประเภทยอมหัก ไม่ยอมงอ

             ตรงนี้เอง คือปัญหาที่กำลังทะลักขึ้นสู่ทรวงอกของคนเสื้อแดงที่มีอารมณ์เกรี้ยวกราดทันทีที่ได้รับฟังการแสดงออกด้วยการพูดของ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ทั้งจากเวทีของ “เพชร จอมประดับ” และเวทีสี่แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2555

             ในค่ำคืนวันนั้น ผมแหวกมวลมหาประชาชนขึ้นไปบนเวทีได้สำเร็จ มองลงไปด้านล่างพบภาพตระการตาของคนเสื้อแดง  แดงสะพรั่งเหมือนต้นดอกจานกลางทุ่งกุลาร้องให้  ผมมองดูภาพในค่ำคืนวันนั้นด้วยความประทับใจสุดจะบรรยายได้

             แต่นอนที่สุด...หัวใจของพ่อแม่พี่น้องที่หลั่งไหลมาจนแน่นราชประสงค์ ล้นไปถึงสวนลุมฯ  ย่อมจะแตกต่างจากหัวใจที่เคยชุมนุมในหลายๆครั้งที่ผ่านมา  ทั้งนี้ก็เพราะหัวใจ “19 พค.55” มันเป็นหัวใจอยากไล่จับไอ้ตัวฆาตกรเอาลงโทษให้ได้

             ฆาตกรที่เห็นอยู่เต็มตาคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
              และฆาตกรอีกคนคือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ

              ดังนั้น  หัวใจที่เดือดปุดๆ  มันย่อมไม่อยากได้ยินคำพูดปลอบประโลมใดๆอีกแล้ว
เพราะในหัวใจอยากฟังว่าใคร..คนไหน จะเป็นแม่ทัพ  ไล่จับตัวฆาตกรเอามาลงโทษ  ผมว่านะถ้ามีใครอ่านหัวใจพ่อแม่พี่น้องคนเสื้อแดงในค่ำคืนวันนั้นออกและตรงประเด็น...แล้วพูดออกมาให้ได้ยินด้วยหูว่า  จะไม่ปล่อยให้สองฆาตกรร้ายลอยนวล  ผมก็เชื่อว่าเสียงไชโห่ร้องจะดึงกระหึ่ม กึกก้อง

              ใช่...เสียงปรบมือดังแผ่นเบา  พร้อมกับเสียงบ่นพึมพำดังกระหึ่มไปจนทั่ว  แล้วก็กลายเป็นขี้ปากให้ฝ่ายค้าน  ถือเป็น “จุดบอด”  ที่ท่านทักษิณกำลังก้าวพลาด

              พลาดก็พลาด...ให้พลาดไป  แล้วเริ่มต้นใหม่ไม่ยากเลย (ผมว่า)

              นั้นก็คือคนเสื้อแดงเองก็อย่าคิดว่า “ขาดทักษิณ” แล้วจะชนะอำมาตย์ได้อย่างสดใส
              คนเสื้อแดงอย่าได้บังคับให้ทักษิณกลายเป็นกระทิงบ้า  ไล่ขวิดโดยไม่เลือกเป้า 
 

              ประการสำคัญ  คนเสื้อแดงจงรีบลับดาบและเขี้ยวเล็บในยุทธศาสตร์แห่งการปฏิวัติ  ที่จะต้องจัดการกับแนวคิดของตนเองให้ล้ำเลิศ  เฉิดฉาย ให้รู้ว่าซุ่มซ่อนยาวนาน รอคอยโอกาส ไม่ได้หมายถึง 100 วันข้างหน้า  มันอาจจะเนิ่นนานเป็น 10 ปีก็ได้

              ที่สำคัญที่สุด  ขอให้คนเสื้อแดง ยืนอยู่ข้างทักษิณ  ยิ่งลักษณ์  พรรคเพื่อไทย  บ้านเลขที่ 111 และรวมถึงแกนนำน้อยใหญ่ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ แล้วจงไตร่ตรองให้ดีว่า ถ้าสติปัญญาของคนเสื้อแดงผนึกเข้าและรวมกันเป็นหนึ่งได้  ไม่หวั่นไหวกับ “คำพูด” เพียงไม่กี่ประโยคที่หูได้ยิน  ก็จะก้าวผ่านความพ่ายแพ้ไปได้ในเวลาไม่กี่ปี ไม่นานเกินรอ คนเสื้อแดง...ชนะแน่ ?!

               ผมจึงขอประกาศ “จุดยืน” ของผมให้ทราบว่า  ผมถือ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นแม่ทัพใหญ่ในเวทีการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ที่แสนจะแหลมคม...และลี้ลับ   ซึ่งจุดยืนของผม ยืนอยู่ข้าง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ  ชินวัตรอย่างไม่มีเงื่อนไข  และพร้อมเสมอที่จะทำงานให้โดยไม่เรียกร้องค่าตอบแทน  โดยขอประกาศถวายหัวว่าการทำงานทั้งปวง  แปรมาเป็นกองหนุนให้กับเครือข่ายของคนเสื้อแดง แดงทั้งแผ่นดิน...คือ “นปช.” กับพรรคเพื่อไทย .

                            “สอาด จันทร์ดี”

http://redusala.blogspot.com