|
คืนความสุข - คสช.พร้อมด้วยทีมงานนักแสดงหนังนเรศวร ภาค 5 ตอนยุทธหัตถี จัดกิจกรรมคืนความสุขให้คนในชาติ โดยมีประชาชนมาร่วมงานกันคึกคัก ที่บริเวณลานหน้าศูนย์การค้าสยามพารากอน เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. วอยซ์ทีวีคืนจอ-เที่ยงวันนี้ ปล่อยจิตรา-ขัง"ทอม ดันดี" ตร.สอบบึ้มแยกพระราม9 ชี้ไม่เกี่ยวยกเลิกเคอร์ฟิว
ส่งศาล ตร.คุมตัวน.ส.จิตรา คชเดช นักต่อสู้เพื่อแรงงานสตรี เจ้าของป้าย "ดีแต่พูด" ส่งฝากขังศาลทหาร ฐานฝ่าฝืนคำสั่งคสช. ก่อนได้ประกันตัว ส่วนทอม ดันดี ถูกส่งไปยัง เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.
คสช.คืนจอให้ "วอยซ์ทีวี" หลังปรับผังรายการใหม่ เข้มจับกุมแก๊งทำลายป่า โต้ข่าวลือสั่งกวาดล้างแรงงานต่างด้าว ส่วนจะประกาศเคอร์ฟิวอีกหรือไม่ ต้องดูเป็นรายพื้นที่ "บัวแก้ว"ร่อนคำแปลแจงทั่วโลก "วัชรพล"ยัน ตำรวจพร้อมดูแลสถานการณ์ ชี้บึ้มแยกพระราม 9 ไม่เกี่ยวเลิกเคอร์ฟิว "อำนวย"เตือน อย่าฉีกทำลายตั๋วหนัง"นเรศวร" ย้ำอีกห้ามชู 3 นิ้วหน้าร้านเซเว่นฯ "กัมปนาท"ขอตำรวจช่วยงานสร้างปรองดอง ศาลทหารปล่อยตัว"จิตรา คชเดช" แต่ให้ฝากขัง "ทอม ดันดี"
หมายจับ 17 รายไม่รายงานตัว
วันที่ 14 มิ.ย. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รองผู้บังคับการปราบปราม (ผบก.ป.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. นายทหารพระธรรมนูญได้ยื่นหนังสือต่อพนักงานสอบ สวน บก.ป.เพื่อพิจารณาออกหมายจับบุคคลที่ฝ่าฝืนคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่เรียกให้เข้ารายงานตัวตามกำหนดแต่ยังไม่เข้ารายงานตัว รวม 17 ราย ไม่ใช่ 21 รายตามที่มีข่าวออกไป
ประกอบด้วย
- 1.สุนัย จุลพงศธร คำสั่ง คสช.ที่ 53 /2557,
- 2.นายณัฐ สัตยาภรณ์พิสุทธิ์ คำสั่ง คสช.ที่ 53/2557,
- 3.นายธีร์ บริรักษ์ คำสั่ง คสช.ที่ 53/2557,
- 4.นายธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล คำสั่ง คสช.ที่ 53/2557,
- 5.น.ส.สุดา รังกุพันธุ์ คำสั่ง คสช.ที่ 53/2557,
- 6.นายชัยอนันต์ ไผ่สีทอง คำสั่ง คสช.ที่ 53/2557,
- 7.นายพฤทธ์นรินทร์ ธนบริบูรณ์สุข คำสั่ง คสช.ที่ 53/2557,
- 8.นางดารุณี กฤตบุญญาลัย คำสั่ง คสช.ที่ 57/2557,
- 9.นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ คำสั่ง คสช.ที่ 57/2557,
- 10.นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ คำสั่ง คสช.ที่ 57/2557
- 11.นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ คำสั่ง คสช.ที่ 57/2557,
- 12.นาวาอากาศตรีชนินทร์ คล้ายคลึง คำสั่ง คสช.ที่ 57/2557,
- 13.นิธิวัต วรรณศิริ คำสั่ง คสช.ที่ 57/2557,
- 14.นายศรัณย์ ฉุยฉาย คำสั่ง คสช.57/2557,
- 15.นายไตรรงค์ สินสืบผล คำสั่ง คสช.ที่ 57/2557,
- 16.นายชฤต โยนกนาคพันธุ์ คำสั่ง คสช.ที่ 57/2557 และ
- 17.นายวัฒน์ วรรลยางกูร คำสั่ง คสช.ที่ 57/2557
สำหรับบุคคลที่ไม่มารายงานตัวต่อคสช. ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นำตัว"ทอม-จิตรา"ขึ้นศาลทหาร
เวลา 10.30 น. พ.ท.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ พล.ม.2 รอ. เดินทางมาที่ บก.ป.เพื่อประสานกับ พ.ต.อ. ประสพโชค พร้อมมูล รองผบก.ป. เบิกตัวผู้ต้องหารวม 4 คน ประกอบด้วย 1.นายธานัท ธนวัชรนนท์ หรือ พันทิวา ภูมิประเทศ หรือ ทอม ดันดี นักร้องนักแสดงชื่อดัง 2.น.ส.จิตรา คชเดช เจ้าของถ้อยคำ "ดีแต่พูด" อดีตประธานสหภาพแรงงานไทรอัมฯ ทั้ง 2 คนเป็นผู้ต้องหาไม่มารายงานตัวตามหมายเรียกของ คสช. 3.นายอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ 4. นายสุรสิทธิ์ ม่วงศิริ ที่ฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.ห้ามชุมนุมเกิน 5 คน เพื่อเดินทางไปฟ้องศาลทหารกรุงเทพ
ผู้สื่อข่าวถาม ทอม ดันดี ว่านอนห้องขังกองปราบฯ มา 2 คืน รู้สึกอย่างไร นายทอม ตอบอย่างอารมณ์ดีว่า "นอนหลับสบายดี" ระหว่างรอขึ้นรถ ทอม ดันดี ได้ชูนิ้วโป้งให้ช่างภาพถ่ายรูป ก่อนได้รับคำแนะนำให้ชูนิ้ว 3 นิ้ว (โป้ง ชี้ ก้อย) สัญลักษณ์ฉันรักเธอ แบบเดียวกับที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.ชูให้สื่อมวลชนถ่ายภาพเมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ที่ผ่านมา ผู้ต้องหาทั้ง 4 คนต่างก็ยินดีทำตามแต่โดยดี
ยันไม่เคยคิดหลบหนี
เวลา 11.00 น. ที่ศาลทหาร กรมพระธรรมนูญ พ.ต.อ.ประสพโชค คุมตัว ทอม ดันดี ขออำนาจฝากขัง ผลัดแรก 12 วัน เนื่องจากพนักงานสอบสวนต้องรอผลตรวจพิมพ์ลายนิ้วมือและตรวจสอบประวัติอาชญากร รวมถึงหาพยานหลักฐานและสอบปากคำพยานเพิ่ม
ทอม ดันดี กล่าวว่า ตนเองไม่เคยคิดหลบหนี เป็นความผิดพลาดในการสื่อสารทำให้ไม่สามารถเข้ารายงานตัวต่อ คสช.ได้ และวันนี้เตรียมยื่นคำร้องเพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราวโดยใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสด 2 หมื่นบาท ระหว่างถูกคุมตัวเจ้าหน้าที่ดูแลเป็นอย่างดี ขอฝากไปยังพี่น้องทั้งประเทศว่าระหว่างความโกรธกับความรัก ตนขอให้เลือกความรักจะปลอดภัยกว่ากันเยอะ และหลังจากนี้ตนอยากรวมตัวศิลปินจัดกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับทางราชการเพื่อสร้างความสมานฉันท์ ร่วมแรงร่วมใจปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติเพื่อพ่อและร่วมกันสร้างชาติ
ขณะเดียวกันพนักงานสอบสวนกองปราบปรามคุมตัวน.ส.จิตรา ผู้ต้องหาฝ่าฝืนคำสั่งเรียกบุคคลให้มารายงานตัวของคสช.มาขออำนาจศาลทหาร ฝากขังผลัดแรก 12 วันเช่นกัน
น.ส.จิตรา กล่าวว่า ตนเองไม่เคยคิดหลบหนีการเข้ารายงานตัวต่อคสช. และเตรียมหลักทรัพย์ขอประกันตัวเป็นเงินสด 2 หมื่นบาท
ทั้ง ทอม ดันดี และน.ส.จิตรา ได้ชู 3 นิ้ว สัญลักษณ์ฉันรักคุณ ก่อนเดินเข้าไปในศาล
จิตราได้ประกัน-ฝากขังทอม
เวลา 14.10 น. ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขัง ทอม ดันดี และน.ส.จิตรา ผลัดแรกเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 14 มิ.ย. ถึง 25 มิ.ย. ตามที่พนักงานสอบสวนกองปราบปรามยื่นคำร้อง เนื่องจากพนักงานสอบสวนต้องรอผลตรวจพิมพ์ลายนิ้วมือและตรวจสอบประวัติอาชญากรของผู้ต้องหา รวมถึงหาพยานหลักฐานและสอบปากคำพยานเพิ่มเติมในคดีของนายทอม ดันดี 2 ปาก ส่วนคดีน.ส.จิตรา อีก 1 ปาก โดยทั้งสองไม่คัดค้านคำร้องฝากขัง ศาลพิจารณาคำร้องฝากขังแล้วเห็นคดีมีมูลว่าผู้ต้องหาทั้งสองกระทำผิดอาญา ประกอบกับพนักงานสอบสวนต้องสอบปากคำเพิ่มเติม จึงอนุญาตให้ฝากขังไว้
ส่วนที่พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอเบิกตัว ทอม ดันดี ไปสอบปากคำเพิ่มเติมในวันนี้ (14 มิ.ย.) ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้นำตัวไปสอบปากคำเพิ่มเติมได้ และให้ส่งตัวก่อนเวลา 19.00 น. ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่วนน.ส.จิตรา ให้นำตัวฝากขังที่ทัณฑสถานหญิงกลาง
การพิจารณาครั้งนี้ศาลอนุญาตให้สื่อมวล ชนเข้าฟังด้วยแต่ห้ามถ่ายภาพ บันทึกเสียง ห้ามจด และในเวลา 14.40 น. นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ และนพ.เหวง โตจิราการ แกนนำนปช. ได้เดินทางมายังศาลทหารเพื่อให้กำลังใจผู้ต้องหาด้วย
น.ส.ภาวิณี ชุมศรี ทนายของน.ส.จิตรา เผยว่า เมื่อเวลา 16.00 น. ศาลอนุมัติให้น.ส.จิตรา ประกันตัวในวงเงิน 2 หมื่นบาท โดยมีเงื่อนไขไม่ให้ใช้วาจาปลุกระดม และต้องมารายงานตัว เบื้องต้นกำหนดไว้ 2 วัน คือ วันที่ 19 มิ.ย. และ 25 มิ.ย. โดยจะปล่อยตัวที่เรือนจำช่วงค่ำ ส่วน ทอม ดันดี ศาลไม่ให้ประกัน เนื่องจากเป็นการจับกุมตัวและเกรงจะหลบหนี
ตร.จัดสัมมนาสร้างปรองดอง
เวลา 13.10 น. ที่ห้องเพลนเนอรี่ 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ คณะกรรมการติดตามและบริหารงานตำรวจ กต.ตร.กทม. และกต.ตร.สน. จัดโครงการสัมมนาการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ และความร่วมมือป้องกันปราบปรามอาชญากรรม มี พล.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ รอง ผบ.ตร. รักษาราชการแทน ผบ.ตร. เป็นประธาน ร่วมด้วยพล.ต.อ.เอก อังสนานันท์ รอง ผบ.ตร. พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบกฝ่ายยุทธการ ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป (ศปป.) และเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลกว่า 1,000 นาย เข้าร่วมการสัมมนา มีการเปิดวีดิทัศน์ภารกิจของ กต.ตร. และบรรเลงดนตรีของวงดุริยางค์ตำรวจด้วย
ก่อนเริ่มสัมมนา พล.ต.อ.วัชรพลให้สัมภาษณ์ว่า การจัดงานครั้งนี้เป็นการประชุมของส่วนราชการ โดย กต.ตร.กทม. เพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรม ได้เชิญหน่วยงานของทหารมาพูดคุยร่วมกัน เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการทำงานในการสร้างความปรองดองและแก้ปัญหาอาชญากรรม เพราะลำพังเพียงกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจคงไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ทั้งหมด
"กัมปนาท"ให้ช่วยชี้แจงชาวบ้าน
พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผอ.ศปป. กล่าวว่า ที่ตนมาร่วมงานครั้งนี้เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนเป็นหลัก โดยนำนโยบายของ คสช.มาปรับใช้เพื่อคืนความสุขให้ประชาชน ซึ่งขณะนี้ทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และเชื่อว่าหลังจากนี้ทุกฝ่ายจะให้การตอบรับมากขึ้น เมื่อถามว่าการสร้างความปรองดองจะใช้ระยะเวลาเท่าไร พล.ท.กัมปนาทกล่าวว่า คสช.มีโรดแม็ปเป็นอย่างดี ช่วงแรกจะเป็นการควบคุมสถานการณ์ และสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน ขณะนี้ได้เดินหน้าเป็นรูปธรรมทุกจังหวัดแล้ว และจะทำงานต่อไปจนกว่าสถานการณ์จะสงบ
เวลา 13.30 น. พล.ท.กัมปนาทกล่าวในการสัมมนาหัวข้อ "การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ" ตอนหนึ่งว่า ตำรวจทุกนายถือเป็นส่วนสำคัญต่อการเข้าไปทำความเข้าใจกับชุมชน ประเด็นสำคัญคือการทำความเข้าใจต่อการยึดอำนาจการปกครองโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. หัวหน้า คสช. เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและแก้ปัญหาความขัดแย้งของประชาชน ทั้งที่อีกเพียง 5 เดือน พล.อ. ประยุทธ์จะเกษียณ หากอยากสบายก็นับเวลาถอยหลังแล้ว แต่ตอนนี้ผบ.ทบ.ไม่ได้สบายเพราะต้องแบกภาระของประเทศเอาไว้ รวมถึงชี้แจงเพื่อให้เกิดความเข้าใจต่อแผนโรดแม็ปประเทศ โดยเฉพาะช่วง 3 เดือนต่อจากนี้ที่ต้องใช้พ.ร.บ.กฎอัยการศึกเท่าที่จำเป็นเพื่อรักษาความเรียบร้อย และจัดระเบียบปัญหาที่สะสมมานาน รวมถึงสร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้เกิดการเปลี่ยนผ่าน ดังนั้น ขอความร่วมมือจากตำรวจในการร่วมทำบรรยากาศของประเทศให้มีความรักและเอื้ออาทรต่อกัน รวมถึงสร้างประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับประเทศ
ยันปรองดอง-ไม่นิรโทษกรรม
พล.ท.กัมปนาทกล่าวว่า คสช.เข้ามาควบ คุมอำนาจการบริหารประเทศ โดยเเบ่งเป็น 3 ส่วน คือ รักษาความสงบเรียบร้อย บริหารราชการเเผ่นดิน เเละการสร้างความปรองดอง ซึ่งส่วนนี้ถือว่าเป็นส่วนพิเศษ โดยศปป.ที่ตนเป็นผอ.จะมีหน้าที่ดูเเลเรื่องการปฏิรูปเเละการปรองดอง เพื่อจะนำไปสู่สภาปฏิรูป หลายคนถามว่าศูนย์ปรองดองคืออะไรและมีคนถามว่าทะเลาะกันมา 10 กว่าปีจะปรอง ดองสำเร็จหรือไม่ ตนก็ตอบไม่ได้เพราะความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ขึ้นอยู่กับทุกคน
พล.ท.กัมปนาทกล่าวว่า ยืนยันว่า ศปป.ไม่ใช่คู่ขัดเเย้งแต่สามารถพูดคุยได้กับทุกกลุ่ม ไม่มีหน้าที่ชี้ผิด ชี้ถูกใคร และจะไม่มีการนำไปสู่นิรโทษกรรมอย่างที่หลายคนพูด ตนได้กำหนดเเนวทางสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยจะให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ เริ่มจากข้าราชการพลเรือน ตำรวจเเละทหาร ซึ่งทหารจะไม่ได้เป็นพระเอกในเรื่องนี้แต่ขึ้นอยู่กับผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัดว่าจะบูรณาการเเนวทางอย่างไร ให้ประชาชนในจังหวัดเกิดความสามัคคีสมานฉันท์ ขณะที่ศูนย์ปรองดองฯ จะมีหน้าที่รวบรวมข้อคิดเห็นจากทุกฝ่าย เเละช่วยจัดกิจกรรมเพื่อพบปะคลายความขัดเเย้ง จากนั้นจะนำข้อมูลไปใส่กล่องเเละให้คณะกรรมการปฏิรูปที่จะตั้งขึ้นได้ดำเนินการ
พล.ท.กัมปนาทกล่าวว่า ประเทศไทยไม่สามารถปิดประเทศได้ เราต้องมีเพื่อน ต้องไม่ทะเลาะกับประเทศอื่น แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะเเรงกับเรา เเละสื่อมวลชนมีการนำประเด็นนี้มายั่วยุก็ต้องเรียกมาเพื่อปรับความเข้าใจ เราอย่าไปเชื่อตะวันตกมากเกินไปต้องเป็นตัวของตัวเอง ยกตัวอย่างอย่างประเทศจีนก็มีวิถีขนบธรรมเนียมของเอเชีย เราเป็นคนไทยต้องมีสติปัญญาของตนเองอย่าให้ตะวันตกมาครอบงำเเละล้างสมอง
ยันตร.พร้อมคุมสถานการณ์
พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รอง ผบ.ตร. ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุระเบิดที่แยกพระราม 9 เมื่อคืนวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า อยู่ระหว่างการสอบสวนดูร่องรอยต่างๆ และตรวจสอบภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิด รวมถึงสิ่งต่างๆ ที่คาดว่าจะเป็นการเชื่อมโยงเหตุ ขณะนี้ยังตอบไม่ได้ว่าจะต้องใช้ระยะเวลาตรวจสอบนานเท่าไรจึงจะสรุปและรายงานสาเหตุที่เกิดขึ้นได้ ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นเหตุ การณ์ที่เชื่อมโยงประเด็นทางการเมืองหรือไม่ แม้ระเบิดอาร์จีดี 5 ที่ใช้ก่อเหตุจะพบได้บ่อยในช่วงการชุมนุมทางการเมือง ส่วนตัวมองว่าเป็นเหตุอาชญากรรมปกติในพื้นที่เมืองใหญ่ที่มักจะมีปัญหา
รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า สถานการณ์หลังจาก คสช.ยกเลิกประกาศห้ามออกนอกเคหสถาน หรือเคอร์ฟิว สถานการณ์ยังคงมีความเรียบร้อย โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจมีกำลังพร้อมจะดูแลและมีแผนในการรักษาความสงบเรียบร้อย รวมถึงการเฝ้าระวังบางจุด โดยไม่ต้องปรับกำลังเจ้าหน้าที่หรือปรับแผนแต่อย่างใด
เมื่อถามว่าเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นจะต้องทบทวนการประกาศเคอร์ฟิวอีกครั้งหรือไม่ พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ คสช. แต่ส่วนตัวเห็นว่าขณะนี้เหตุการณ์คงยังไม่ถึงขั้นนั้น ส่วนของ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังมั่นใจว่าสามารถดูแลสถานการณ์ได้
ตามจับโพสต์ 3 นิ้วลงธนบัตร
ที่บก.ป. พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.ศ. ช่วยราชการรอง ผบช.น.เปิดเผยถึงกรณีมีผู้โพสต์รูปภาพการพิมพ์สัญลักษณ์ชู 3 นิ้วต่อต้านรัฐประหารลงบนธนบัตรชนิดต่างๆ ว่า ผู้ที่ทำจะมีความผิดตามพ.ร.บ.เงินตรา มาตรา 48 คือเมื่อธนบัตรถูกกระทำให้ความหมายเปลี่ยนไป เช่น ธนบัตรใบละ 1,000 บาท เมื่อประทับตราสัญลักษณ์ลงไปอาจเป็นธนบัตร 100 บาท ซึ่งถือว่าเงินชำรุดไม่สามารถนำมาใช้จ่ายได้ สำหรับผู้ที่ได้ธนบัตรเหล่านี้ไปแล้วร้านค้าไม่ยอมรับชำระสามารถนำธนบัตรไปแลกได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ทั้งหมด เจ้าหน้าที่จะออกธนบัตรให้ใหม่เท่าจำนวนธนบัตรที่ได้รับความเสียหาย อย่างไรก็ตามบนธนบัตรมีรูปประมุขของประเทศเพราะฉะนั้นผู้ที่กระทำไม่สมควรอย่างยิ่ง ตนจะติดตามสืบสวนหา ผู้ที่กระทำผิดมาดำเนินคดีต่อไป
ฉีกตั๋วหนังนเรศวรมีความผิด
พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า กรณีมีผู้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กนัดแสดงสัญลักษณ์ชู 3 นิ้ว ที่เซเว่นอีเลฟเว่น ในวันที่ 14 มิ.ย.นั้นยืนยันว่ามีความผิด แม้จะไม่ได้รวมกลุ่มกันถึง 5 คน แบ่งกันยืนตามเซเว่นฯ ที่ละ 2-4 คน แต่บุคคลเหล่านั้นมีเจตนาร่วมกันมาตั้งแต่ต้น มีการตกลงใจร่วมกันที่จะทำสัญลักษณ์ต้านรัฐประหารที่เดียวกัน ในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ กรณีมีบุคคลโพสต์ว่าจะไปนั่งดูหนังตำนานสมเด็จพระนเรศวรฟรี ในวันที่ 15 มิ.ย. แล้วออกมาฉีกตั๋ว และแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านรัฐประหารหน้าโรงหนัง ฝากบอกว่าคนที่อยากดูก็มีมากอย่าไปใช้สิทธิ์โดยไปขวางสิทธิ์ของคนอื่น และเจ้าหน้าที่ทหารกับตำรวจได้เตรียมกล้องวงจรปิดคอยบันทึกภาพผู้ที่กระทำผิดแล้ว ถ้ามีการแสดงสัญลักษณ์ชุมนุมทางการเมืองลักษณะดังกล่าวก็จะจับกุมมาดำเนินการตามกฎหมายทันที
ที่ จ.เชียงใหม่ เวลา 16.00 น. ทหารร่วมกับตำรวจ ภาค 5 ส่งกำลังไปยืนเฝ้าที่ห้างเซเว่นอีเลฟเว่น ทุกสาขาทั่ว จ.เชียงใหม่ จุดละ 1 นาย และต่างอำเภอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจแต่ละโรงพักออกตรวจตราและประสานกับพนักงานขายเซเว่นฯ พบเห็นกลุ่มแสดงสัญลักษณ์ให้รีบแจ้ง ซึ่งเหตุการณ์ปกติ ไม่พบกลุ่มที่มาแสดงสัณลักษณ์แต่อย่างใด
คสช.ให้"วอยซ์ทีวี"ออกอากาศ
เมื่อเวลา 20.30 น. คสช.มีประกาศที่ 65/2557 เรื่อง การออกอากาศของสถานีโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอลและระบบผ่านดาวเทียม เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์เริ่มเข้าสูภาวะปกติ จึงให้ 1.สถานีโทรทัศน์ออกอากาศรายการประจำได้ตามปกติ (1) สถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (2) สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมทีนิวส์ โดยต้องปฏิบัติตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 14/2557 ประกาศ คสช. ฉบับที่ 18/2557 ประกาศ คสช. ฉบับที่ 23/2557 และประกาศ คสช. ฉบับที่ 27/2557 คือห้ามสร้างความขัดแย้งหรือต่อต้าน คสช.
โดยหลังมีคำประกาศ วอยซ์ทีวีแจ้งผ่านหน้าจอว่าจะเริ่มออกอากาศในวันที่ 15 มิ.ย. เวลา 12.00 น.
ประกาศฉบับที่ 66/2557 เรื่อง การออกอากาศของสถานีวิทยุกระจายเสียงที่ได้รับอนุญาตทดลองประกอบกิจการ ให้สถานีวิทยุกระจายเสียงที่ได้รับอนุญาตทดลองประกอบกิจการจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ออกอากาศรายการได้ตามปกติ เมื่อได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดตามกฎหมายว่าด้วยองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม กฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ และกฎหมายว่าด้วยวิทยุคมนาคม แล้วแต่กรณี
เข้มคดีบุกรุกทำลายป่า
คำสั่ง คสช. ฉบับที่ 64/2557 เรื่องการปราบปรามและหยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย กองกำลังป้องกันชายแดนของกองทัพบก และกองทัพเรือ ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการปราบปรามและจับกุมผู้บุกรุก ยึดถือครอบครอง ทำลาย หรือกระทำการด้วยประการใดๆ อันทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่า รวมทั้งผู้สมคบและสนับสนุนให้ได้ผลอย่างจริงจังในทุกพื้นที่
รวมทั้งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ ควบคุม ตรวจสอบ กิจการแปรรูปไม้ การตั้งโรงงานแปรรูปไม้ การค้าไม้แปรรูป ตลอดจนการค้าไม้หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามและสิ่งประดิษฐ์ เครื่องใช้หรือสิ่งอื่นใดที่ทำด้วยไม้หวงห้าม หากพบมีการปล่อยปละละเลยหรือมีเจตนาจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบกฎหมาย ให้ดำเนินการลงโทษอย่างเด็ดขาดกับเจ้าของหรือผู้ประกอบการโดยทันที และให้หน่วยงานที่รับผิดชอบติดตามผลคดีป่าไม้และดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่ป่าที่ถูกทำลาย โดยประสานกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคประชาชนและองค์กรชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วม ทั้งนี้เจ้าหน้าที่รัฐผู้ใดปล่อยปละละเลย หรือเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด จะต้องถูกดำเนินคดีทั้งทางวินัยและอาญาอย่างเด็ดขาด และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมติดตามผลการดำเนินการ และรายงานผลให้ คสช.ทราบอย่างต่อเนื่อง
บัวแก้วแปลประกาศเลิกเคอร์ฟิว
นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศภายหลังการประกาศยกเลิกเคอร์ฟิว ว่า กระทรวงการต่างประเทศได้แปลประกาศฉบับดังกล่าวส่งเป็นหนังสือเวียนไปยังสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ของไทยทั่วโลกแล้ว พร้อมขอให้หน่วยงานดังกล่าวติดตามท่าทีของแต่ละประเทศและรายงานกลับมา โดยเฉพาะการปรับข้อความคำแนะนำและระดับของคำเตือนของแต่ละประเทศเพื่อเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่จะเดินทางมาประเทศไทย
นายเสขกล่าวว่า เชื่อว่าพัฒนาการในเชิงบวกครั้งนี้จะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมีความเชื่อมั่นมากขึ้น อีกทั้งยังสอดรับกับฤดูกาลท่องเที่ยวของไทยที่จะมาถึงไม่นานนี้ ส่วนกรณี พล.อ.ประยุทธ์ระบุมีแผนจะเชิญผู้ประกอบการสหรัฐอเมริกา ออสเตร เลีย และยุโรป มาหารือเพื่อเรียกความเชื่อมั่นด้านการค้าการลงทุน นายเสขกล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศยังไม่ได้รับการประสานให้ดำเนินการใดๆ ต่อแผนดังกล่าว
ใช้เคอร์ฟิวดูที่สถานการณ์
พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก ทีมโฆษก คสช.ชี้แจงกรณี คสช.ยกเลิกเคอร์ฟิว ว่า ฝ่ายความมั่นคงประเมินว่าสถานการณ์ที่ผ่านมาเริ่มคลี่คลายดีขึ้น ไม่ปรากฏเหตุความรุนแรง ประชาชนเริ่มมีความปลอดภัยมากขึ้น คงเหลือเพียงการลักลอบครอบครองอาวุธสงคราม ที่ยังพบอยู่ต่อเนื่องเป็นจำนวนมากซึ่งเจ้าหน้าที่คงต้องกวดขันด้วยความเข้มงวดต่อไป
พ.อ.วินธัยกล่าวว่า สถานการณ์ความสงบเรียบร้อยสามารถคงระดับได้ในลักษณะนี้ คสช.ก็ไม่จำเป็นต้องใช้มาตรการเคอร์ฟิวมาเสริมในการทำหน้าที่ แต่ถ้าไม่สามารถคงระดับเช่นนี้ไว้ได้คงต้องพิจารณากันอีกครั้ง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ที่ผ่านมาต้องขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่เข้าใจ ต่อความจำเป็นในการใช้มาตรการต่างๆ รวมถึงให้ความร่วมมือกับ คสช.เป็นอย่างดี
ด้าน น.ส.ปถมาภรณ์ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ทีมโฆษก คสช. กล่าวว่า การข่าวจากฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายปกครอง ประเมินสถาน การณ์เห็นว่าเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ไม่ปรากฏมีความเคลื่อนไหวลักษณะต่อต้าน คสช.จึงต้องการสร้างบรรยากาศที่ดีและผ่อนคลายให้กับประชาชน นักท่องเที่ยว หากพื้นที่ใดมีการเคลื่อนไหว ที่กระทบต่อความมั่นคง คสช.อาจพิจารณากลับมาประกาศใช้ได้อีกเป็นรายพื้นที่ ขณะนี้ยังมีกฎอัยการศึกใช้ควบคุมทุกพื้นที่อยู่ และจะเน้นใช้กฎหมายปกติดำเนินการกับ ผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย ช่วงการประกาศเคอร์ฟิวสถิติการกระทำผิดกฎหมายเรื่องการจราจร การพนัน อาชญากรรม ลดลง จึงอยากให้ประชาชนนำสิ่งดีที่ปฏิบัติในช่วงประกาศเคอร์ฟิวมาใช้ต่อไป เพื่อสร้างบรรยากาศของเมืองให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น
โต้ข่าวลือกวาดล้างต่างด้าว
น.ส.ปถมาภรณ์กล่าวกรณีแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชาเดินทางกลับประเทศจำนวนมากในช่วงนี้ว่า พล.อ.ประยุทธ์มอบหมายให้ทุกหน่วยอำนวยความสะดวกให้ชาวกัมพูชาเดินทางกลับประเทศอย่างปลอดภัย และถูกต้องตามกฎหมายหรือข้อตกลง ส่วนสาเหตุที่ชาวกัมพูชาเดินทางกลับประเทศมากในขณะนี้เพราะเป็นฤดูกาลทำการเกษตร จึงต้องกลับไปช่วยครอบครัว นอกจากนั้นจากข่าวลือการกวาดล้างแรงงานต่างด้าวทำให้ผู้ประกอบการบางรายเกิดความกังวลจึงต้องส่งแรงงานต่างด้าวกลับประเทศชั่วคราว ยืนยันว่าคณะกรรมการนโยบายจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวที่ คสช.ตั้งขึ้นอยู่ระหว่างจัดระบบแรงงาน ยังไม่มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่กวาดล้างแรงงานต่างด้าวตามที่มีกระแสข่าว
เอพีตีข่าวเขมรผวา-แห่กลับบ้าน
วันเดียวกัน เอพีรายงานว่า ชาวกัมพูชากว่า 8 หมื่นคน พากันเดินทางทยอยออกจากไทยกลับสู่ภูมิลำเนาของตัวเอง เนื่อง จากมีข่าวลือว่าจะถูกปราบปรามโดย คสช.ที่เข้าควบคุมอำนาจการปกครองจากรัฐบาลรักษาการตั้งแต่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา
รายงานอ้างแหล่งข่าวจากผู้ว่าฯ บันเตียเมียนเจยว่า ชาวกัมพูชากว่า 84,000 คน ทยอยเดินทางกลับกัมพูชาในเดือนมิ.ย.นี้ ผ่านทางจุดผ่านแดนที่อยู่ทางด้านตะวันตกของปอยเปต โดยมีชาวกัมพูชาเดินทางกลับเข้ามาถึง 4 หมื่นคน เมื่อ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา
เอพีระบุว่า การอพยพครั้งใหญ่ของชาวกัมพูชาที่อยู่ในไทยน่าจะมีสาเหตุมาจากแถลงการณ์ของ คสช.ที่ระบุว่า จะปราบปรามแรงงานเถื่อนและผู้ว่าจ้างแรงงานผิดกฎหมาย โดยมีรายงานว่าแรงงานบางส่วนถูกไล่ออกจากงานและส่งกลับภูมิลำเนา ส่งผลให้ชาวกัมพูชาเชื่อว่าแรงงานกัมพูชาทั้งที่ถูกและผิดกฎหมายกำลังถูกผลักดันกลับ นอกจากนี้ยังมีข่าวลือแพร่สะพัดด้วยว่ามีแรงงานกัมพูชาบางรายถูกเจ้าหน้าที่ทางการไทยยิงเสียชีวิต
ไทยพร้อมรับกลับแรงงานถูกกม.
ความเคลื่อนไหวกระทรวงการต่างประเทศของไทยระบุ ตามที่สื่อมวลชนหลายสำนักเผยแพร่ข่าวทหารไทยกวาดล้างจับกุมแรงงานผิดกฎหมายชาวกัมพูชา รวมถึงการผลักดันส่งแรงงานกัมพูชากลับจำนวนมาก อีกทั้งยังมีรายงานข่าวการทุบตี ทำร้ายร่างกาย และทำลายเอกสารเดินทางของแรงงานกัมพูชาที่เข้าเมืองทั้งถูกและผิดกฎหมาย ภายหลังจากการประกาศกฎอัยการศึกและการควบคุมอำนาจของ คสช.
นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพบว่าเหตุดังกล่าวเป็นเพียงข่าวลือและยังไม่สามารถสืบหาแหล่งที่มาของข่าวได้ ข่าวลือดังกล่าวสร้างความตื่นตระหนกให้แก่แรงงานกัมพูชาและผู้ประกอบการชาวไทย จนทำให้มีแรงงานกัมพูชาที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายจำนวนมากสมัครใจเข้ารายงานตัวต่อทางการไทย สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้วจึงร่วมกับกองกำลังบูรพาจัดหายานพาหนะส่งแรงงานเหล่านั้นกลับกัมพูชา การดำเนินการของทั้งสองหน่วยงานดังกล่าวจึงเป็นการอำนวยความสะดวกเท่านั้น มิใช่การผลักดันแรงงานกัมพูชากลับแต่อย่างใด
นายเสขกล่าวว่า หน่วยงานไทยตระหนักดีถึงความสําคัญของแรงงานประเทศเพื่อนบ้านต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ จึงต้องการให้มีการบริหารจัดการที่เป็นระบบและบูรณาการมากขึ้น รวมทั้งขจัดการแสวงหาผลประโยชน์จากการนําเข้าแรงงานผิดกฎหมาย เพื่อป้องกันปัญหาการเอารัดเอาเปรียบแรงงานและการค้ามนุษย์
ทั้งนี้ หากแรงงานกัมพูชาที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายที่เดินทางกลับไปยังกัมพูชาแล้ว และประสงค์จะเดินทางกลับเข้ามาทำงานในประเทศไทยอีก กระทรวงการต่างประเทศขอประชาสัมพันธ์ให้แรงงานดังกล่าวแสดงความจำนงผ่านกระบวนการจ้างแรงงานและเดินทางเข้ามาประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
ถก 7 หน่วยงานแก้"ต่างด้าว"
ที่กองบัญชาการกองทัพไทย พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. รองหัวหน้าคสช.ในฐานะหัวหน้าฝ่ายความมั่นคงและประธานคณะกรรมการนโยบายการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าว เชิญส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง 7 กระทรวง อาทิ ปลัดกระทรวงแรงงาน ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ปลัดกระทรวงกลาโหม และ ผอ.สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และเลขาธิการสภาพัฒน์ เข้าร่วมประชุมเพื่อรับทราบนโยบายและนำไปปฏิบัติอย่างเร่งด่วน
พล.อ.ธนะศักดิ์กล่าวว่าปัญหาแรงงานต่างด้าวมีความเกี่ยวพันกับทั้ง 7 กระทรวง กฎหมายมากกว่า 12 ฉบับ หลังจาก คสช.เข้ามาบริหารบ้านเมืองแล้ว นโยบายของหัวหน้า คสช.เน้นให้บูรณาการทำให้มีประสิทธิภาพเพื่อให้การจัดการกับปัญหาแรงงานต่างด้าวซึ่งมีปัญหาสะสมมานานนับ 10 ปี โดยต้อง บูรณาการงานของกระทรวงต่างๆ ให้เป็นไปในแนวทางและหลักการเดียวกันให้ครอบคลุมทุกมิติ เพื่อเป็นหลักการเดียวกัน โดยยึดหลักมนุษยธรรมและเป็นไปตามหลักสากล เกิดผลดีแก่ผู้ประกอบการและแรงงานต่างด้าว รวมถึงการดูแลด้านสาธารณสุขให้กับแรงงานต่างด้าวอย่างทั่วถึงและถูกหลักสุขอนามัย
เร่งแก้ปัญหาค้ามนุษย์
พล.อ.ธนะศักดิ์กล่าวว่า เรื่องที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนและจริงจัง คือการแก้ปัญหาแรงงานเด็ก หรือการดำเนินการใดๆ ที่นำไปสู่การค้ามนุษย์ เราจะดำเนินการอย่างจริงจังและออกกฎ กติกาที่จะให้มีการควบคุม ตรวจจับได้อย่างถูกต้อง และเป็นไปตามหลักสากล สำหรับการดำเนินการเรื่องอื่นๆ กำลังพิจารณากำหนดมาตรการที่เหมาะสม เป็นธรรม จะทยอยออกมาระหว่างที่เรากำลังพิจารณามาตรการที่เหมาะสมก็ขอให้ผู้ประกอบการทั้งหลายได้ควบคุม ดูแลคนของตนเองหรือคนที่เป็นแรงงานต่างด้าวให้อยู่ในระเบียบเรียบร้อยและมีความเหมาะสม
"สำหรับเรื่องคดีความต่างๆ ที่มีการทุจริตของเจ้าหน้าที่ ผู้เกี่ยวข้อง นายหน้าต่างๆ เราจะดำเนินการอย่างจริงจัง และคดีความที่ยังคั่งค้างเราจะสะสางและรีบดำเนินการให้เห็นผลในทันที ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราดำเนินการอย่างเร่งด่วนและเป็นธรรมตามหลักสากล" พล.อ.ธนะศักดิ์กล่าว
พล.อ.ธนะศักดิ์กล่าวว่า สำหรับการดำเนินการด้านอื่นๆ ในภาพรวมจะค่อยๆ ออกมา การออกมานี้จะต้องเป็นไปตามหลักสากลและมนุษยธรรม และเป็นเรื่องที่ไม่น่าตกใจ เมื่อทำแล้วเป็นเหตุเป็นผล สมกับความเป็นจริง และการดำเนินการชีวิตประจำวัน ขอให้ผู้ประกอบการที่จ้างแรงงานต่างด้าวดำเนินการไปตามปกติและดูแลแรงงานให้อยู่ในความเรียบร้อย ที่สำคัญจะต้องส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจและประเทศชาติ เพื่อนำไปสู่ความมั่นคงอย่างยั่งยืนต่อไป
ลงนามรับรองพิธีสารแรงงานใหม่
นายธานี ทองภักดี เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรประจำสหประชาชาติ ที่นครเจนีวา กล่าวว่า คณะผู้แทนแรงงานของไทยแจ้งต่อการประชุมองค์การแรงงานสากล (ไอแอลโอ) ว่าหลังได้หารือกันแล้วประเทศไทยเห็นสมควรให้การรับรอง "พิธีสารต่อท้ายสนธิสัญญาว่าด้วยการบังคับใช้แรงงาน" ที่ออกมาตั้งแต่ปี 2512 ซึ่งจะมีผลให้ไทยต้องปฏิบัติเงื่อนไขต่างๆ ในพิธีสารดังกล่าวเท่าที่ขอบเขตกฎหมายไทยให้ทำได้
นายธานีกล่าวว่า เดิมทีในการประชุมเมี่อ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ผู้แทนไทยได้ลงมติรับรองข้อแนะนำ (recommendation) แต่ไม่ลงมติรับรองพิธีสาร เนื่องจากมีภาระในการให้สัตยาบัน ซึ่งกระทรวงแรงงานและผู้แทนแรงงานของไทยเห็นว่าไทยยังไม่มีความพร้อมและการรับรองข้อแนะนำไม่มีภาระผูกพัน แต่ไทยสามารถปฏิบัติตามได้เท่าที่กรอบกฎหมายของไทยเอื้ออำนวย แต่เมื่อได้มีการลงมติแล้วไทยเห็นความจำเป็นว่าจะต้องทบทวนและกระทรวงแรงงานก็เห็นสมควรว่าต้องทบทวน เพราะไม่ต้องการส่งสัญญาณที่ผิดต่อชุมชนนานาชาติในเรื่องนี้
เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรประจำสหประชาชาติระบุว่า คณะผู้แทนไทยแจ้งให้ที่ประชุมองค์การแรงงานสากลรับทราบอีกครั้งหนึ่งแล้วในการประชุมวันต่อมาถึงท่าทีซึ่งได้มีการทบทวนเพื่อให้การรับรองพิธีสาร และกระทรวงแรงงานจะได้ส่งหนังสืออย่างเป็นทางการถึงผู้อำนวยการอีกครั้งหนึ่งเพื่อเป็นการยืนยันท่าทีดังกล่าว
แจงข้าหลวงใหญ่ยูเอ็น
ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดฯ ต่างประเทศ เผยหลังเข้าพบหารือกับนางนาวาเนเธ็ม พิลเล ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หรือยูเอ็นเอชซีอาร์ ค่ำวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น ว่า ได้ชี้แจงเกี่ยวกับข้อห่วงกังวลของทางยูเอ็นเกี่ยวกับการควบคุมตัวบุคคลและเสรีภาพของประชาชนว่าได้พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น แจ้งกับข้าหลวงใหญ่ว่าผู้ที่ถูกควบคุมตัวส่วนใหญ่ไม่มีใครถูกคุมตัวนานเกิน 7 วัน และล่าสุดส่วนใหญ่ได้รับการปล่อยตัวไปแล้ว อีกทั้งการควบคุมตัวไม่ได้เป็นลักษณะของการคุมขังอย่างที่เข้าใจกันโดยทั่วไป แต่เป็นการเชิญตัวมาพบเพื่อพูดคุยขอให้ทุกฝ่ายได้สงบลง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ยูเอ็นเอชซีอาร์มีหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ แสดงความกังวลต่อสถานการณ์และการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทย และมีแถลงการณ์แสดงความกังวลเกี่ยวกับการคุมขังบุคคลทั้งนักการเมือง นักวิชาการ และนักกิจกรรมต่างๆ จำนวนถึง 440 คน อีกทั้งยังเรียกร้องให้ทางการไทยเร่งยกเลิกมาตรการใดๆ ที่เป็นการละเมิด หรือจำกัดสิทธิมนุษยชนพื้นฐานด้วย
คาดยูเอ็นทำหนังสือถึงปธ.คสช. นายสีหศักดิ์เผยว่า ตนบอกกับนางพิลเล่ถึงสถานการณ์ล่าสุดที่มีการยกเลิกเคอร์ฟิวไปแล้วทำให้เสรีภาพของประชาชนได้รับการฟื้นฟูมากขึ้น ส่วนเสรีภาพด้านอื่นๆ เช่นของสื่อมวลชนนั้นปรากฏชัดเจนตั้งแต่ต้นแล้วว่าไม่ได้ถูกจำกัดเสรีภาพมาก นักและภายหลังจากได้อนุญาตให้เปิดสถานี โทรทัศน์จำนวนหนึ่งแล้ว เสรีภาพสื่อ มวลชนโดยทั่วไปก็ดีขึ้น สามารถรายงานข่าวได้อย่างเสรี โดยเฉพาะสื่อมวลชนต่างประเทศนั้นสามารถเดินทางทำข่าวได้ทั่วประเทศโดยไม่มีข้อจำกัด
นายสีหศักดิ์กล่าวว่า ทางเราได้ขอให้สำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ ติดตามพัฒนาการของสถานการณ์และการดำเนินงานของฝ่ายไทย จะทำให้ได้เห็นพัฒนาการในทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับ หลังได้เข้าพบชี้แจงทำความเข้าใจครั้งนี้แล้วคาดว่าข้าหลวงใหญ่ฯ จะได้มีหนังสือไปยังประธาน คสช.อีกครั้งหนึ่งเพื่อแสดงถึงความรับรู้ต่อพัฒนาการของสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย
ปลัดฯ ต่างประเทศกล่าวย้ำว่า การเข้าชี้แจงครั้งนี้เป็นไปโดยความเข้าใจอันดีระหว่างกัน ข้าหลวงใหญ่ฯ ยินดีรับฟังข้อมูลจากฝ่ายไทย และการแสดงความกังวลก็อยู่ในขอบเขตในเรื่องปัญหาสิทธิมนุษยชนเท่านั้น
"อุดมเดช"นำชมพระนเรศวร
เวลา 16.00 น. ที่ลานพาร์กพารากอน ศูนย์การค้าสยามพารากอน คสช.ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมและคณะผู้สร้างภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 5 ยุทธหัตถี จัดกิจกรรม "คืนความสุขให้คนในชาติ" เพื่อสร้างความสามัคคีปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคม โดยเปิดให้บุคคลทั่วไปร่วมกิจกรรมภายในงาน ทั้งชมการแสดงดนตรีจากวงดุริยางค์ 4 เหล่าทัพ และนักร้องชื่อดัง อาทิ จอห์น รัตนเวโรจน์ การแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย จากกระทรวงวัฒนธรรม การสาธิตปั้นดินเผาเกาะเกร็ด การแสดงตลกจากคณะสภาโจ๊ก และถ่ายรูปกับนักแสดงนำและทีมงานนักแสดงภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ ท่ามกลางความสนใจของประชาชนที่เดินทางมาร่วมกิจกรรมและผู้ที่สัญจรไปมาอย่างคึกคัก รวมทั้งข้าราชการระดับสูง อาทิ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เดินทางมาชมกิจกรรมเช่นกัน
เวลา 17.00 น. พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร เลขาธิการ คสช. เป็นประธานเปิดงานและชมการร้องเพลงคืนความสุขให้ประเทศไทย จากตัวแทนนักเรียน จากนั้น พล.อ.อุดมเดชนำคณะนายทหาร ข้าราชการ ภาคเอกชน และทีมนักแสดงนำจากภาพยนตร์และผู้สื่อข่าวชมภาพยนตร์ "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 5 ยุทธหัตถี" ที่โรงภาพยนต์สยามภาวลัย รอยัล แกรนเธียเตอร์ โดยไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ
สำหรับการจัดกิจกรรมคืนความสุขของหน่วยงานรัฐยังดำเนินการเป็นระยะโดยวันที่ 15 มิ.ย.นี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองพลทหารม้าที่ 2 รอ. และกทม.ร่วมจัดกิจกรรมคืนความสุขให้คนไทยที่สวนลุมพินี ในงานมีการจัดแสดงดนตรีจากกองดุริยางค์ตำรวจ การแสดงจากนักร้อง ศิลปิน ดารา ประชาชนที่สนใจร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่เวลา 15.00-19.00 เป็นต้นไป
ปปช.ชงกม.ไต่สวนเอกชน
ที่โรงแรมเดอะแกรนด์ริเวอร์ไซด์ จ.พิษณุโลก นายวิชา มหาคุณ กรรมการและโฆษกป.ป.ช. ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการแก้ไขกฎหมายของป.ป.ช.เพื่อให้มีประสิทธิภาพ ก่อนนำเสนอ คสช.ว่า สรุปได้หลายประเด็นแล้ว ส่วนที่ยังติดค้างอยู่ อาทิ การให้อำนาจป.ป.ช.มีอำนาจไต่สวนเอกชน ไม่ใช่เฉพาะแค่นักการเมืองหรือข้าราชการ การให้เอกชนต้องร่วมรับผิดด้วยในกรณีของการทุจริตหากมีส่วนเข้าไปร่วมหรือสนับสนุนในการทุจริตนั้น ซึ่งในต่างประเทศผู้บริหารของบริษัทเอกชนจะต้องร่วมรับผิดในฐานะตัวการ ไม่ใช่แค่ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนเท่านั้น
นายวิชากล่าวว่า ตนไปประชุมที่สหประชาชาติ เขาถือเป็นกฎหมายที่สำคัญมากของโลกในอนาคต ไม่เช่นนั้นบริษัทเอกชนที่ไปให้สินบนกับข้าราชการระดับสูง เจ้าของบริษัทจะบอกว่าเจ้าหน้าที่ทำแต่ตัวเองไม่รับรู้ไม่ได้ กฎหมายใหม่ของโลกโดยเฉพาะอังกฤษจะให้ผู้บริหารพิสูจน์ว่าได้ใช้ความระมัดระวังเพียงพอและหาแนวทางป้องกันแล้วหรือไม่ รวมทั้งได้เป็นคนสั่งการให้มีการให้สินบนหรือไม่
นายวิชากล่าวว่า การแก้ไขกฎหมายป.ป.ช.ให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมี 2 ทางคือ ผ่านช่องทางการปฏิรูป แต่หากรวดเร็ว คสช.และรัฐบาลชุดใหม่เห็นด้วย อาจยื่นขอแก้ไขกฎหมายไปที่สภานิติ บัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่จะตั้งขึ้น |
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น