วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คลิป 'สุเทพ เทือกสุบรรณ' ยืนยันไม่มีสไนเปอร์ในปี 53

คลิป 'สุเทพ เทือกสุบรรณ' ยืนยันไม่มีสไนเปอร์ในปี 53

สภาถก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม 'สุเทพ เทือกสุบรรณ' ยันไม่เคยสั่งทหารไปฆ่าประชาชน ไม่มีการใช้สไนเปอร์ มีแต่ปืนติดลำกล้องใช้ยิงโต้ผู้ก่อการร้ายที่มุ่งร้าย จนท. - ประชาชน คนที่ถูกยิงคือผู้ก่อการร้ายแฝงตัวมา ด้านลูก เสธ.แดง ยกมือโต้ อัดสุเทพกล่าวเท็จ เชื่อประชาชนมีคำตอบแล้วว่าใครเป็นฆาตรกร
การอภิปรายตอบโต้ระหว่างสุเทพ เทือกสุบรรณ (ซ้าย) และขัตติยา สวัสดิผล (ขวา) เมื่อ 8 สิงหาคม 2556 ที่มา: โทรทัศน์รัฐสภา

        เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ที่ผ่านมา ในการประชุมรัฐสภา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตนายกรัฐมนตรี และ ส.ส.สุราษฎร์ธานี ได้ขอสิทธิกล่าวอภิปรายถึงกรณีที่ถูกนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ และ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย พาดพิงว่าเป็นผู้มีอำนาจ เป็นรัฐบาลอำมหิต สั่งทหารฆ่าประชาชน และเป็นรัฐบาลแรกของโลกที่เอาสไนเปอร์จัดการประชาชน โดยนายสุเทพอภิปรายว่า ไม่เคยสั่งทหารไปฆ่าประชาชน เมื่อมีเหตุการณ์จลาจลก็ถือว่าเป็นอำนาจรัฐบาลต้องยับยั้งเหตุการณ์ แต่เหตุการณ์ที่เกิดความรุนแรงฆ่าประชาชนนั้นเป็นของบุคคลกลุ่มหนึ่งที่มีอาวุธสงครามอยู่ในมือ ทั้งที่ไม่มีสิทธินำมาฆ่าประชาชนและเจ้าหน้าที่ และเจ้าหน้าที่ต้องปกป้องชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยใช้อาวุธยับยั้งผู้ก่อการร้ายที่ใช้อาวุธสงครามมาฆ่าเจ้าหน้าที่ ถือเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย
        "ในประการที่ณัฐวุฒิบอกว่าเป็นรัฐบาลแรกของโลกที่เอาสไนเปอร์มาจัดการประชาชน เอาปืนส่องประชาชนตามหัวมุมตึก ก็ไม่เป็นความจริงครับ ไม่ได้เอาปืนสไนเปอร์ไปส่องดักยิงประชาชนด้วยความเมามันในอำนาจแต่ประการใด แต่ว่าที่จำเป็นต้องให้มีพลแม่นปืนขึ้นไปประจำอยู่ในพื้นที่สูงข่มเป็นการดำเนินการเพื่อคุ้มครองชีวิตเจ้าหน้าที่ ที่ปฏิบัติหน้าที่ ที่ไปตั้งด่าน ไปตั้งจุดสกัด อยู่ตามจุดต่างๆ เพื่อไม่ให้ผู้ก่อการร้ายออกไปก่อกรรมทำเข็ญกับประชาชนชาวกรุงเทพฯ พลแม่นปืนที่ว่านั้นไม่ใช่สไนเปอร์ ปืนสไนเปอร์นั้นมีความยาวเป็นพิเศษ มีลักษณะปืนเป็นพิเศษ แต่ปืนที่ใช้นั้นเป็นอาวุธประจำกายของทหารตามปกติ แต่ว่าได้มีการดัดแปลงติดกล้อง ไม่ใช่สไนเปอร์ และไม่ได้ตั้งใจเอาไปเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ มีคำสั่งของผมชัดเจนว่าให้ใช้พลแม่นปืนนี้ ยิงระงับผู้ก่อการร้ายที่มุ่งทำร้ายเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้บริสุทธิ์ คนที่ถูกยิงคือบรรดาผู้ก่อการร้ายที่แฝงตัวมาครับ ท่านประธานครับ"
       "ในประเด็นที่สาม กรณีที่คุณณัฐวุฒิกล่าวหาว่า ผมพูดจาโดยไม่รับผิดชอบ อยากจะพูดอะไรก็พูด เรื่องไปเอ่ยชื่อบุคคลที่เผาเซ็นทรัลเวิลด์"
        ต่อมา น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย บุตรสาวของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุลอบยิงที่หน้าสวนลุมพินีเมื่อ 13 พ.ค. 53 ได้ลุกขึ้นประท้วง และอภิปรายว่า "ผู้ที่กำลังกล่าวว่าตัวเองถูกพาดพิงนั้น ท่านกล่าวความเห็น ท่านกล่าวว่าไม่มีสไนเปอร์ในเหตุการณ์ ในพื้นที่ดังกล่าว แล้วนี่คืออะไรคะ" จากนั้น น.ส.ขัตติยา ได้แสดงรูปภาพทหารถือปืนติดลำกล้องในเหตุการณ์ระหว่างวันที่ 13 - 19 พ.ค. 53 และอภิปรายต่อไปว่า "บุฟการีของดิฉัน โดนยิงในวันที่ 13 พ.ค. ฝีมือใครคะ ฝีมือฆาตรกรคนไหนคะ กรุณากล่าวความจริงในสภาค่ะ ท่านโกหกคนทั้ง..."
       อย่างไรก็ตาม รองประธานสภาผู้แทนราษฎร นายเจริญ จรรย์โกมล ซึ่งทำหน้าที่ประธานสภาฯ ได้ปิดไมโครโฟนของผู้อภิปรายและกล่าวว่า "ใจเย็นๆ ฮะ คืออย่างนี้ครับ ท่านที่ใช้สิทธิพาดพิง ท่านก็อธิบายของท่านไป ส่วนท่านจะมีความรู้สึกเชื่อไม่เชื่อเป็นเรื่องของท่าน ท่านก็บอกว่าอาวุธที่ใช้มาควบคุมอะไรท่านก็อธิบายประเด็นที่สามเลย"
        จากนั้น นายสุเทพ ได้อภิปรายต่อไปว่า "ท่านสุภาพสตรีที่อภิปรายเมื่อสักครู่ บังเอิญท่านพาดพิงว่าผมโกหก บังเอิญมีผู้พาดพิงใหม่แล้วเป็นการพาดพิงซึ่งหน้าเลย ซึ่งถ้าผมไม่พูดนี่เสียหายมาก ผมต้องขอชี้แจงตรงนี้ก่อน ก่อนที่จะไปประเด็นคุณณัฐวุฒิ ท่านประธานครับ กรณีของคุณพ่อท่านที่เสียชีวิต จนเดี๋ยวนี้เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่ทราบว่าฝ่ายไหนทำให้เสียชีวิต ยังไม่เคยมีผลของการสอบสวน เพราะฉะนั้นจะมากล่าวหาผมไม่ได้ ผมไม่ทราบจริงว่าฝ่ายไหน อาจจะเป็นพวกคุณยิงกันเองก็ได้" ซึ่งการอภิปรายของนายสุเทพช่วงนี้ ทำให้มีเสียงโห่ร้องเกิดขึ้นในที่ประชุมสภา
        รองประธานสภากล่าวต่อไปว่า "เดี๋ยวท่านสุเทพ ผมว่าประเด็นนี้พอแล้วล่ะ เชิญประเด็นที่สามครับ"
        นายสุเทพกล่าวว่า "ก็ถ้าไม่พูดพาดพิง ผมก็ไม่ชี้แจง แต่ผมต้องชี้แจงให้จบ เพราะว่าก่อนหน้าที่จะเสียชีวิต..."
        อย่างไรก็ตาม น.ส.ขัตติยา ได้ลุกขึ้นประท้วงอีกรอบและอภิปรายว่า "ท่านสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นหนึ่งในคณะ ศอฉ. ดิฉันลุกขึ้นประท้วงเพราะว่าท่านกล่าวเท็จบอกว่าไม่มีสไนเปอร์ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และดิฉันก็ลุกขึ้นพูดว่าที่พ่อดิฉันถูกยิงเสียชีวิตก็จากปืนสไนเปอร์ ส่วนใครจะเป็นคนทำจะเป็นจากเจ้าหน้าที่หรือไม่ อันนั้นอยู่ในกระบวนการยุติธรรม แต่ดิฉันเชื่อว่าประชาชนทั่วประเทศมีคำตอบอยู่ในใจแล้วว่าใครเป็นฆาตรกร"
         อนึ่ง ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อ 16 ส.ค. 55 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ได้ชี้แจงรูปที่ปรากฏเป็นทหารถือปืนติดลำกล้องที่ประจำการที่หน้าสนามมวยลุมพินีเมื่อ 16 พ.ค. 53 ว่าไม่ใช่สไนเปอร์ แต่เป็นปืนที่ "ติดกล้องเฉยๆ และกล้องตัวนั้นและปืนตัวนั้นไม่ใช่แบบสไนเปอร์" โดยระบุว่าลำกล้องดังกล่าวในตลาดนัดก็มีขายที่ใช้สำหรับยิงนก ไม่ใช่สไนเปอร์ และในปี 2553 พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. ในสมัยนั้นเรียกทหารที่ใช้อาวุธในลักษณะดังกล่าวว่า "เจ้าหน้าที่พลแม่นปืนระวังป้องกัน" หรือ "sharpshooter" (อ่านข่าวย้อนหลัง)
 
           และต่อมาเมื่อ 18 ส.ค. 55 ประชาไท ได้เผยแพร่เอกสาร ส่วนราชการ สยก.ศอฉ. ที่ กห.0407.45 (สยก.)/130 ลงวันที่ 17 เม.ย. 53 เรื่อง “ขออนุมัติแนวทางการปฏิบัติในการใช้อาวุธเพื่อ รปภ. ที่ตั้งหน่วยและสถานที่สำคัญ รวมทั้งการปฏิบัติ ณ จุดตรวจ/ด่านตรวจและสายตรวจเคลื่อนที่” ลงนามโดย พล.ท.อักษรา เกิดผล หน.สยก.ศอฉ. เสนอ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศอฉ. ในเวลานั้น โดยมีเนื้อหาในข้อ 2.5 ระบุว่า "ในกรณีพบความผิดซึ่งหน้าในลักษณะผู้ก่อเหตุใช้อาวุธยิงใส่เจ้าหน้าที่ หรือใช้อาวุธ/วัตถุระเบิดต่อที่ตั้งหน่วยและสถานที่สำคัญที่ ศอฉ. กำหนด ได้กำหนดให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้อาวุธยิงผู้ก่อเหตุ เพื่อหยุดยั้งการปฏิบัติได้ แต่หากผู้ก่อเหตุอยู่ปะปนกับผู้ชุมนุมจนอาจทำให้การใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่ เป็นอันตรายต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ให้งดเว้นการปฏิบัติ ยกเว้นในกรณีที่หน่วยได้จัดเตรียมพลแม่นปืน (Marksmanship) ที่มีขีดความสามารถเพียงพอให้ทำการยิงเพื่อหยุดยั้งการก่อเหตุได้ นอกจากนี้หากหน่วยพบเป้าหมายแต่ไม่สามารถทำการยิงได้ เช่น เป้าหมายอยู่ในที่กำบัง ฯลฯ หน่วยสามารถร้องขอการสนับสนุนพลซุ่มยิง (Sniper) จาก ศอฉ. ได้” (อ่านข่าวย้อนหลัง)
 
        และก่อนหน้านี้เมื่อ 18 มี.ค 54 พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ได้เปิดเผยรายงานบัญชีสรุปรายการเบิกจ่ายกระสุนจากหน่วยคลังแสงสรรพาวุธทหารบก เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ตั้งแต่ 11 มี.ค. 53 จนถึงเสร็จสิ้นการโดยมีการเบิกกระสุนจากคลังแสงทหารบกกว่า 597,500 นัด ส่งคืน 479,577 นัด ใช้ไป 117,923 นัด เผยมีการเบิกกระสุนปืนซุ่มยิง 3,000 นัด คืนเพียง 880 นัด ขณะที่เบิกกระสุนซ้อมเพียง 10,000 นัด ส่งคืน 3,380 นัด (อ่านข่าวย้อนหลัง)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น