วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555

มันจบแล้วครับ มาร์ค


มันจบแล้วครับ มาร์ค 

มันจบแล้วครับ “อภิสิทธิ์และปชป.”  (อ้างอิงจาก เวบไซท์ VoiceTV)


            “มันจบแล้วครับนาย” ที่ว่ากันว่าเป็นวาทกรรมสุดท้ายของคุณเนวิน ชิดชอบ   ที่บอกกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  นายเก่า  ผ่านทางโทรศัพท์   หลังตัดสินใจแปรพักตร์ยกพรรคพวกจำนวนหนึ่ง   ไปสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  ในค่ายทหาร   ดังก้องขึ้นมาในโสตประสาทของผมอีกครั้ง   หลังฟังคำแถลงของคุณอภิสิทธิ์  หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้าน  ต่อกรณีพฤติกรรมของส.ส.ลูกพรรค   ที่กระทำระหว่างการประชุมสภาฯเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.ปรองดอง




นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยืนยันค้าน พ.ร.บ ปรองดองฯ และ ปกป้องลูกพรรคประชาธิปัตย์กรณีก่อความวุ่นวายในสภา /ที่มา : Voice News


            ว่าที่จริงแล้ว  เดิมผมก็เชื่อว่าอนาคตทางการเมืองของคุณอภิสิทธิ์   มันจบไปแล้ว(กลายเป็น “ศพทางการเมือง”ก่อนวัยอันควร)  ตั้งแต่หลังเหตุสลายการชุมนุม ๑๐ เมษา ๕๓  ที่มีผู้เสียชีวิต ๒๗ ราย   เพราะมั่นใจว่าคุณอภิสิทธิ์  ผู้มีชาติตระกูลดีพร้อม(ตามค่านิยมอันฝังแน่นของสังคมไทย)  ทั้งสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก  จากประเทศที่เป็น “แม่แบบ”ประชาธิปไตยอย่างอังกฤษ   ต้องเป็นคนที่ “สปิริต”ประชาธิปไตยสูงกว่านักการเมืองไทยทั่วๆไป 

            ยิ่งถ้านึกย้อนไปถึงพฤติกรรม และวาทกรรม  ต่างกรรมต่างวาระในอดีต   นับตั้งแต่เริ่มก้าวเดินบนถนนการเมือง   คุณอภิสิทธิ์เคยสร้างความหวังความประทับใจให้กับผมและคนไทยอีกเป็นจำนวนมาก  ว่านี่แหละ คือ “ผู้นำ”ในฝันของคนไทย   ยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่าคุณอภิสิทธิ์  จะต้องแสดง “สปิริต”อันสูงส่ง  ในฐานะผู้นำรัฐบาลแน่ๆ

            แต่ก็อย่างที่ทราบกัน   กลายเป็นว่าคุณอภิสิทธิ์  กลับทำให้หลายคนที่เคยชื่นชมผิดหวังอย่างรุนแรง   เพราะนอกจากต่อมสปิริตจะไม่ทำงานแล้ว    คุณอภิสิทธิ์  ยังแสดงให้เห็น “จิตลึก”อีกด้านของมนุษย์    ไม่เพียงไร้คำขอโทษ   แต่รัฐบาลภายใต้การนำของคุณอภิสิทธิ์   ยังสั่งเดินหน้าล้อมปราบด้วยกระสุนจริงต่อไป 

            พร้อมกับสร้างวาทกรรม “ก่อการร้าย” / “ชายขุดดำ” / “แผนล้มเจ้า”  เป็นเกราะกำบังการล้อมปราบ   ก่อนจะจบลงในวันที่ ๑๙ พฤษาคม ๒๕๕๓   ด้วยสถิติมีผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมรวม ๙๑ ศพ(ยอดรวมต่อมาเพิ่มเป็น ๙๘ ศพ)   

            ทำให้ชื่อคุณอภิสิทธิ์  ถูกจารึกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่  ว่า   ในช่วงที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี   มีผู้เสียชีวิตเพราะออกมาชุมนุมต่อต้านมากที่สุด  

            มากกว่านายกรัฐมนตรี  ที่เป็นทหารอย่างจอมพลถนอม กิตติขจร(เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖  มีผู้เสียชีวิต ๗๗ ราย) /  มากกว่ายุคม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช  นายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์เช่นกัน(เหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙  มีผู้เสียชีวิต ๔๑ ราย) / หรือกระทั่งนายกรัฐมนตรีที่เป็นทหารอีกคน  คือ พล.อ.สุจินดา คราประยูร(เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ๒๕๓๕  มีผู้เสียชีวิต ๔๐ ราย) 

             ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย   ไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนไหน  ที่เดินบนถนนการเมืองต่อไปได้   หลังปล่อยให้มีการสังหารประชาชนที่ออกมาต่อต้านตัวเอง  

             กรณีจอมพลถนอม  ไม่เพียงแค่ลาออก  แต่ยังถึงกับต้องหลบหนีไปต่างประเทศ / กรณีพล.อ.สุจินดา  แม้ไม่ถึงกับต้องหลบไปต่างประเทศ   แต่หลังลาออก  ก็ต้องยุติบทบาททางการเมืองไปโดยปริยาย   เช่นเดียวกับกรณีของม.ร.ว.เสนีย์     ที่ต้องลาออกหลังเกิดเหตุการณ์ และยุติบทบาททางการเมืองในอีก ๓ ปีต่อมา

            ผมจึงนึกถึงคำพูด “มันจบแล้วครับนาย”   ตั้งแต่ตอนที่เกิดเหตุสลายการชุมนุม ๑๐ เมษา ๕๓   แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า   ไม่เพียงคุณอภิสิทธิ์  จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่  ด้วยการเป็นนายกรัฐมนตรี  ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ชุมนุมต่อต้านจนมีผู้เสียชีวิตมากที่สุด  

            แต่คุณอภิสิทธิ์  ยังสร้างประวัติศาสตร์อีกบทหนึ่ง  ในแง่ที่ว่าเขาเป็นนายกรัฐมนตรีที่ยังสามารถลอยหน้าลอยตา  ได้ต่อไปอีกหลังเกิดเหตุการณ์   ไม่ต้องขอโทษ / ไม่ต้องลาออก / ไม่ต้องหลบไปต่างประเทศ  เพื่อแสดงความรับผิดชอบใดๆ  เหมือนอดีตนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ(แต่ก็ถูกประชาชนลงโทษให้หลุดจากเก้าอี้  ด้วยกระบวนการเลือกตั้ง ตามกติกาประชาธิปไตย ในเวลาต่อมา)

            จากบทเรียนเหตุการณ์เมษา-พฤษภา ๕๓     ผมถึงไม่แปลกใจและไม่ผิดหวังอะไรกับคุณอภิสิทธิ์อีก  กับกรณีท่าทีการแสดงออกของเขาต่อพฤติกรรมของส.ส.ลูกพรรค    ระหว่างการประชุมสภาฯเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.ปรองดอง  

            ก็เหมือนๆที่หลายๆคนคิดและวิพากษ์วิจารณ์กันนั่นแหละครับ   คนที่ผ่านเหตุการณ์สั่งสลายการชุมนุมด้วยกระสุนจริงจนมีผู้เสียชีวิตถึง ๙๘ ศพ   ทั้งไม่เคยมีแม้ “คำขอโทษ”    แถมยังแสดงท่าที “ชิล ชิล”กับชีวิต   กินอิ่ม/พักผ่อน/นอนหลับสบายๆ    จะไปแคร์หรือมี “สำนึก”อะไร    กับการแสดงพฤติกรรม “เถื่อน+ถ่อย”  ละเมิดกฏกติกาสภาฯของลูกพรรค


สภาปรองดองป่วน หวิดวางมวย /ที่มา : Voice News วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕


นางสาว รังสิมา รอดรัศมี ส.ส. ประชาธิปัตย์ ยื้ดแย่งเก้าอี้ประธานสภาฯ กับ ส.ส.หญิง ฝ่ายรัฐบาล /ที่มา Youtube ส.ส. ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์
สภาฯป่วนวันที่สอง มีการขว้างปาหนังสือและเอกสารใส่ประธานสภาฯ/ที่มา : Voice News ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕

              ผมเองก่อนหน้านี้  สารภาพผิดว่าช่วงหนึ่งยังเป็นพวกมอง “โลกสวย”   เพราะแอบคาดหวังและให้กำลังใจคุณอภิสิทธิ์และพรรคปชป.(คลิกเพื่อย้อนอ่านบล็อก ตอน “ให้กำลังใจ อภิสิทธิ์และปชป.”)   ด้วยเชื่อว่า  แม้องคุลีมาลยังกลับใจได้   แต่พอเจอช็อตคำแถลงและท่าทีล่าสุดของคุณอภิสิทธิ์    ความคิดแบบ “โลกสวย”ก็จบกันไปเสียที

              ขณะที่ความเชื่อเรื่อง   “อนาคตการเมือง”ของคุณอภิสิทธิ์      ที่ผมเคยเชื่อว่ามันมืดดับลงไปแล้ว  หลังเหตุการณ์เมษา-พฤษภา ๕๓     ถูกตอกย้ำให้หนักแน่นขึ้น    จนกล้าพูดดังๆว่า  “มันจบแล้วครับคุณอภิสิทธิ์”   

             เพราะตราบที่กงล้อประชาธิปไตยยังเดินหน้า  และตราบที่คนไทยเรียนรู้โลกกว้างมากขึ้นเท่าไหร่   “ประตูแห่งโอกาส”ที่จะเปิดให้คุณหวนกลับมาเป็น “ผู้นำ”ของคนไทยอีกครั้ง   มันปิดตายลงแล้ว

             และสำหรับพรรคประชาธิปัตย์   พรรคที่ผมเคยเลือกมาตลอด(เหมือนคนไทยอีกหลายล้านคน)  ก่อนจะมีพรรคไทยรักไทย เพราะเชื่อว่าเป็นพรรคที่มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยมากกว่าพรรคอื่นๆ ณ ขณะนั้น   หากพวกคุณยังไม่เปลี่ยนหัวหน้าพรรคใหม่ และไม่เปลี่ยนความเชื่อ+วิธีคิดในการทำงานการเมืองใหม่   ให้ก้าวหน้าเท่าทันประชาชน  

              และหากประเทศนี้ยังยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย   ผมก็อยากบอกว่า “มันจบแล้วครับประชาธิปัตย์”    “ประตูแห่งโอกาส” ของการกลับมาเป็น “รัฐบาล”  ปิดตายสำหรับคุณเช่นกัน !

๔ มิถุนายน ๒๕๕๕
ดูข้อความเห็นเพิ่มเติมที่  http://www.voicetv.co.th/blog/1038.html

http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น