|
องค์การพิทักษ์สยาม‘เพื่อเผด็จการ’แห่งชาติ
การเคลื่อนไหวระดมมวลชนเพื่อชุมนุมใหญ่ของ
กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “องค์การพิทักษ์สยาม”
ประกาศเป้าหมายอย่างชัดเจนว่าต้องการโค่นล้มรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ยกเลิกระบบการเมืองแบบรัฐสภาและการเลือกตั้ง
แทนที่ด้วยระบอบการปกครองแบบแต่งตั้งเป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปี ที่เรียกว่า
“แช่แข็งประเทศไทย”
สื่อมวลชนกระแสหลักก็ช่วยกันประโคมโหมข่าว
ทำให้การเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้ดูเหมือนยิ่งใหญ่ ทรงพลัง และน่าหวาดหวั่น
ราวกระทั่งว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยคงเหลือเวลาอยู่รอดได้อีกเพียงไม่กี่วัน
แม้แต่แกนนำรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย
แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
ก็ยังแสดงความวิตกอย่างเห็นได้ชัด
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าหลังจากผ่านความขัดแย้งมายาวนาน
ทุกฝ่ายทุกคนต่าง “รู้เช่นเห็นชาติ”
กันหมดแล้วว่าความขัดแย้งอันยืดเยื้อในวันนี้เป็นการต่อสู้ระหว่าง 2
พลังหลักในสังคมไทยคือ เผด็จการจารีตนิยม กับพลังประชาธิปไตยเสรีนิยม
เป็นการต่อสู้กันระหว่าง 2 ระบอบการเมืองคือ
ระบอบจารีตนิยมที่ครอบงำรัฐไทยมาตั้งแต่รัฐประหาร 2500
กับระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง
สิ่งที่เหลืออยู่ก็เพียงแต่ว่าใครจะเลือกข้างฝ่ายไหนเท่านั้น
แต่ทว่าเนื้อในของกลุ่มคนที่เข้าร่วมกับ “องค์การพิทักษ์สยาม” นั้น
ไม่มีอะไรใหม่เลย ก็คือบรรดากลุ่มคนที่อยู่เบี้องหลังรัฐประหาร 2549
และการร่างรัฐธรรมนูญ 2550
โค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทยและรัฐบาลพรรคพลังประชาชนมาแล้วนั่นเอง
ตั้งแต่กลุ่มสี่เสา กลุ่มประชาธิปัตย์ นักวิชาการ
และพวกคนเดือนตุลาที่หันไปรับใช้เผด็จการ กลุ่มผู้นำสหภาพแรงงานขวาจัด
กลุ่มลัทธิสันติอโศก ไปจนถึงพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
การเคลื่อนไหวขององค์การพิทักษ์สยามก็คือการรุกใหญ่ครั้งใหม่ล่าสุดของคน
พวกนี้ หลังจากที่พ่ายแพ้การเลือกตั้งเมื่อ 3 กรกฎาคม 2554
และหลังจากที่การรุกใหญ่ครั้งสุดท้ายเมื่อมิถุนายน-กรกฎาคม 2555
กรณีศาลรัฐธรรมนูญรับตีความการแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 291
ได้หยุดชะงักกลางคันไปเสียก่อน
การรุกครั้งนี้ดูเหมือนซ้ำรอยกับการเคลื่อนไหวทุกครั้งในช่วง 6 ปีมานี้
การโค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทยปี 2549
และการโค่นล้มรัฐบาลพรรคพลังประชาชนปี 2551 คือการใช้ “สี่ขาหยั่ง”
ประสานกันอย่างเป็นขั้นตอน เริ่มต้นจากการใช้มวลชนจัดตั้งออกมาชุมนุมขับไล่
ให้กลุ่มอันธพาลการเมืองติดอาวุธก่อความรุนแรงบนท้องถนน
ให้พรรคประชาธิปัตย์ขัดขวาง ก่อความวุ่นวายไร้ระเบียบในสภา
ให้องค์กรตามรัฐธรรมนูญใช้กฎหมายทำร้ายนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล
ท้ายสุดคือใช้ทหารเข้าแทรกแซงทั้งโดยวิธีแฝงเร้นหรือรัฐประหารอย่างเปิดเผย
ตามมาด้วยการจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นพียงหุ่นเชิดของพวกจารีตนิยม
คนพวกนี้เติบโต สั่งสมประสบการณ์
และครองอำนาจอยู่ในยุคเทคโนโลยีอนาล็อกที่มีโครงสร้างเครือข่ายลักษณะศูนย์
เดี่ยว และเป็นเส้นตรง ทำให้รัฐสามารถรวมศูนย์ทรัพยากร ขุมกำลังการเมือง
ทหาร เศรษฐกิจ และข้อมูลข่าวสาร แต่โลกในศตวรรษที่ 21
ได้เข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ที่มีลักษณะตรงข้าม
คือเป็นเทคโนโลยีดิจิตอลที่มีโครงสร้างเครือข่ายแบบหลายศูนย์ และเป็นวงกลม
พวกจารีตนิยมไม่สามารถรวมศูนย์ผูกขาดข่าวสารข้อมูลได้อีกต่อไป
และไม่สามารถควบคุมความคิดของประชาชนได้อย่างเบ็ดเสร็จ
ความพยายามขององค์การพิทักษ์สยามสะท้อน “ภาวะอับจนและร้อนรน”
ของพวกจารีตนิยมอย่างชัดเจน ที่ไม่อาจปล่อยให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
อยู่บริหารประเทศต่อไปได้
ด้วยตระหนักว่าความเข้มแข็งและภาวะผู้นำที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของนายก
รัฐมนตรี ตลอดจนความนิยมทั้งในประเทศและประชาคมโลก
เกิดขึ้นพร้อมกับความเสื่อมในสถานะครอบงำทางการเมืองและอุดมการณ์ของพวกเขา
ความอับจนดังกล่าวสะท้อนออกมาหลายด้าน
ประการแรก รัฐบาลและตัวนายกรัฐมนตรียังคงได้รับความนิยมอย่างสูงมาก
และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายต่อต้านไม่มีความชอบธรรมใดๆในการขับไล่รัฐบาล
ทั้งแกนนำและมวลชนจึงมีแต่พวกปฏิกิริยาสุดขั้ว มีสถานะโดดเดี่ยว
และไม่ได้รับการสนับสนุนแม้แต่จากคนชั้นกลางในเมืองที่ไม่นิยมพรรคเพื่อไทย
ประการที่ 2 แกนนำในการเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นการเปิดเผย
“แก่นแกนที่แท้จริง” ของฝ่ายเผด็จการ คนกลุ่มนี้เคย “ซุ่มซ่อน”
อยู่ข้างหลังขบวนการล้มรัฐบาลตลอดมา แต่วันนี้ถึงคราวต้องแสดงตนในที่แจ้ง
คือ “กลุ่มสี่เสา” หนุนช่วยด้วยแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ และตามด้วยมวลชน 3
ส่วนคือ มวลชนจัดตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มสันติอโศก
และกลุ่มเสื้อเหลือง
โดยมีกองกำลังติดอาวุธนอกระบบของกลุ่มเหล่านี้สนธิกำลังกัน
ประการที่ 3 คนพวกนี้ยังคงใช้วิธีการเดิมๆที่เคยได้ผลเลิศทุกครั้ง
ซึ่งก็คือการสร้างสถานการณ์ที่ทำให้สถาบันกษัตริย์เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล
ที่มาจากการเลือกตั้ง แต่มาวันนี้วิธีการนี้กลับไร้ซึ่งพลานุภาพใดๆอีกแล้ว
ประการที่ 4
เป็นครั้งแรกที่คนพวกนี้ประกาศเป้าหมายทางการเมืองของตนออกมาอย่างเปิดเผย
ไม่เป็น “อีแอบ” อีกต่อไป
คือต้องการยกเลิกระบบรัฐสภาและการเมืองแบบเลือกตั้งทั้งหมด แทนที่ด้วยระบอบ
“คุณธรรมแต่งตั้ง” ซึ่งก็คือระบอบเผด็จการที่ปกครองด้วย “คนดี”
ที่แต่งตั้งมาจากพวกจารีตนิยมนั่นเอง
ประการที่ 5
พวกเขาปฏิเสธการเมืองแบบเลือกตั้งและมุ่งฟื้นการปกครองแบบเผด็จการเต็มรูป
นี่เป็นการฝืนกระแสโลกาภิวัตน์และกระแสประชาธิปไตยในสากลโดยสิ้นเชิง
ถึงวันนี้ประชาคมโลกได้เรียนรู้แล้วว่าต้นตอแห่งปัญหาความขัดแย้งในประเทศ
ไทยคืออะไร ต้นเหตุอยู่ที่ไหน ใครคือผู้บงการที่แท้จริง
ในปัจจุบันคนพวกนี้จึงอยู่ในสถานะ “เปลือยล่อนจ้อน” ต่อหน้าสายตาชาวโลก
พวกเขาจึงอยู่ในสถานะโดดเดี่ยวจากประชาคมโลก
ทั้งหมดนี้ทำให้การพยายามโค่นล้มรัฐบาลในคราวนี้เป็นการเคลื่อนไหวใน
เงื่อนไขแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย และไม่เป็นคุณอย่างยิ่งต่อพวกจารีตนิยม
การที่พวกเขาตัดสินใจฝืนกระแสประชาธิปไตยในประเทศและต่างประเทศ
ดื้อดึงก่อการเคลื่อนไหวในครั้งนี้
จึงสะท้อนถึงสถานการณ์อับจนที่แท้จริงของพวกเขา
ขุมพลังของฝ่ายเผด็จการยังคงเข้มแข็ง
พวกเขาอาจโค่นล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทยลงได้สำเร็จ เหมือน 2 ครั้งที่ผ่านมา
แต่ในครั้งนี้พวกเขาจะเผชิญกับการต่อต้านที่รุนแรงและยืดเยื้อยาวนานยิ่ง
กว่า ทั้งจากพลังประชาธิปไตยในประเทศและจากประชาคมโลก
เขาอาจได้รัฐบาลและอำนาจบริหารกลับคืนไป แต่ก็เพื่อที่จะ
“สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามี” ในที่สุด
นักปรัชญาเมธีผู้ยิ่งใหญ่เคยกล่าวไว้ว่า “ประวัติศาสตร์เกิดซ้ำสอง
เหตุการณ์ครั้งแรกเป็นโศกนาฎกรรม แต่ครั้งที่สองเป็นละครน้ำเน่า” ในแง่นี้
รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ก็เป็นโศกนาฏกรรมอย่างแท้จริง
แต่รัฐประหารครั้งที่ 2 ปี 2555-2556 จะเป็นละครน้ำเน่าที่ผู้ชมเบื่อหน่าย
สะอิดสะเอียนที่จะนำไปสู่จุดจบของผู้สร้างและผู้เขียนเรื่องทั้งหมด
|
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น