|
แช่แข็งประเทศไทย ใครหนาว?
|
|
“วันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 วันพิพากษา ขับไล่รัฐบาล เผด็จศึกตระกูลชิน เวลา 09.01 น. ณ ลานพระบรรูปทรงม้า”
สโลแกนของ “องค์กรพิทักษ์สยาม” ที่ติดป้ายเชิญชวน “คนเกลียดทักษิณ”
ให้มาร่วมชุมนุม ขณะที่ทวิตเตอร์ของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ
เสธ.อ้าย ประธานองค์กรพิทักษ์สยาม ใช้สโลแกน “มุ่งมั่น แช่แข็ง ประเทศไทย”
จึงไม่แปลกที่เสธ.อ้ายจะไม่ยอมรับระบอบประชาธิปไตยขณะนี้
อย่างที่ให้สัมภาษณ์ว่า
"ผมไม่เคยเห็นว่าระบอบประชาธิปไตยจะดีตรงไหนมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เช่น
ถ้าคุณเป็นคนดีของจังหวัด แต่ไม่มีเงิน ลงสมัคร ส.ส.ก็ไม่ได้รับเลือก
แล้วมันจะเป็นประชาธิปไตยอย่างไร ลองอธิบายหน่อย.."
การชุมนุมวันที่ 28 ตุลาคมที่สนามม้านางเลิ้ง ภายใต้ชื่อ
“รวมพลังหยุดวิกฤตและหายนะชาติ” ที่มีองค์กรพิทักษ์สยามเป็นแกนนำ
โดยมีแนวร่วม อาทิ กลุ่มสยามสามัคคี กลุ่มพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน
(เสื้อหลากสี) และภาคีเครือข่ายต่างๆ นั้น
ส่วนใหญ่เคยร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
โดยเฉพาะภาคีเครื่อข่ายประชาชน 16 จังหวัดภาคใต้
ครั้งสุดท้ายหรือนับหนึ่ง
การชุมนุมครั้งแรก พล.อ.บุญเลิศได้แถลงวัตถุประสงค์ชัดเจนว่า
ต้องการขับไล่รัฐบาลและล้างระบอบทักษิณ โดยระบุว่า
ทนไม่ได้กับการบริหารราชการของรัฐบาลภายใต้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี 3 ประการ คือ
- รัฐบาลปล่อยให้มีการจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบัน
โดยไม่มีการป้องกัน และยังดูเหมือนจะมีการส่งเสริมด้วยซ้ำ
- รัฐบาลเป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารและขาดธรรมาภิบาล และ
- รัฐบาลปล่อยให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่น
อย่างไรก็ตาม การชุมนุมครั้งแรกจะเรียกว่า “น้ำจิ้ม” ก็ไม่ผิด
แต่ที่เหนือความคาดหมายคือมีผู้มาร่วมชุมนุมหลายหมื่นคน
ไม่ใช่หลักพันคนอย่างที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เย้ยหยันไว้
แต่ผุ้ชุมนุมจะมากหรือน้อยก็ตาม
การชุมนุมที่นำโดยเสธ.อ้ายก็สะท้อนชัดเจนว่า กลุ่ม “เกลียดทักษิณ”
ยังมีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะเสธ.อ้ายที่ระยุว่า
ต้องแช่แข็งประเทศ แช่แข็งนักการเมืองเลว 5 ปี
เพื่อให้โอกาสคนดีมาบริหารและปฏิรุปการเมืองไทย
การชุมนุมวันที่ 24 พฤศจิกายน จึงแตกต่างกับครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง
โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาลที่เหมือน “กระต่ายตื่นตูม” กลัวจะซ้ำรอยม็อบพันธมิตรฯ
ที่ถือโอกาสอยู่ยาวและหาเงื่อนไขเพื่อปิดล้อมรัฐบาล
เพราะทุกสายข่าวยืนยันว่าจะมีผู้มาชุมนุมหลายหมื่นคน
แต่เสธ.อ้ายยังมั่นใจอย่างน้อยก็มีจำนวนแสน
แม้ไม่ถึงล้านอย่างที่เคยประกาศว่า จะเป็นครั้งสุดท้าย
หากผู้ชุมนุมมาน้อยจะยุติการชุมนุม หากผู้มาชุมนุมมากถึง 1
ล้านคนตามที่วางเป้าหมายไว้ก็จะขับเคลื่อนขับไล่รัฐบาลตามแผน
เป็นศึกที่ต้องรบให้ชนะ “ถ้าเขาอยู่ เราต้องไป ถ้าเราอยู่ เขาต้องไป”
“เสธ.อ้าย” คนเพื่อนมาก
ย้อนกลับมาประวัติความเป็นมาของเสธ.อ้าย
ซึ่งศูนย์ข้อมูลการเมืองไทยเว็บไซต์รัฐสภาไทย ระบุว่า พล.อ.บุญเลิศ
เป็นนายทหารผู้กว้างขวาง-มากเพื่อน– เปี่ยมบารมี-ใจใหญ่
แต่ชอบเก็บตัวเงียบเชียบ เน้นทำงานอยู่เบื้องหลังเสมอๆ
เป็นนายพลที่เรียนเก่งจนเพื่อนให้เป็นประธานนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 1
(ตท.1) และเป็น “ลูกป๋า” ระดับหัวกะทิที่เข้านอกออกในมาตลอด
ด้วยวัตรปฏิบัติที่น่ารักยิ้มแย้มแจ่มใส พูดหวาน ขานเพราะ
จึงเป็นน้องอ้ายที่พี่ๆรัก เป็นพี่อ้ายที่น้องๆ นับถือ
เสธ.อ้ายจึงมีทั้งคนรักและคนยำเกรงไม่น้อย เป็นเพื่อนรัก พล.อ.วิชิต
ยาทิพย์ คนใกล้ชิด พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ แต่ที่สนิทแนบแน่นชนอดแกะไม่ออกคือ
พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เพื่อนรุ่นพี่ที่ติดคุก “กบฏ 26 มีนา”
จึงไม่แปลกที่เสธ.อ้ายได้เป็นเลขาธิการราชตฤณมัยสมาคม (สนามม้านางเลิ้ง)
ที่พล.ต.สนั่นเคยนั่งอยู่
การชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามที่เสธ.อ้ายเป็นประธาน จึงไม่ใช่
“ม็อบกระจอก” แม้จะไม่ใช่ “ตัวจริงเสียงจริง” ก็ตาม
แต่เป็นการจุดชนวนขบวนการ “ขับไล่รัฐบาล เผด็จศึกตระกูลชิน”
อย่างเป็นทางการอีกครั้ง
หลังจากหมดยุคพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่แกนนำและกลุ่มทุนที่สนับ
สนุนแตกกันจนเย็บไม่ติด
มหากฐินล้ม “ปู”
กลุ่มเกลียดทักษิณประกาศชัดเจนว่า พร้อมจะโค่นล้มรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์
ชินวัตร ตั้งแต่วันแรกที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าหนึ่งในสถานที่เคลื่อนไหวของกลุ่มเกลียดทักษิณคือ
บ้านเช่าหลังใหญ่ที่ “ลูกป๋า”
หลายคนเป็นสมาชิกสำคัญในการหารือและวางแผนต่างๆ
แม้แต่การจัดตั้งมวลชนทั่วประเทศ
ซึ่งล้วนเคยเป็นแกนนำสำคัญที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังกลุ่มพันธมิตรฯ
จึงไม่แปลกที่การชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามจะได้การสนุบสนุนจากแกนนำ
พันธมิตรฯ โดยเฉพาะ พล.ต.จำลอง
ศรีเมืองที่ประสานกับกลุ่มสันติอโศกให้เป็นแกนกลางสำคัญในการปักหลักชุมนุม
ถ้ายืดเยื้อ ซึ่ง นายชัยวัฒน์ สุรวิชัย หนึ่งในแกนนำพันธมิตรฯ ระบุว่า
“โพธิรักษ์” เจ้าสำนักสันติอโศกได้ย้ำตลอดเวลาเรื่อง “พลังสามัคคี”
โดยเรียกร้องให้พันธมิตรฯ กลุ่มหลากสี และเครือข่ายต่างๆ
ร่วมมือกันขจัดสิ่งที่ชั่วร้ายของแผ่นดิน ตือ
รัฐบาลยิ่งลักษณ์และระบอบของทักษิณที่เป็นระบบทุนสามานย์ทำลายชาติ
ทำลายจิตใจและคุณค่าของความเป็นคน
“ตอนนี้มันเทศกาลกฐิน วันที่ 28 พฤศจิกายนจะเป็นวันสุดท้ายของเทศกาลกฐิน
วันที่ 24-25 พฤศจิกายน หลายคนที่ตั้งกฐินไว้
เขามีความคิดว่ากฐินที่เขาทำไปมันสู้จะนำมาทำมหากฐินที่กู้ชาติกู้แผ่นดิน
ไม่ได้ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าคนจะมาทอดมหากฐินกู้ชาติกู้แผ่นดินที่พระรูปร.5
ฤกษ์ชัยคือ 901 (เวลา 09.01 น.)
อันนี้จะเป็นการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินอีกครั้งหนึ่ง"
นายชัยวัฒน์กล่าวและเชื่อว่า มหากฐินกู้ชาติกู้แผ่นดินครั้งนี้จะเป็นประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทยอีกครั้งหนึ่ง
กลุ่มทุน-อีแอบ
เสธ.อ้ายจึงกล้าประกาศว่า การชุมนุมวันที่ 24
พฤศจิกายนจะมีคนชุมนุมเป็นล้าน แม้ต่อมาจะลดเป็นจำนวนแสนก็ตาม
แต่ก็ถือเป็นการชุมนุมใหญ่ครั้งแรกของกลุ่มเกลียดทักษิณในรัฐบาลยิ่งลักษณ์
ซึ่งมีการหารือตลอดเวลา
การชุมนุมครั้งนี้จึงไม่ต่างจากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ
ที่มีกลุ่มสันติอโศก พันธมิตรฯ กลุ่มสหภาพแรงงานของนายสมศักดิ์ โกสัยสุข
กลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย และเครือข่ายประชาชน 16 จังหวัดภาคใต้
ซึ่งเป็นฐานะเสียงสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์
ส่วนกลุ่มทุนที่ประกาศตัวโจ่งแจ้งที่สุดคือ นายสมพจน์ ปิยะอุย
เจ้าสัวเครือโรงแรมดุสิตธานี เพื่อน “กบฏ 26 มีนา” ร่วมกับเสธ.อ้าย
และมีความใกล้ชิดอย่างยิ่งกับ น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ
อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)
แกนนำสำคัญในการโค่นล้มพ.ต.ท.ทักษิณ
ซึ่งนายสมภพจึงป็นหนึ่งในศูนย์กลางการระดมทุนในการชุมนุมครั้งนี้
นอกจากกลุ่มทุน “อีแอบ” อีกหลายกลุ่มที่เป็นศัตรูกับพ.ต.ท.ทักษิณ
รวมทั้งกลุ่มชนชั้นสูงที่ใกล้ชิดสถาบัน
ตุลาการอาวุโสและอดีตข้าราชการระดับสูง
ทหารแก่ไม่มีวันตาย
แต่ที่ทำให้การชุมนุมของเสธ.อ้ายยิ่งมีสีสันและถูกจับตามองมากขึ้น คือ
พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป อดีตนายทหารคนสนิทของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ที่ประกาศจะร่วมการชุมนุมกับองค์การพิทักษ์สยาม
แต่ยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับ พล.อ.เปรม เพราะแม้แต่ภรรยาตนยังไม่รู้เลย
ซึ่งตนไม่ได้รู้จักกับพล.อ.บุญเลิศเป็นการส่วนตัว
หรือไปประชุมวางแผนเรื่องม็อบ
แต่ที่ร่วมชุมนุมเพราะความรักชาติและเป็นทหารแก่ที่จะไม่มีวันตายไปจากการ
รักชาติบ้านเมือง ห่วงใยกองทัพ ปกป้องสถาบัน ตามที่เคยได้ตั้งปฏิญาณว่า
จักรักษามรดกของพระองค์ท่านไว้ด้วยเลือด จึงขอเตือน
พ.ต.ท.ทักษิณว่าอย่ามายุ่งกับตนเอง
เพราะตนเองจะขอยืนตรงข้ามกับนักการเมืองที่โกงชาติบ้านเมือง
“ผมเป็นทหารแก่ที่ไม่มีวันตาย จากการต่อสู้รักษาความถูกต้อง
ผมจะสู้กับนักการเมืองเลวๆ ถ้าทำให้ผมตาย
ญาติพี่น้องผมก็จะลุกขึ้นมาล้างแค้นสู้ต่อไป ผมยังกินเงินเดือนบำนาญจากทหาร
ผมจะสู้ จะชุมนุม
ในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่พวกนักการเมืองชั่วเอาความสุขของผมไป”
นายกฯพระราชทาน
นายกรหริศ บัวสรวง โหรประจำกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม กล่าวผ่านรายการ
"เจาะลึกทั่วไทยอินไซด์ไทยแลนด์" ว่า วันที่ 24 พฤศจิกายนจะมาต่ำสุดประมาณ
500,000 คน วันนั้น 24 เดือน 11 ปี 2012 เมื่อนำตัวเลขบวกกัน 2+0+4+7
จะเท่ากับ 13 หมายความว่า Transformation
จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หรือผ่าตัดครั้งใหญ่
“ถ้าคนมาหลักแสนหลักล้านจะปิดเกมวันนั้นเลย จะมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่
จะสแกนทุกอย่างออกมาทุกชั่วโมง แต่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้
จะให้รัฐบาลและคนสำคัญที่มีตำแหน่งสำคัญได้รับทราบทุกระยะว่า
มีเหตุการณ์แบบนี้ ประชาชนมีฉันทามติว่าไม่เอาแล้วรัฐบาลชุดนี้
และนำเสนอตัวนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ฉีกรัฐธรรมนูญแน่นอน
และไม่ใช่ให้ทหารปฏิวัติ แต่จะให้นายกฯปูลาออก และขอพระราชทานนายกฯตามมาตรา
7”
นายกรหริศกล่าวและขยายความนายกฯพระราชทานนั้นยังไม่ได้คุยกัน
แต่จะเร่งรัดคดีความต่างๆ ให้รวดเร็ว จะเป็นใครก็ได้ ไม่ว่าพลเรือนหรือทหาร
แต่ความจริงควรเป็นทหาร หรือมีเชื้อสายของทหาร
เพราะดวงเมืองเราเป็นอย่างนั้น ซึ่งจะเป็น "น.ต.คนหนึ่ง" หรือไม่ก็ไม่แน่ใจ
“ชงเองกินเอง”ล้มรัฐบาลใน 1 วัน?
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่ากรกระทรวงพาณิชย์ แกนนำคนเสื้อแดง
ก็ยอมรับว่าการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามจะมีผู้มาร่วมชุมนุมไม่น้อย
แต่คงไม่มากจนถึงล้นถึงสะพานผ่านฟ้าตามที่พล.อ.บุญเลิศประกาศ
อย่างไรก็ตามสาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่มีคนชุมนุม 50,000 คนหรือล้านคน
แต่อยู่ที่สถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป
เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะโค่นล้มขับไล่รัฐบาลภายในเวลา 1 วัน
แต่ถ้าจะเป็นอย่างนั้นก็หมายความว่าจะต้องมีสถานการณ์พิเศษเกิดขึ้นมาจริงๆ
ในวันที่มีการชุมนุม
ไม่ว่าจะเกิดจากกลุ่มผู้ชุมนุมและผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังซึ่งตนก็เป็นห่วง
“สถานการณ์พิเศษต้องอาศัยคนสร้าง และคนที่จะสร้างก็คือคนที่จัดการชุมนุม
และชักใยการเคลื่อนไหวอยู่ เวลานี้มือที่สอง มือที่สามไม่น่ากังวล
แต่ที่ต้องจับตามองคือมือที่มองไม่เห็นทั้งหลายว่าได้เตรียมการวางแผนที่จะ
แช่แข็งปิดประเทศแบบไหน อย่างไร
ซึ่งเป็นคนกลุ่มเดิมที่เคยเคลื่อนไหวโค่นล้มขับไล่รัฐบาลตั้งแต่สมัย
พ.ต.ท.ทักษิณ มาจนถึงยุคนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
ซึ่งปัจจุบันมือที่มองไม่เห็นยังอยู่ครบถ้วน ประกอบไปด้วยนักเคลื่อนไหว
นักวิชาการ ข้าราชการเกษียณอายุ และพรรคการเมือง ซึ่งผมมั่นใจว่าตัว
พล.อ.บุญเลิศไม่ใช่คนสั่งการ และไม่ใช่คนคุมเกมทั้งหมด
ดังนั้นหากมีการชุมนุมแล้วกลุ่มผู้ชักใยต้องการจะให้มีการขับเคลื่อนมวลชน
พล.อ.บุญเลิศไม่ได้อยู่ในจุดที่จะตัดสินใจอยู่แล้ว”
นายณัฐวุฒิ กล่าวและว่า การที่ พล.ร.อ.พะจุณณ์คนสนิท
พล.อ.เปรมยังเข้ามาร่วมด้วยนั้น เป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว
แต่ถือเป็นเรื่องดีที่พล.ร.อ.พะจุณณ์พูดชัดเจน ตรงไปตรงมา
แต่ยังมีอีกหลายคนที่ยังซ่อนตัวอยู่ในเงามืด
ไม่ว่าจะเป็นคนของพรรคการเมืองที่เข้ามาติดต่อประสานงานกับกลุ่มที่เคลื่อน
ไหวและบรรดาคนหน้าเดิมที่ยังไม่ปรากฏตัว
ส่วนคนเสื้อแดงนั้น นายณัฐวุฒิยืนยันว่า ไม่มาเผชิญหน้าแน่
เพราะรู้ทันว่าเรื่องนี้เขาตั้งใจจะชงเองกินเองอยู่แล้ว
แต่ถ้าเลยเถิดจนมีการโค่นล้มรัฐบาลและแช่แข็งประเทศไทย
ก็ถึงเวลาและเป็นหน้าที่ของประชาชนผู้รักประชาธิปไตย
เพราะตนอยู่ในประเทศเหมือนที่ พล.อ.บุญเลิศพูดไม่ได้
แต่ขณะนี้ยังมั่นใจคำสัตย์ของนายทหารชั้นผู้ใหญ่ทุกคนที่ลั่นวาจาว่าทหารจะ
อยู่ในที่ตั้ง วางตัวเป็นกลางทางการเมือง แต่สถานการณ์ก็ทำให้ประมาทไม่ได้
เพราะ 5-6 ปีที่ผ่านมา อะไรที่คิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น
มันก็เกิดได้ในการเมืองไทย
“แช่แข็ง” ใครหนาว?
การประกาศจะ “แช่แข็งประเทศไทย-แช่แข็งนักการเมือง”
ขององค์การพิทักษ์สยาม และให้มีนายกฯ พระราชทานนั้น
จึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับการเมืองไทย เพราะแม้แต่ นายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน ยังพยายามใช้วาทกรรมให้คนไทยเชื่อว่า
พ.ต.ท.ทักษิณเป็นศูนย์กลางของปัญหาบ้านเมือง
โดยใช้ประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือ แต่ต้องการให้มีการเมืองแบบพรรคเดียว
ไม่ใช่รัฐบาลพรรคเดียว
จึงเป็นปัญหาที่ทำให้เกิดความวุ่นวายและความตึงเครียดในสังคมตลอดเวลา
แต่ นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐที่ถือเป็นผู้นำโลก
กลับกล่าวชื่นชมนายกฯยิ่งลักษณ์ว่า
“ผมยินดีที่ได้มายืนเคียงข้างผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งของประเทศไทย
เพื่อเน้นย้ำความสำคัญของการยึดถือในประชาธิปไตย ธรรมาภิบาล
นิติรัฐและหลักสิทธิมนุษยชนสากล.."
จึงไม่แปลกที่ผลสำรวจของเอแบคโพลล์จะระบุว่า ประชาชนถึงร้อย 94.5
ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมที่จะนำประเทศไปสู่การปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
และเบื่อพฤติกรรมของนักกรเมืองทุกครั้งที่มีการสำรวจความเห็น
ทั้งที่ขณะนี้เศรษฐกิจบ้านเมืองกำลังเดินข้างหน้า
ผู้นำประเทศมหาอำนาจมาเยือนไทยติดๆ กันถึง 2 คน
แต่กลับมีคนกลุ่มหนึ่งต้องการ “แช่แข็งประเทศ-แช่แข็งนักการเมือง”
ซึ่งไม่ต่างกับพม่าหรือเกาหลีเหนือที่ปิดประเทศ
โดยไม่สนใจว่าบ้านเมืองจะหายนะอย่างไร
อย่างที่ นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
โพสต์ความเห็นในเฟซบุ๊คว่า “..การเมืองไทย การเมืองอาเซียน การเมืองโลก
ได้วิ่งเลย ‘คนรุ่นเก่า’ หรือ ‘อำนาจเก่า/บารมีเก่า’ ไปแล้วครับ”
แต่สังคมไทยกลับจมปลักกับความรุนแรงและความคิดแบบไดโนเสาร์เต่าล้านปี
ซึ่ง นายเกษียร เตชะพีระ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศษสตร์
ให้ความเห็นว่าวิธีสู้กับฝ่ายขวาจัดว่า
ไม่ใช่ปราบปรามกดขี่ให้พวกนี้เป็นวีรชน
แต่ต้องล้อเลียนให้เป็นตัวตลกที่ขวางโลก อย่างที่เสนอให้ “แช่แข็งประเทศ”
แช่แข็งประเทศ..จึงมีคนหนาวแน่ แต่ไม่รู้ใครจะหนาว ?
|
|
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น