วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Me and My Country (2)


"ทักษิณ" FB: Me and My Country (2)

         วันที่ 18 ตุลาคม 2556 (go6TV) - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 15.30 น. ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว https://www.facebook.com/thaksinofficialโดยมีข้อความดังนี้ +



Me and My Country (2)
17 ต.ค. 56

          วันนี้ผมออกเดินทางด่วนจากไปกล่าวสุนทรพจน์และร่วมถกการทำให้ประเทศในเอเชียสู่ความเป็น One Asia ก็เลยอยากจะเล่าเบื้องหลังการจัดตั้ง ACD ( Asia Cooperation Dialogue) ในปี 2545 ให้ท่านฟังครับ

           ผมเห็นว่าทวีปเอเชียเป็นทวีปเดียวที่ไม่มี Forum ที่มีสมาชิกรวมกันทุกประเทศที่อยู่ในเอเชียซึ่งไม่เหมือนกันทวีปอื่นที่มี Forum ที่ประกอบด้วยสมาชิกทุกประเทศในทวีปนั้น ทั้งๆที่เราเป็นทวีปที่มีประชากรรวมกันเกินครึ่งหนึ่งของประชากรโลก มีเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศรวมกันก็เกินครึ่งหนึ่งของทั้งโลก เป็นทวีปที่มีวัฒนธรรมเก่าแก่ ศาสนาทุกศาสนาก็มีต้นกำเนิดในทวีปเอเชียแทบทั้งนั้น และสิ่งมหัศจรรย์ของโลกส่วนใหญ่ก็อยู่ในเอเชีย

         แม้กระนั้นเราก็ยังมีคนจนที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่ UN ถือเป็นความยากจนมากกว่าทุกทวีป เพราะเรามีปัญหาขัดแย้งระหว่างประเทศในหลายภูมิภาค ทำไมเราไม่วางความขัดแย้งไว้ก่อน หันมาพูดคุยกันให้เกิดการร่วมกันพัฒนาอย่างสร้างสรรค์ด้วยกัน ซึ่งผู้นำต้องคิดไปไกลกว่าเขตแดนประเทศตัวเอง One Asia จึงจะเกิดได้

         ผมเลยเริ่มต้นคุยกับประเทศใหญ่สุดคือจีน พอจีนเริ่มให้ความสนใจผมก็คุยกับญี่ปุ่น ญี่ปุ่นก็สนใจ ผมจึงรีบมาคุยกับอาเซียน อาเซียนให้การสนับสนุนเต็มที่ ผมรออยู่พักใหญ่จีนกับญี่ปุ่นยังไม่ตัดสินใจเต็มที่ ผมก็เลยไปอินเดีย นายกรัฐมนตรี อตล เพหารี วัชปายี ในขณะนั้นก็ตกลงทันที ผมก็รีบมาประชุม Bo'ao Forum ที่ไหหลำ แล้วมาพบกับนายกฯ จู หรงจี ของจีน นายกฯโคะอิซุมิของญี่ปุ่นก็นั่งอยู่ด้วยกัน ผมบอกไปเลยว่า อาเซียนและอินเดียตกลงใจแล้ว นายกฯจู หรงจี และนายกฯโคะอิซุมิก็บอกผมพร้อมกันเดี๋ยวนั้นว่าจีนและญี่ปุ่นตกลง แค่นี้ผมก็ได้ประเทศหลักๆแล้ว ต่อมาเกาหลีก็ตกลง จีนบอกผมเพราะรู้ว่าอินเดียเข้ามาแล้วก็ให้เชิญปากีสถานด้วย ผมก็เลยไปเชิญซึ่งเขาก็ตอบรับทันที ต่อมาจึงขยายมาชวนประเทศที่มีนายกฯเป็นเพื่อนกันแถวเอเชียกลางและเอเชียตะวันตก เช่น บาห์เรน การ์ตา และทาจิกิสถาน ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เรามีความริเริ่มและเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ

          พอมาตอนที่มีการรัฐประหาร ทางคณะรัฐประหารก็คงอยากจะทำลายสิ่งดี ๆ ที่ผมทำไว้ก็จะไปขอยกเลิก ACD เลยโดนตอกหงายมาจากประเทศสมาชิกว่า ACD ถึงแม้ไทยจะเป็นผู้ริเริ่มแต่ไทยไม่ได้เป็นเจ้าของ มันเป็นองค์กรของทุกประเทศสมาชิก ผมพยายามจะปลุกให้เกิดความเป็นหนึ่งของเอเชียให้ได้จึงต้องหาเสียงเพิ่มสมาชิกไปเรื่อยๆจนปัจจุบันมีอยู่ 28 ประเทศแล้ว ผมเชื่อว่าในอนาคตคงจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่กระทรวงต่างประเทศของเราต้องทำงานต่อเนื่องจริงจังต่อไปครับ

           ผมขอเล่าเบื้องหลังขำ ๆ ให้ฟังเรื่องหนึ่ง คือตอนที่ผมไปเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการ ผมได้รับการบอกจากทูตไทยประจำกรุงนิวเดลี บอกว่าถ้าผมเข้าไปคุยกับท่านนายกฯ วัชปายี แล้วแปลกใจ ท่านจะไม่พูดอะไรซัก 10 นาทีนอกจากสั่นหัวแบบคนอินเดีย เพราะเป็นลักษณะของท่าน ขอให้ผมพูดต่อไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวท่านก็จะพูดขึ้นมาเอง ผมบอกว่าผมทนไม่ได้หรอก แค่ 2-3 นาทีไม่พูดตอบ ผมก็ไม่ยอมแน่ ท่านทูตก็เลยตกใจ ผมบอกว่าผมมีวิธีของผมสิน่า!

          พอวันไปพบกันจริงท่านก็เป็นเช่นนั้น ผมพูดอะไรท่านก็สั่นหัวแบบอินเดีย ซักหนึ่งนาทียังไม่พูด ผมก็เลยบอกว่า Your Excellency, Let me ask you something ท่านก็เลยพูดว่า What? ผมก็เลยบอกว่า At this age why haven't you been married? ซึ่งตอนนั้นท่านประมาณ 70ปี ท่านก็หัวเราะและตอบว่า I had been in opposition side for more than 40 years. Sometimes I'd been jailed. Nobody wants to marry me. เท่านั้นก็เสร็จผม ผม Break the ice ได้ ท่านก็เลยเริ่มพูดกับผมเลยกลายเป็นคนที่สนิทกันเป็นพิเศษ จนท่านมาเยือนเมืองไทยแล้วขอไปเชียงใหม่บ้านเกิดผมด้วย

         ที่เล่าให้ฟังก็เพียงอยากบอกว่าเวลามีตำแหน่งสูง ๆ ทุกคนถูกบังคับด้วย Protocol ทำให้ Stiff จึงทำให้ความเป็นมนุษย์ (Human) มันลดน้อยลงแต่จริง ๆ แล้ว ทุกคนคือมนุษย์ ถ้าเราสามารถจับความเป็นมนุษย์และสร้างความสัมพันธ์แบบ Human to Human ได้ เราจะมีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษ ผมมักจะได้ผู้นำที่เป็นคนที่เงียบ ๆพูดน้อยวางตัวขรึมเป็นเพื่อนสนิทจนถึงทุกวันนี้

ทั้งๆที่ผมพ้นจากความเป็นนายกฯมาตั้ง 7 ปีแล้วครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น