สปป.ชี้คำวินิจฉัยตลก.ไม่ชอบธรรม วรเจตน์ยันพ.ร.ฎ.โมฆะ คะแนนเสียง 'ไม่' โมฆะ
เกษียร เตชะพีระ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าว การต่อสู้ในช่วงหลายปีและยิ่งเข้มข้นในหลายเดือนนี้ เป็นการแย่งกันกำหนดกติกาทางการเมืองใหม่ เกิดขึ้นท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจสังคมของบ้านเมืองที่เปลี่ยนไปในรอบหลายทศวรรษนี้
ประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า คำวินิจฉัยในครั้งนี้เป็นจิ๊กซอว์อันหนึ่งที่จะปูทางไปสู่นายกฯ คนกลาง นอกรัฐธรรมนูญและนอกวิถีทางประชาธิปไตย
สปป.แถลงค้านคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญกรณีเลือกตั้ง 2 ก.พ. ระบุ 7 ประการ ไม่มีความชอบธรรมทางการเมืองและทางรัฐธรรมนูญ วรเจตน์ ชีปัญหาหลายระดับ ให้พ.ร.ฏ.เป็นโมฆะครึ่งเดียว และไม่ได้ฟันให้ 20 ล้านเสียงที่ลงคะแนนโมฆะ เพราะรู้ดีไม่มีกฎหมายรองรับอำนาจ
13.30 น. ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย (สปป.) แถลงข่าวคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยให้ พ.ร.ฎ.ยุบสภาและกำหนดวันเลือกตั้งส.ส.ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 108 วรรค 2 โดยชี้ว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวมีปัญหาความชอบธรรมทั้งทางการเมืองและทางรัฐธรรมนูญ (อ่านแถลงการณ์ในล้อมกรอบด้านล่าง)
ชมวิดีโอการอ่านแถลงการณ์ สปป.โดย พวงทอง ภวัครพันธุ์ และประจักษ์ ก้องกีรติ
วรเจตน์ ภาคีรัตน์ จากคณะนิติราษฎร์ อภิปรายเพิ่มเติมกรณีเห็นค้านคำ วินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในหลายประเด็น
ประเด็นแรก คำวินิจฉัยผูกพันทุกองค์กร หรือไม่ เขากล่าวว่า แม้รัฐธรรมนูญจะกำหนดให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร แต่การพิจารณาไม่ใช่ดูบทบัญญัติดังกล่าวอย่างเดียว หากแต่ต้องดูความชอบธรรมด้วย ทั้งนี้ มาตรา 197 ของรัฐธรรมนูญก็ระบุเช่นกันว่าคำพิพากษาข องศาลต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ไม่สามารถวินิจฉัยไปตามความรู้ส ึกนึกคิดของตัวได้ หากปรากฏว่าศาลไม่ได้วินิจฉัยไป ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เราคงยอมรับไม่ได้ว่าคำวินิจฉัย นั้นจะผูกพันองค์กรทุกองค์กร
ตอนนี้ในคำวินิจฉัยที่เผยแพร่ ยังไม่เห็นเหตุผลว่ารับคำร้องเรื่องนี้เพราะอะไ ร สิ่งที่รับวินิจฉัยเป็นบทบัญญัต ิแห่งกฎหมายอย่างไร ที่ผู้ตรวจการแผ่นดินยื่นมานั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยส่วนตัวเห็นว่าทั้งการยื่นเรื่องและการรับไว้พ ิจารณาไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่ง รัฐธรรมนูญ ศาลไม่มีอำนาจเหนือคดีที่รับไว้ พิจารณาในกรณีนี้
ประเด็นที่สอง เขาชี้ว่าคำวินิจฉัยที่ออกมามีลักษณะครึ่งๆ กลางๆ เนื่องจากระบุเฉพาะการกำหนดวันเลือกตั้งเท่ านั้นที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ โดยไม่ได้บอกว่าการยุบสภาฯ ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทั้งที่เงื่อนไขทั้งสองประการเป ็นเงื่อนไขที่ผูกกันใน พ.ร.ฎ. แต่กรณีนี้ศาลรัฐธรรมนูญตัดเงื่อนอ ันแรกทิ้งไปเฉยๆ เพราะไม่ต้องการให้สภาผู้แทนราษฎรฟื้นคืนชีพ อย่างไรก็ตาม ไม่มีตรงไหนเลยที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ว ่า การเลือกตั้งต้องเกิดขึ้นเป็นวันเดียวกัน เพียงแต่กำหนดให้กำหนดวันเลือกตั้ง เป็นวันเดียวกัน และกฎหมายยังเปิดช่องไว้ด้วยว่าห ากมีเหตุจำเป็นเช่น จราจล ภัยพิบัติ ก็กำหนดวันเลือกตั้งในเขตนั้นๆ ใหม่ได้ เพราะไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น จึงต้องมีความยืดหยุ่นอย่างสมเหตุสมผล
ประเด็นที่สาม คำวินิจฉัยไม่ตรงกับคำร้อง เขากล่าวถึงรายละเอียดว่า เวลาศาลตัดสินคดีต้องเป็นการยุต ิข้อพิพาท ให้จบลงโดยไม่ต้องตีความต่อ ตัดสินครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้ แต่กังวลว่าคำวินิจฉัยนี้จะไม่เ ป็นเช่นนั้น ดูจากการแถลง ประเด็นที่ศาลตั้งกับประเด็นของ ผู้ร้องไม่ตรงกัน คนร้องร้องว่า กกต.ปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบด้วยรั ฐธรรมนูญและขอให้ศาลรัฐธรรมนูญเ พิกถอนการเลือกตั้งเพราะกกต.ปฏิ บัติหน้าที่โดยไม่ชอบ แต่ศาลตั้งประเด็นเอาไว้ว่า การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ 2 ก.พ.นั้นเป็นการเลือกตั้งด้วยชอ บด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ และตอนตอบคำถามก็ไม่ได้ตอบคำถาม นี้เลย ศาลบอกแต่เพียงว่า พ.ร.ฏ.เฉพาะส่วนที่กำหนดให้มีกา รเลือกตั้ง 2 ก.พ.ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แล้วไม่ได้บอกต่อด้วยว่า แล้วการเลือกตั้งนี้จะเป็นยังไงต่ อ
ตอนนี้ในคำวินิจฉัยที่เผยแพร่ ยังไม่เห็นเหตุผลว่ารับคำร้องเรื่องนี้เพราะอะไ
ประเด็นที่สอง เขาชี้ว่าคำวินิจฉัยที่ออกมามีลักษณะครึ่งๆ กลางๆ เนื่องจากระบุเฉพาะการกำหนดวันเลือกตั้งเท่
ประเด็นที่สาม คำวินิจฉัยไม่ตรงกับคำร้อง เขากล่าวถึงรายละเอียดว่า เวลาศาลตัดสินคดีต้องเป็นการยุต
ประเด็นที่สี่ ผลของคำวินิจฉัยนี้คืออะไร วรเจตน์ กล่าวว่า สื่อทั้งหมดไปพาดหัวว่า การเลือกตั้งโมฆะ เป็นความเข้าใจทั่วไปที่คลาดเคลื่อน ในทางกฎหมายเราตอบแบบนั้นไม่ได้ เราบอกอะไรบางอย่างเกินกว่าที่ศาลต ัดสินไม่ได้ ศาลรัฐธรรมนูญระบุแต่เพียงว่า การกำหนดวันเลือกตั้ง 2 ก.พ.ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญเท่านั ้น ไม่เกี่ยวกับการที่ประชาชนไปหย่ อนบัตรลงหีบ เพราะนั่นเป็นเรื่องที่ตามมาทีห ลัง เป็นผลจากการจัดการเลือกตั้ง ถามว่าในคำวินิจฉัยมีตรงไหนบอกว ่าคะแนนนั้นเสียไปบ้าง ไม่มี หากจะให้การเลือกตั้งที่ผ่านมาเ ป็นโมฆะ ศาลรัฐธรรมนูญต้องเขียนลงในคำวิ นิจฉัยทำลายคะแนนเสียง 20 ล้านเสียงนั้นให้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม เสียงของประชาชนถือเป็นสิ่งสูงสุดแล้ว ไม่มีอะไรสูงไปกว่านี้ เพราะอำนาจเป็นของปวงชนชาวไทย ศาลรัฐธรรมนูญเองก็มาจากรัฐธรรม นูญซึ่งมีจุดกำเนิดมาจากเสียงปร ะชาชน
ชมวิดีโอการอภิปรายโดย วรเจตน์ ภาคีรัตน์
ดังนั้นสิ่งที่ต้องกระทำต่อไป กกต.มีหน้าที่ต้องประกาศผลการเล ือกตั้งที่เสร็จสิ้นไปแล้ว
ด้วยคำวินิจฉัยเช่นนี้ คำถามว่าคะแนนเสียหรือไม่จะเป็นปัญหาต่อไปตลอดกาลในระบบก ฎหมาย คำวินิจฉัยนี้ปฏิบัติไม่ได้ เพราะด้านหนึ่ง เขียนว่าพ.ร.ฏ.ขัดรัฐธรรมนูญ อีกด้านหนึ่งคะแนนเสียงของประชา ชนยังดำรงอยู่ทุกประการ
ประชาชนลงคะแนนเสียงไปแล้ว 20 ล้านเสียงยั งคงอยู่ และศาลไม่มีอำนาจในการสั่งให้โม ฆะด้วย ไม่มีกฎหมายไหนบัญญัติให้ศาล รัฐธรรมนูญทำได้ การทำลายคะแนนเสียงทำได้เฉพาะเห ตุที่กฎหมายบัญญัติอยู่เป็นเรื่ องๆ เป็นบางกรณี บางเขตเท่านั้น
เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่คำวิน ิจฉัยออกมาแล้วไม่สามารถปฏิบัติ ต่อไปได้ ทำให้องค์กรอื่นต้องไปทำลา ยผลการเลือกตั้งเอาเอง
“สิ่งที่น่าจะเป็นโมฆะน่าจะกลับก ัน ไม่ใช่การเลือกตั้งของประชาชน แต่ควรเป็นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธ รรมนูญในคดีนี้หรือไม่ เพื่อให้กระบวนการเลือกตั้งดำเน ินต่อไปได้” วรเจตน์กล่าว
ถามว่าเราจะตีความโดยปริยายได้ไ หมว่าเฉพาะบางส่วนของ พ.ร.ฏ.นี้ขัดรัฐธรรมนูญเลยตีขลุ มต่อไปว่าการเลือกตั้งไม่ชอบ ผมคิดว่าไม่ได้ สองอันนี้แยกจากกัน การกำหนดวันเลือกตั้งเป็นอันหนึ ่ง การไปเลือกตั้งเป็นอีกอันหนึ่ง ทั้งนี้ มาตรา 108 กำหนดบังคับ 2 อย่างคือ ให้กำหนดวันเลือกตั้งภายในเวลาเ ท่าไร และต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่ วราชอาณาจักร มันขาดออกจากการไปใช้สิทธิของปร ะชาชน ส่วนของพ.ร.ฏ.ขัดรัฐธรรมนูญนั้นถ้าจะมีความผิดก็ต ้องเป็นการรับผิดทางการเมืองไปว ่าเป็นของฝ่ายรัฐบาลหรือกกต.
ประการสุดท้าย ประชาชนควรท ำอย่างไรต่อไป วรเจตน์กล่าวว่า การจะยื่นถอนถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็เป็นไปได้ยาก เพราะไปติดการตีความขององค์กรอิสระ อีก เขากุมสภาพทางกฎหมายไว้หมด เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องค วามรู้ทางกฎหมายแล้ว เพราะประชาชนต่างก็เข้าใจเรื่อง ราวอย่างดีอยู่แล้ว จากคำวินิจฉัยที่ผ่านมาๆ
“ผมคิดว่าหนทางในทางกฎหมายเหลือน ้อยลงทุกที วันเวลาของผมในการพูดถึงเหตุผลท างกฎหมายน้อยลงเรื่อยๆ เพราะไม่สามารถเอาเหตุผลทางกฎหม ายไปแย้งกับสิ่งที่ไม่มีเหตุผลไ ด้อีก แต่อยากให้ท่านช่วยขยายความคิด ความรู้ออกไปให้มากที่สุด ทำให้ฝ่ายประชาธิปไตยมากทั้งในแ ง่จำนวนและอุดมการณ์ที่แท้จริง หนทางแบบนี้สงบสันติและนำสู่ชัย ชนะได้ ถ้าหนทางแบบนี้ไปจนสุดแล้วก็ถือ ว่าไม่ใช่ความผิดของฝ่ายประชาธิ ปไตย เราทำเต็มที่แล้ว” วรเจตน์กล่าว
ชมวิดีโอการอภิปรายโดย เกษียร เตชะพีระ
เกษียร เตชะพีระ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าว การต่อสู้ในช่วงหลายปีและยิ่งเข้มข้นในหลายเดือนนี้ เป็นการแย่งกันกำหนดกติกาทางการเมืองใหม่ เกิดขึ้นท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจสังคมของบ้านเมืองที่เปลี่ยนไปในรอบหลายทศวรรษนี้
ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจาก ประการแรก รัฐธรรมนูญปฏิรูปการเมือง 2540 ซึ่งมีแก่นสำคัญ คือ ทำให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมีความเข้มแข็ง มีอำนาจมาก เหนือกว่าระบบราชการและพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้สามารถสนองตอบต่อความต้องการกับประชาชนได้มากอย่างไม่เคยมีมาก่อน อีกประการคือ การกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สองอย่างนี้เปลี่ยนบ้านเมืองไปเยอะ
ประการที่สอง บังเอิญว่าพรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้ง ใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ตอบสนองความต้องการขอประชานรากหญ้าอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ทำให้ประชาธิปไตยที่เคยมีความหมายเพียงไปกาบัตรเลือกตั้งเฉยๆ กลายเป็นประชาธิปไตยที่กินได้
ประการที่สาม “คนชั้นกลางระดับล่าง” หรือคนรากหญ้า เกิดขึ้นมากมายในประเทศจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ คนเหล่านี้กอดรัดนโยบายไทยรักไทยและรัฐธรรมนูญ40 ระบอบประชาธิปไตยมีลูกค้ากลุ่มใหม่มหาศาล กติกาประชาธิปไตยที่เคยมีมาก็ต้องปรับเปลี่ยน ทางหนึ่งคือต้องขยายพื้นที่ออกไปเพื่อรวมคนกลุ่มนี้เข้าในระบบ หรืออีกทางหนึ่ง คนที่กลัวความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ กลัวสูญเสียสิทธิประโยชน์เดิมของตนเองก็พยายามหดพื้นที่ประชาธิไตยให้แคบลง กันคนหน้าใหม่ออกไปจากระบบ
“ทุกวันนี้ที่สู้กันอยู่ตรงนี้ เราจะกำหนดกติกาประชาธิปไตยรับคนหน้าใหม่เข้ามาหรือจะหดแคบแล้วกันพวกเขาออกไป”
ส่วนการนับแต้มในการต่อสู้กันนั้นนับที่ความชอบธรรม ฝ่ายไหนต่อสู้ชอบธรรมกว่าในสายตาของคนส่วนใหญ่และชาวโลก ฝ่ายนั้นได้เปรียบ ดังจะเห็นได้ว่า การชุมนุมของ กปปส.ขาดควมชอบธรรมทางการเมืองจึงได้หดลีบเรียวเล็กลง
สำหรับคำวินิจฉัยเรื่องการเลือกตั้งมีค่าความชอบธรรมทางการเมืองเป็นอย่างไร ในสายตาของชาวโลกและสังคม ความกังขาในความชอบธรรมนั้นเริ่มตั้งแต่สายตาของท่านที่มองว่ารัฐสภาไม่มีอำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ท่ามมองว่าการให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดเป็นการล้มล้างประชาธิปไตยได้อย่างไร
“กรณีนี้มันจะชอบธรรมได้อย่างไร ถ้าเสียงของคน 20 ล้าน บวกกับอีก 3 สู้เสียงของ 6 คนไม่ได้”
“ระบอบการเมืองที่เรามีมันต้องบกพร่องร้ายแรงอย่างใดอย่างหนึ่งแน่ ถึงได้ปล่อยให้ม็อบเสียงข้างน้อย และพรรคฝ่ายค้านเสียงข้างน้อยที่บอยคอตการเลือกตั้ง สามารถสร้างเงื่อนไขให้คน 6 คนใช้อำนาจล้มเสียงของคน 20 ล้านคนได้ ระบอบนี้ป่วยแน่ๆ”
ประการที่สาม “คนชั้นกลางระดับล่าง” หรือคนรากหญ้า เกิดขึ้นมากมายในประเทศจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ คนเหล่านี้กอดรัดนโยบายไทยรักไทยและรัฐธรรมนูญ40 ระบอบประชาธิปไตยมีลูกค้ากลุ่มใหม่มหาศาล กติกาประชาธิปไตยที่เคยมีมาก็ต้องปรับเปลี่ยน ทางหนึ่งคือต้องขยายพื้นที่ออกไปเพื่อรวมคนกลุ่มนี้เข้าในระบบ หรืออีกทางหนึ่ง คนที่กลัวความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ กลัวสูญเสียสิทธิประโยชน์เดิมของตนเองก็พยายามหดพื้นที่ประชาธิไตยให้แคบลง กันคนหน้าใหม่ออกไปจากระบบ
“ทุกวันนี้ที่สู้กันอยู่ตรงนี้ เราจะกำหนดกติกาประชาธิปไตยรับคนหน้าใหม่เข้ามาหรือจะหดแคบแล้วกันพวกเขาออกไป”
ส่วนการนับแต้มในการต่อสู้กันนั้นนับที่ความชอบธรรม ฝ่ายไหนต่อสู้ชอบธรรมกว่าในสายตาของคนส่วนใหญ่และชาวโลก ฝ่ายนั้นได้เปรียบ ดังจะเห็นได้ว่า การชุมนุมของ กปปส.ขาดควมชอบธรรมทางการเมืองจึงได้หดลีบเรียวเล็กลง
สำหรับคำวินิจฉัยเรื่องการเลือกตั้งมีค่าความชอบธรรมทางการเมืองเป็นอย่างไร ในสายตาของชาวโลกและสังคม ความกังขาในความชอบธรรมนั้นเริ่มตั้งแต่สายตาของท่านที่มองว่ารัฐสภาไม่มีอำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ท่ามมองว่าการให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดเป็นการล้มล้างประชาธิปไตยได้อย่างไร
“กรณีนี้มันจะชอบธรรมได้อย่างไร ถ้าเสียงของคน 20 ล้าน บวกกับอีก 3 สู้เสียงของ 6 คนไม่ได้”
“ระบอบการเมืองที่เรามีมันต้องบกพร่องร้ายแรงอย่างใดอย่างหนึ่งแน่ ถึงได้ปล่อยให้ม็อบเสียงข้างน้อย และพรรคฝ่ายค้านเสียงข้างน้อยที่บอยคอตการเลือกตั้ง สามารถสร้างเงื่อนไขให้คน 6 คนใช้อำนาจล้มเสียงของคน 20 ล้านคนได้ ระบอบนี้ป่วยแน่ๆ”
ชมวิดีโอการอภิปรายโดย ประจักษ์ ก้องกีรติ และพวงทอง ภวัตรพันธุ์
ประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า คำวินิจฉัยในครั้งนี้เป็นจิ๊กซอว์อันหนึ่งที่จะปูทางไปสู่นายกฯ คนกลาง นอกรัฐธรรมนูญและนอกวิถีทางประชาธิปไตย
นอกจากนี้เขายังอธิบายถึงเหตุผลเบื้องหลังของการการเลือกตั้ง ซึ่งทั่วโลกให้การยอมรับ การเลือกตั้งไม่ใช่เพียงรูปแบบที่กลวงเปล่าแต่มีเนื้อหาที่สะท้อนหลักการสำคัญ 3 ประการคือ
หนึ่ง อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ในโลกสมัยใหม่ คนยี่สิบคนจะตั้งนายกฯ ด้วยตัวเองไม่ได้ นายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้งโดยเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนทั้งประเทศ ทุกคนมีอำนาจเท่ากันหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียง
สอง หลักการที่ว่ารัฐบาลต้องมาจากการแข่งขันทางการเมือง ต้องเสนอตัวให้ประชาชนเลือก มีการแข่งขัน ลอยจากฟ้ามาไม่ได้ นายกฯ ที่มาโดยไม่ผ่านการแข่งขันนำเสนอตัวให้ประชาชนเลือกก็ขัดวิถีทางประชาธิปไตย
สาม เปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมทางการเมืองและคัดสรรคนขึ้นสู่อำนาจ
พวงทอง ภวัครพันธุ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ผลกระทบของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเลวร้ายกว่าการรัฐประหารเสียอีก เพราะองค์กรอิสระเหล่านี้มาพร้อมรัฐธรรมนูญ2540 ซึ่งมีเป้าประสงค์เพื่อให้ตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจรัฐ เพื่อจะจัดการความขัดแย้ง ยุติความขัดแย้ง แต่เมื่อคนในองค์กรเหล่านี้ทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กรเสียเองแล้ว มันหมายถึงประชาชนไม่มีทางออก ไม่มีทางออกในการจัดการความขัดแย้งโดยสันติวิธี และทำให้น่าเป็นห่วงว่าสังคมไทยอาจตกอยู่ในหลุมแห่งความรุนแรง
ชมวิดีโอช่วงแสดงความคิดเห็น และถาม-ตอบ
แถลงการณ์สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย (สปป.)คัดค้านคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญกรณีที่วินิจฉัยโดยมุ่งหมายให้การเลือกตั้งทั่วไป ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยเรื่องที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๔๕ (๑) ว่า การจัดการการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ตามพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.๒๕๕๖ เป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ และได้มีมติปรากฏตามคำแถลงของหัวหน้าโฆษกสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญว่า เมื่อได้ดำเนินการเลือกตั้งเป็นการทั่วไปในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ไปแล้ว ปรากฏว่ายังไม่มีการจัดการเลือกตั้งใน ๒๘ เขตเลือกตั้ง ซึ่งไม่เคยมีการรับสมัครเลือกตั้งมาก่อนเลย จึงถือได้ว่าในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ไม่มีการเลือกตั้งในวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร การจะดำเนินการเลือกตั้งใน ๒๘ เขตเลือกตั้ง หลังวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ก็ไม่สามารถกระทำได้ เพราะจะมีผลทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปในวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักรเช่นกัน เป็นผลให้พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๖ เฉพาะส่วนที่กำหนดให้มีการเลือกตั้งเป็นการทั่วไปในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๑๐๘ วรรคสอง นั้น สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย (สปป.) เห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวมีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและปัญหาความชอบธรรมทางการเมือง ดังนี้ ๑. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๔๕ (๑) กำหนดกฎเกณฑ์ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้เมื่อเห็นว่า “บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ” ดังนั้นวัตถุแห่งคดีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินมีดุลพินิจที่จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้นั้นย่อมจะต้องเป็น “บทบัญญัติแห่งกฎหมาย” แต่สำหรับกรณีที่เป็นปัญหานี้เห็นได้ชัดว่าวัตถุแห่งคดี คือ “การจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป” เมื่อวัตถุแห่งคดีไม่ใช่ “บทบัญญัติแห่งกฎหมาย” เสียแล้ว ผู้ตรวจการแผ่นดินย่อมไม่อาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ และเมื่อผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอเรื่องมายังศาลรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญย่อมมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิเสธไม่รับคำร้องไว้พิจารณา การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาจึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๔๕ (๑) และเท่ากับศาลรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญด้วยตนเองเปลี่ยนแปลงวัตถุแห่งคดีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๔๕ (๑) ทั้งๆที่ไม่มีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตราใดให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญกระทำการเช่นที่ว่ามานี้ได้ ๒. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๐๘ วรรคสอง บัญญัติว่า “การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร และวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร” ข้อเท็จจริงปรากฏว่าได้มีการกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักรแล้วในพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.๒๕๕๖ คือวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ การกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปดังกล่าวจึงชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ในคดีนี้ปรากฏว่าศาลรัฐธรรมนูญกลับนำเอาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นภายหลังและไม่เกี่ยวข้องกับการกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปมาเป็นฐานในการพิจารณา กล่าวคือ นำเอากรณีที่ไม่สามารถรับสมัครเลือกตั้งได้ในเขตเลือกตั้ง ๒๘ เขตเลือกตั้ง มาอ้างว่าถ้ามีการเลือกตั้งทั่วไปในเขตเลือกตั้ง ๒๘ เขตเลือกตั้งในภายหลัง ก็จะทำให้การเลือกตั้งทั่วไปไม่เป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร ทั้งๆที่ รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติบังคับว่าการเลือกตั้งทั่วไปจะต้องเกิดขึ้นในวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร เพราะย่อมเป็นไปได้เสมอที่อาจเกิดเหตุจำเป็นหรือเหตุสุดวิสัยขึ้นในบางหน่วยเลือกตั้งอันอาจทำให้ไม่สามารถเลือกตั้งในวันเดียวกันได้ รัฐธรรมนูญเพียงแต่บัญญัติให้วันเลือกตั้งต้อง “กำหนด” เป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักรเท่านั้น ซึ่งก็ได้มีการกำหนดไว้โดยชอบแล้ว ๓. นอกจากที่กล่าวมาข้างต้น ยังปรากฏข้อเท็จจริงด้วยว่าการเลือกตั้งในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ผ่านไปด้วยความเรียบร้อยเป็นส่วนใหญ่ การที่ศาลรัฐธรรมนูญนำเอากรณีที่ไม่อาจรับสมัครเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งบางเขตเลือกตั้งได้ เพราะมีผู้ขัดขวางการสมัครรับเลือกตั้งมากล่าวอ้างให้มีผลว่าพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรฯ เฉพาะส่วนที่กำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ โดยมุ่งหมายจะทำลายการเลือกตั้งในวันดังกล่าวลง นอกจากจะไม่มีเหตุผลในทางกฎหมายรองรับแล้ว ยังก่อให้เกิดปัญหาการตีความคำวินิจฉัยต่อไปอีกด้วยว่าคะแนนเสียงของประชาชนที่ไปออกเสียงเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ นั้น ถูกทำลายลงแล้วหรือไม่ โดยอำนาจของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือบทกฎหมายมาตราใด ๔. หากพิเคราะห์ในแง่ของการต่อสู้กันทางการเมืองแล้ว ย่อมเห็นได้ว่าอุปสรรคของการเลือกตั้งในครั้งนี้มาจากการร่วมมือกันของกปปส.และบุคคลที่สนับสนุน กปปส.ทั้งในและนอกรัฐสภา ทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผยในอันที่จะทำลายระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา อีกทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ไม่ได้แสดงเจตจำนงอันแน่วแน่ในการทำงานตามกรอบอำนาจหน้าที่เพื่อที่จะจัดการการเลือกตั้งให้สำเร็จลุล่วงไปได้ ฉะนั้น การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจึงส่งผลหนุนเสริมปฏิบัติการต่อต้านระบอบประชาธิปไตยจากการเลือกตั้งให้บรรลุผลในทางปฏิบัติ เป็นการวินิจฉัยที่มองข้ามละเลยสิทธิของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจและได้มาแสดงออกซึ่งอำนาจของตนตามกฎเกณฑ์กติกาที่ยังมีผลใช้บังคับอยู่ ๕. การร่วมมือกันขัดขวางระบอบประชาธิปไตยนี้จะดำเนินต่อไป เพื่อสร้างสุญญากาศทางการเมือง เปิดทางให้กับนายกฯและรัฐบาลนอกรัฐธรรมนูญเข้าสู่อำนาจ เพื่อทำหน้าที่ผลักดันแก้ไขตัดต่อดัดแปลงรัฐธรรมนูญในทิศทางที่บั่นทอนประชาธิปไตยจากการเลือกตั้งให้อ่อนแอลง สมัชชาปกป้องประชาธิปไตยจึงขอประณามความพยายามที่เป็นปฏิปักษ์ต่อหลักสิทธิและเสรีภาพของประชาชนทั้งที่เกิดขึ้นแล้วและจะเกิดขึ้นอีกในเร็ววันนี้ ๖. เห็นได้ชัดว่านับตั้งแต่การรัฐประหารปี ๒๕๔๙ จนถึงวันนี้ บรรดาองค์กรอิสระและอำนาจตุลาการได้กลายเป็นเครื่องมือของกลุ่มพลังเสียงข้างน้อยในปฏิบัติการต่อต้านระบอบประชาธิปไตย เพียงเพื่อต้องการทำลายกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามให้ได้อย่างรวดเร็ว การปล่อยให้องค์กรอิสระและอำนาจตุลาการถูกบิดเบือนฉวยใช้ไปทำลายประชาธิปไตยและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ รังแต่จะทำให้ประเทศชาติจมปลักอยู่ในวังวนอับตันของความขัดแย้งรุนแรงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ฉะนั้น จึงถึงเวลาแล้วที่ประชาชนต้องร่วมกันรณรงค์ให้มีการปฏิรูปองค์กรอิสระและอำนาจตุลาการ และสร้างกลไกถ่วงดุลตรวจสอบ และเพื่อให้กลไกสำคัญของบ้านเมืองเหล่านี้อยู่ใต้การกำกับขององค์กรตัวแทนอำนาจเสียงข้างมาก นี่เป็นภารกิจสำคัญที่ประชาชนจะต้องช่วยกันเดินหน้าผลักดันให้ถึงที่สุดต่อไป ๗. แนวทางการทำลายการเลือกตั้งได้ทำให้ประเทศชาติตกอยู่ในภาวะรุนแรงที่ไร้ทางออกและความก้าวหน้ามาเกือบทศวรรษแล้ว และจะเป็นเช่นนั้นต่อไปจนกว่าทุกอำนาจทุกฝ่ายในสังคมไทยจะเคารพสิทธิที่เท่าเทียมในการเลือกตั้งของประชาชน สมัชชาปกป้องประชาธิปไตยขอยืนยันว่าทางออกของสังคมไทยในเวลานี้มีแต่การยอมรับหลักการ “คนเท่ากัน” “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย” “ความชอบธรรมของเสียงข้างมาก” และ“การเคารพในสิทธิเสรีภาพของบุคคลและเสียงข้างน้อย” เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปที่จำเป็น ขจัดกลไกส่วนที่เป็นปฏิปักษ์ประชาธิปไตย ก่อนที่กลไกเหล่านั้นจะทำลายระบอบประชาธิปไตยที่มีอยู่ไม่มากนักในเวลานี้ลงอย่างสิ้นเชิงในที่สุด |
สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย
วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๗
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น