จดหมายเปิดผนึกจาก RED USA ถึงผู้พิพากษาตุลาการในกระบวนการยุติธรรมไทย " พวกเราอดกลั้นกับพฤติกรรมของพวกท่านจนเหลืออดแล้ว" "... เราเคารพในคำตัดสินของศาล" เป็นวลีที่ถูกนำมาใช้ ต่อท้ายการแสดงออกต่อคำตัดสินของศาลบ่อยมากในระยะหลัง ทั้งๆที่คำตัดสินนั้นฝืนความรู้สึกของประชาชน สวนทางกับความเป็นจริง "แต่ประชาชนก็ต้องเคารพในคำตัดสินนั้น" โดยไม่มีผู้ใดกล้าพูดหรือวิพากษ์วิจารณ์ออกมาตรง ๆ ว่าคำตัดสินของศาลเที่ยงธรรมตามบทบัญญัติและหลักการแห่งกฎหมายหรือว่าหลายมาตราฐาน "ตามหลักกู" ที่มีคนตั้งธงกำหนดไว้ให้คำตัดสินต้องเป็นไปตามธง ทำให้อำนาจของสถาบันตุลาการที่ใหญ่คับฟ้าอยู่แล้วกลายเป็น "สถาบันที่แตะต้องไม่ได้" ไปอีกหนึ่งสถาบันหลังจากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา อำนาจตุลาการเป็นหนึ่งในสามอำนาจซึ่งถ่วงดุลกันในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็น "ของ" ประชาชน "โดย"ประชาชนมอบอำนาจนั้นผ่านตัวแทนให้ไปเป็นผู้ดูแลบริหารจัดการกิจการของประเทศ "เพื่อ" ประชาชน นั่นคือผ่านอำนาจบริหาร อำนาจตุลาการและอำนาจนิติบัญญัติ แต่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบไทย ๆ ดูเหมือนว่าอำนาจตุลาการจะ "เป็นพ่อ" ของทุกสถาบันแม้แต่ "ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจ" ยังถูกย่ำยี่โดยไม่ยี่หระ คงไม่มีผู้ทรงคุณธรรมและผู้รู้ท่านใดออกมาโต้แย้ง หากมีผู้ตั้งข้อสังเกตุว่าฝ่ายตุลาการคือ "ผู้ร่วมก่อการขบถ" ที่ส่งผ่านอำนาจต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นเป็นเวลาหลายทศวรรษ โดยร่วมมือกับเผด็จการทหารโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน "ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง" มากับมือครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าฝ่ายตุลาการเป็นผู้ที่ทรงไว้ซึ่งความถูกต้องเที่ยงธรรมแล้วไซร้คงไม่มีการทำรัฐประหารในประเทศไทยมากมายหลายครั้งอย่างที่รับรู้กันไปทั้งโลก คงมีแต่ผู้ต้องหาในคดี "ขบถ" เกลื่อนเมืองที่ต้องโทษประหารชีวิตหรือต้องอาญาแผ่นดินให้ถูกคุมขังจองจำตลอดชีวิตแทน แต่การณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่ เนื่องจากบุคคลากรและกลไกของฝ่ายตุลาการที่ให้การสนับสนุน "ขบถ" ทำให้ "การทำรัฐประหาร" ในประเทศไทยประสบความสำเร็จตลอดมา จนถึงปัจจุบันยังไม่ปรากฎว่ามีผู้ใดหาญกล้าสบตาพูดความจริงใส่หน้า "ฝ่ายตุลาการ" ให้สำนึกจนเกิดเป็นความสำเหนียกว่าพวกเขาคือ "ผู้ร่วมทำรัฐประหาร" ในประเทศไทยทุกครั้งที่ผ่านมา นอกจากร่วมทำรัฐประหารแล้ว ยังแสดงตนออกนอกหน้ายกย่องคณะรัฐประหารให้มีอำนาจเหนือผู้คนทั้งแผ่นดินไม่เว้นแม้แต่ "สถาบันกษัตริย์" โดยยกให้ "ขบถ" ผู้ฉีกกฎหมายสูงสุดของประเทศทิ้งเป็น "องค์รัฏฐาธิปัตย์" การทำรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นตัวอย่างที่เด่นชัดว่า "ฝ่ายตุลาการ" มีส่วนร่วมในการทำ "รัฐประหาร" อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ เริ่มจากผู้บริหารระดับสูงของสถาบันตุลาการเข้าร่วมประชุมวางแผนกับ "ผู้กว้างขวาง" ในวงการสื่อสารมวลชนและผู้ก่อการอีกหลายคน ณ บ้านหลังใหญ่ย่านสุขุมวิทเพื่อโค่นล้มรัฐบาลของพรรคไทยรักไทยที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี http://www.tasawang.com/board/viewtopic.php?f=1&t=1841 ผู้ที่มีตำแหน่งใหญ่โตในวงการตุลาการอย่างบรรดาที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนั้น ย่อมรู้แจ้งแทงทะลุอยู่กับใจว่าการทำ "รัฐประหาร" มีโทษถึงประหารชีวิต แต่ก็ยังกล้าฝืนหลักกฎหมายร่วมมือกับเผด็จการทหาร "ฉีกรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน" ทิ้งอย่างไม่เกรงกลัวอาญาแผ่นดินแม้แต่น้อย หากประชาชนอยากรู้และตั้งคำถามว่า "สถาบันตุลาการยืนอยู่ข้างความถูกต้องเที่ยงธรรมหรือยืนอยู่ข้างพวกขบถโจรปล้นแผ่นดิน?" จะให้ตอบประชาชนว่าอย่างไร? และถ้ามีคำถามต่อไปว่า "ถ้าสถาบันตุลาการเลือกอยู่ข้างโจรขบถ สมควรจะเก็บเอาไว้หรือไม่?" รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่ถูกนำมาใช้แทน ฉบับปี 2540 นั้น บุคคลในวงการตุลาการมีส่วนสำคัญในการยกร่าง อีกทั้งยังให้ความร่วมมือในการหลอกลวงประชาชนให้ "รับไปก่อนแล้วไปแก้ที่หลัง" การกระทำเช่นนี้ "ของฝ่ายตุลาการ" จะถือว่าเป็นการปฏิบัติของผู้มีคุณธรรมได้หรือไม่ในเมื่อประชาชนต้องการแก้รัฐธรรมนูญที่เคยให้คำมั่นสัญญาไว้ว่า "แก้ได้ง่าย" มาก่อนหน้ากลับ "ถูกขัดขวางต่อต้าน" กลายเป็นความขัดแย้งอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยมีบรรดาสมาชิกของสถาบันตุลาการทำตัวเป็นหัวหอกต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ "ฉบับหน้าแหลมฟันดำ" กันอย่างอึกทึกครึกโครม ถ้าประชาชนธรรมดาหรือบุคคลทั่วไป "พูดอย่างทำอย่าง" คงถูกประนามเป็น "พวกหน้าไหว้หลังหลอก" หรือไม่ก็ "พวกมือถือสากปากถือศิล" หรืออาจเป็นพวก "ต่อหน้ามะพลับลับหลังตะโก" หรือไม่ก็จำพวก "มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก" แต่นี่เป็นการกระทำของฝ่ายตุลาการ ที่ประชาชนคนทั่วไปคงไม่หาญกล้าพอที่จะกล่าวสรรเสริญพวกท่านด้วยสุภาษิตไทยเหล่านั้น หรือ "ถ้าหาก" มีผู้ใดหาญทำ บรรดาตุลาการเหล่านั้นคงไม่เข้าใจเพราะขนาดรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศไทย เขียนด้วยภาษาไทย โดยคนไทย ท่านยังแนะนำให้ไปอ่านฉบับภาษาอังกฤษจะเข้าใจได้ดีกว่า....Oh My God!! It is so hypocritical. มีการบัญญัติว่า "ตุลาการ" นั้นต้องปราศจากอคติหรือความลำเอียงทั้งสี่ คือ "ฉันทาคติ" ความลำเอียงเพราะรัก - "โทษาคติ" ความลำเอียงเพราะโกรธ - "ภยาคติ" ความลำเอียงเพราะกลัว และ "โมหาคติ" ความลำเอียงเพราะหลงหรือโง่ ตามหลักการและอุดมการณ์ตลอดจนจรรยาบรรณ สถาบันตุลาการต้องปราศจากอคติหรือความลำเอียงใด ๆ แต่พฤติกรรมของสถาบันตุลาการไทยในปัจจุบันบทความนี้มิอาจบ่งชี้ว่าเป็นเช่นใด นอกจากความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยปัจจุบันคือ "คนเสื้อแดง" เป็นผู้ถูกกระทำ และถูกกล่าวหาด้วยข้อกล่าวหาที่เลื่อนลอย แต่กลับถูกจองจำทั้ง ๆ ที่ "ศาล" ยังมิได้ตัดสินถึงที่สุดว่าเป็นผู้กระทำความผิด อีกทั้งกระบวนการยุติธรรมไทยไม่เปิดโอกาสให้ประกันตัว ทั้ง ๆ ที่การยื่นคำร้องขอประกันตัวเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่บัญญัติไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ แม้แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่บรรดาตุลาการมีส่วนในการยกร่างมากับมือก็บัญญัติไว้ให้เป็นสิทธิพื้นฐานของประชาชนเฉกเช่นกัน ผู้ถูกกล่าวหาที่เป็น "คนเสื้อแดง" ได้ยื่นเอกสารขอประกันตัวกันมาแล้วคนละ 5 ครั้ง 10 ครั้ง และมากครั้งกว่านั้น สำหรับผู้ที่ถูกกล่าวหาบางท่าน แต่สถาบันตุลาการก็ยืนกรานไม่อนุมัติให้ประกันตัวด้วยเหตุผลซ้ำซากเดิม ๆ ว่า "เป็นคดีที่ต้องโทษสูง เกรงจะหลบหนี" โดยไม่ให้เกียรตินายประกันที่มีทั้งผู้ที่เป็น สส. และผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลปัจจุบัน อีกทั้งรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ซึ่งมุ่งมั่นสร้างความปรองดองของคนในชาติ ก็พยายามเดินหน้าหาวิธีการเพื่อให้ผู้ถูกคุมขังได้รับการประกันตัวสู่อิสรภาพ ได้ตั้งงบประมาณนับ 100 ล้านบาทเพื่อใช้เป็นหลักทรัพย์ในการประกันตัว ผ่านกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพประชาชน ในสังกัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมร่วมมือกับสมาคมทนายความแห่งประเทศไทยให้เป็นผู้เดินเรื่องยื่นเอกสารการประกันตัวผู้ถูกหล่าวหาที่ถูกจองจำให้ได้รับการประกันตัวสู่อิสระภาพทั้งหมดโดยเร็ว แต่เกียรติภูมิของสมาชิกสภาผู้แทนฝ่ายรัฐบาล และผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่เสนอตัวเป็นนายประกันให้กับ "คนเสื้อแดง" ที่ถูกจองจำกลับไม่มีคุณค่าและความสำคัญในสายตาของสถาบันตุลาการมากพอที่จะสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากสถาบันตุลาการไทยแม้แต่น้อย แปลความง่ายๆคือ "พวกมันไม่อยู่ในสายตา" นั่นเองทั้ง ๆ ที่อำนาจและศักดิ์ศรีเท่าเทียมกันในระบอบการปกครองประชาธิปไตย ในความเป็นจริงสส.และรัฐมนตรีมีศักดิ์ศรีมากกว่าสถาบันตุลาการอย่างยิ่ง เนื่องจากได้รับความไว้วางใจจากประชาชนนับสิบล้านคนที่ร่วมกันออกเสียงเลือกท่านเหล่านั้นมาเป็นตัวแทนของประชาชน ผิดกับอำนาจฝ่ายตุลาการที่ไม่มีอะไรยึดโยงกับประชาชนเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชน นอกจากได้รับเงินเดือนที่สูงติดเพดาน มีรถประจำตำแหน่งราคาแพงลิบลิ่ว มีข้าทาสบริวารที่แต่งตั้งเลือกหามาเป็นมือเป็นตีนด้วยอัตราเงินเดือนสูง เพื่อคอยห้อมล้อมยกย่องประคองบารมีของตนให้้เปล่งประกาย ทั้งหมดที่สถาบันตุลาการมีล้วนแต่มาจากการจัดซื้อ จัดหาจัดจ้าง ด้วยเงินภาษีของประชาชนทั้งสิ้น แต่ประชาชนผู้เสียภาษีกลับถูกเหยียบย่ำต้องรอ "ความเมตตา" จากสถาบันตุลาการทั้งที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ประชาชนผู้เสียภาษีเป็นผู้เลี้ยงดูบรรดาผู้พิพากษาและตุลาการตลอดจนครอบครัวของบุคคลเหล่านี้ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบายกินดีอยู่ดี แต่บรรดาผู้พิพากษาตุลาการนอกจากไม่สำนึกถึงบุญคุณ กลับปฏิบัติต่อประชาชนผู้ให้ "ข้าวแดงแกงร้อน" ประหนึ่งศัตรูคู่อาฆาตแฝงไว้ด้วยอคติความเคียดแค้นชิงชัง ทั้งๆที่ประชาชนคนเสื้อแดงคือเพื่อนร่วมชาติ อีกทั้งกฎหมายรัฐธรรมนูญก็ให้ความคุ้มครองสิทธิในการประกันตัวไว้ แต่กระบวนการยุติธรรมไทยกลับไม่สนใจปฏิบัติตาม นอกจากถือเอา "ดุลยพินิจของตน" เป็นใหญ่....มันช่าง Amazing Thailand จริงๆ แต่สำหรับคนบางกลุ่มบางสี ที่กระทำความผิดมีหลักฐานชัดเจน ทั้งยึดทำเนียบรัฐบาลซึ่งเป็นศูนย์บริหารงานและศูนย์บัญชาการในการขับเคลื่อนประเทศ เอาไปทำนาปลูกข้าว ขโมยข้อมูลความลับของประเทศ ทำลายทรัพย์สินของรัฐในทำเนียบนับสิบรายการ ขโมยข้าวของและอาวุธของหน่วยรักษาความปลอดภัยในทำเนียบ ยึดสนามบินสุวรรณภูมิ กักเครื่องบินของสายการบินนานาประเทศไม่ให้เคลื่อนย้ายบินออกจากสนามบินเกือบร้อยลำเนื่องจากหอบังตับการถูกยึด สร้างความปั่นป่วนให้กับตารางบินของกิจการการบินไปทั้งโลก มีนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจหลายแสนคนต้องตกค้างเดินทางเข้าออกจากประเทศไทยไม่ได้ ทั้งนี้ยังไม่นับรวมการยึดสนามบินดอนเมืองที่ทำให้การเดินทางและการขนส่งทางอากาศต้องหยุดชะงัก สร้างความเสียหายโดยตรงนับแสนล้านบาทและส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นมูลค่านับล้านล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่ร่วม "ความเชื่อมั่นของประเทศ" ที่เสียไปในสายตาโลกซึ่งประเมินเป็นมูลค่ามิได้ แต่การกระทำของคนบางกลุ่มบางสีดังกล่าวข้างต้น ที่นานาประเทศถือว่าเป็นผู้ก่อการร้ายสากล แต่สำหรับสถาบันตุลาการไทยกลับถือเป็นเรื่องเล็กจิ๊บๆแค่ปรับคนละ 500 บาทในข้อหาบุกรุกสนามบินสุวรรณภูมิ ค่าปรับถูกกว่าค่าบัตรผ่านประตูเข้าชมคอนเสริตที่ "อาหารดี ดนตรีไพเราะ" เสียอีก ส่วนข้อหาอื่น ๆ ทั้งทำร้ายร่างกาย ทั้งมีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ชุมนุมและยึดสถานที่สำคัญ ๆ กลับได้รับการประกันตัวทุกข้อกล่าวหา และได้รับการเลื่อนการพิจารณาคดีครั้งแล้วครั้งเล่าจนประชาชนคร้านที่จะนับว่าเลื่อนมาแล้วกี่ครั้ง เมื่อนำการปฏิบัติของกระบวนการยุติธรรมไทยที่มีต่อ "คนเสื้อแดง" ไปเปรียบเทียบกับการปฏิบัติของศาลที่ให้กับ "คนสีอื่น" แล้วมันสร้าง "ความอึดอัด" ที่ถมทับทวีจนต้องอดกลั้นกันตลอดมาว่า "ทำไมจึงให้ประกันตัวคนเสื้อแดงไม่ได้" ทั้ง ๆ ที่การต่อสู่เรียกร้องของคนเสื้อแดงเป็นไปอย่างสันติ ปราศจากอาวุธ ตั้งอยู่บนความสงบอหิงสา อีกทั้งยังเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญที่รับรองเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนโดยสันติวิธีอีกด้วย "ทำไมพวกท่านจึงจงใจกักขังคนเสื้อแดงให้สิ้นอิสระภาพ ถูกคุมกักขังบริเวณประดุจสัตว์?" หรือว่าพวกท่านต้องการให้ความอึดอัดที่ทับถม "ระเบิดออกมาเป็นสงครามประชาชน" ที่จะกวาดล้างทุกคน ทุกองค์กร ทุกสถาบันที่กดขี่ประชาชนให้ล่มสลาย พร้อม ๆ กับทุบทำลายอุปสรรคขวากหนามทุกชิ้นที่ขวางกั้นสิทธิเสรีภาพให้ปี้ป่นเป็นจุล RED USA ฝากถามมายังสถาบันตุลาการ บรรดาตุลาการใส่สูท และคณะผู้พิพากษาสวมครุยว่า "ท่านต้องการเช่นนั้นหรือ?" การกระทำของสถาบันตุลาการถือเป็นการกระทำที่ฟ้องร้องเอาผิดในข้อหา "หมิ่นประชาชน" ได้หรือไม่? เพราะการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของประชาชนอย่างไร้อารยะของสถาบันตุลาการ เป็นการกระทำที่มนุษย์ผู้เจริญแล้วไม่ทำกัน เมื่อเปรียบกับ "พฤติกรรม" ของสถาบันตุลาการที่มีผู้นำมาบอกกล่าวต่อสาธารณะกลับโดนข้อหา "หมิ่นศาล" ทั้ง ๆ ที่ "พฤติกรรมนั้น ๆ เกิดขึ้นจริง" มันเป็นเรื่องที่ขำไม่ออกจริง ๆ ไม่ต่างกับ "โจรที่ถูกจับได้กลับกล่าวหาเจ้าของบ้านว่าปล้นทรัพย์" มาตราฐานที่แตกต่างของกระบวนการยุติธรรมไทยที่ RED USA เฝ้าติดตามดูด้วยความอดทน เป็นความขมขื่นที่ต้องบอกให้สังคนไทยผ่านบทความนี้ได้รับรู้ว่า " RED USA อดกลั้นกับพฤติกรรมของบรรดาผู้พิพากษาตุลาการในกระบวนการยุติธรรมไทยจนเหลืออดแล้ว" RED USA ได้รณรงค์ป่าวประกาศพฤติกรรมเลว ๆ ของอำมาตย์ ขุนนาง ทหารขุนศึก รวมทั้งบรรดา hypocrites ในกระบวนการยุติธรรมไทยให้ชาวโลกได้รับรู้มาแล้วอย่างต่อเนื่อง และจะรณรงค์นำพฤติกรรมของสถาบันตุลาการไทยไปบอกกล่าวให้ชาวโลกได้รับรู้อีกครั้งในวันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม 2013 นี้ ณ บริเวณ Wishire Federal Building หรือตึกที่ทำการของรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกาในมหานครลอลแองเจลิส บนถนน Wilshire Blvd. ย่าน Westwood. ในวันดังกล่าว RED USA จะเรียกร้องให้ปล่อยนักโทษการเมือง คู่ขนานไปกับคณะ "ปฏิญญาหน้าศาล" ของอาจารย์ "หวาน - สุดา รังกุพันธ์" ที่จะจัดกิจกรรมในวันที่ 29 มกราคมนี้ ที่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ซึ่งอาจารย์หวานตั้งเป้าให้มีมวลชนเข้าร่วมกิจกรรมไม่ต่ำกว่า 10,000 คนนั้น ก็ขอได้โปรด count us in (นับพวกเรา RED USA รวมไปด้วย) เพื่อบอกให้ชาวโลกรู้ว่าความฉาวโฉ่ของกระบวนการยุติธรรมไทยมิได้ส่งกลิ่นเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น "ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นไปทั้งข้อง" แต่ "ปลาในข้องของกระบวนการยุติธรรมไทยมันคงตายไปหมดแล้วทุกตัว" จึงไม่มีปลาเป็น ๆ แม้ตัวเดียวกระโดดออกมาจากข้อง เพื่อปฏิวัติ ปฏิรูปและประกาศศักดิ์ศรีแห่งคุณธรรมและความเที่ยงธรรมของกระบวนการยุติธรรมไทย...มันน่าเศร้าจริง ๆ ที่หาผู้กล้าเปี่ยมคุณธรรมในสถาบันแห่งนี้ไม่ได้เลยสักคน RED USA January 20, 2013 ปล. ที่ต้องมีคำอังกฤษกำกับไว้ในบทความบ้างบางคำ In favor of ตุลาการบางท่านเพื่อความเข้าใจที่ดีขึ้น
เครื่องบินลากแบนเนอร์เหนือฟ้าแอลเอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น