จากคลิป “จู่โจมปิดบ่อน้ำมันปาดังเบซาร์” ซึ่งหนึ่งในผู้เกี่ยวข้องกับการถูกจับกุมครั้งนี้ ใส่เสื้อ “สายล่อฟ้า” ซึ่งเป็นชื่อรายการหนึ่งของ “สถานีโทรทัศน์บลูสกาย พรรคประชาธิปัตย์” พยายามเข้าไปเจรจากับ “เจ้าหน้าที่” ภายหลัง “เจ้าหน้าที่” บุกเข้าจับกุม “ขบวนการน้ำมันเถื่อน” เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2555 ซึ่งพบว่ามีรถยนต์ของ “ส.ส.ถาวร เสนเนียม” เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยนั้นทีมงาน “พระนครสาส์น” พบว่า ไม่เพียงประชาชนทั้งประเทศเท่านั้น ที่พยายามเรียกร้องให้ภาครัฐ เข้าไปแก้ไขปัญหาน้ำมันเถื่อนอย่างเร่งด่วน เพราะแม้แต้ประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งถือว่าเป็นชาวบ้านท้องถิ่น ก็พยายามเรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหา “ขบวนการน้ำมันเถื่อน” ด้วยเช่นเดียวกัน โดยพบว่า “หนังสือพิมพ์เสียงใต้รายวัน” ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นรายใหญ่ของภาคใต้ ได้เขียนบทความเรื่อง “ต้องกล้าทุบ ทุนน้ำมันเถื่อน หนุนการเมือง หนุนโจรแยกดินแดนใต้” เผยแพร่เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2554 ในขณะที่ “ถาวร เสนเนียม” เพิ่งพ้นจากเก้าอี้ “รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย” ของ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ครอบครองมายาวนานกว่า 2 ปี (http://www.siangtai.com/new/index2.php?name=knowledge&file=readknowledge&id=265 )
…โดยเนื้อหาว่า…
…โดยเนื้อหาว่า…
… อย่าลืมเป็นอันขาดว่า ราคาน้ำมันเบนซิน 95 ในประเทศขายลิตรละ 49.44 บาท ส่วนน้ำมันเบนซิน 91 ขายลิตรละ 43.04 บาท น้ำมันดีเซลขายลิตรละ 29.99 บาท โดยค่าการตลาดน้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ลิตรละ5.49 บาท ส่วนน้ำมันดีเซลอยู่ที่ลิตรละ 1.31 บาท
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า น้ำมันเบนซินในดินแดนมาเลเซียขายที่ลิตรละ 20 บาท ส่วนน้ำมันดีเซลขายลิตรละ 18 บาท แต่หากขับลึกเข้าไปเติมในประเทศสิงคโปร์จะขายน้ำมันเบนซินลิตรละ 16 บาท ส่วนน้ำมันดีเซลลิตรละ 15 บาท
ห้ามลืมเป็นอันขาดว่า เมื่อน้ำราคาน้ำมันเบนซินที่ขายในมาเลเซียมาเทียบกับน้ำมันเบนซินที่ขายในประเทศไทย ราคาจะต่างกันลิตรละ 23 บาทสำหรับเบนซิน 91 ส่วนน้ำมันดีเซลจะต่างกันที่ลิตรละ 15 บาท
แต่ที่สิงคโปร์จะต่างกันมากไปกว่านั้น โดยน้ำมันเบนซิน 91 ต่างกันลิตรละ 27 บาท ส่วนน้ำมันดีเซลต่างกันลิตรละ 15 บาท
วันนี้คนในดินแดนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีรายได้จากการขายน้ำมันเถื่อน และนายทุนพรรคการเมืองและนักการเมืองทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นมีรายได้อย่างมหาศาลจากการค้าน้ำมันเถื่อน เส้นทางการลักลอบขนน้ำมันเถื่อนเข้ามาขายในประเทศไทยจะผ่านสองเส้นทางคือ เส้นทางบก เส้นทางเรือ
- เส้นทางบกจะออกจากประเทศมาเลเซีย ผ่านเข้ามายังพื้นที่ชายแดนติดกับมาเลเซียอันเป็นพื้นที่ของจังหวัดยะลา นราธิวาส และปัตตานี
- ส่วนเส้นทางเรือจะขนน้ำมันเถื่อนมาจากสิงคโปร์เข้ามาทางเส้นทางน้ำ เพื่อเข้ามาขายยังพื้นที่จังหวัดสงขลา เพื่อกระจายไปยังเรือประมงในเขตพื้นที่เหล่านี้
ภายใต้ทุนการเมืองคุ้มครอง
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า การขนน้ำมันเถื่อนจะแบ่งออกเป็นรายเล็กและรายใหญ่ รายเล็กจะกระทำโดยใช้รถปิคอัพเข้าไปเติมน้ำมันในประเทศไทยมาเลเซีย ซึ่งรถปิคอัพหนึ่งคันจะเติมเต็มถังที่ 65 ลิตร และโดยมากแต่ละคันจะดูดน้ำมันออกให้เหลือแค่ 5 ลิตรต่อคัน จะเข้าไปในดินแดนมาเลเซียทุกวัน ตอนกลับเข้ามาในเขตแดนไทย น้ำมันรถทุกคันจะเต็ม และทุกคันจะถูกดูดออกมาคันละ 60 ลิตรต่อวัน แล้วแต่ว่าขีดความสามารถของแต่ละคนจะเป็นอย่างไร
หากส่วนต่างของน้ำมันดีเซลลิตรละ 15 บาท แต่คนเหล่านี้จะมาปล่อยเพื่อหวังกำไรลิตรละ 10 บาทแต่ละวันจะมีรายได้คันละ 600 บาทสำหรับรายย่อยที่ถือว่า เพียงพอต่อการครองชีพในแต่ละวัน
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า ขบวนการแบ่งแยกดินแดนเข้าไปหนุนเนื่องกลุ่มก่อการร้ายเพื่อลอบสังหารเจ้าหน้าที่ ในแต่ละวันด้วยทุนจากกำไรในการค้าน้ำมันเถื่อน
ต้องยอมรับความจริงที่เป็นจริงที่สุดว่า วันนี้จังหวัดสงขลาแห่งเดียว มีน้ำมันเถื่อนลักลอบเข้ามาขายถึงวันละ3 ล้านลิตร อันเป็นน้ำมันดีเซลที่ขายให้กับเรือประมง และรถบรรทุกที่จะต้องวิ่งเข้ากรุงเทพฯ เพื่อขนถ่ายสินค้าทางการประมง หากวิเคราะห์จากราคาส่วนต่างที่กำไรลิตรละ 10 บาท แต่ละวันกลุ่มทุนการเมืองจะมีรายได้จากการค้าน้ำมันเถื่อนวันละ 30 ล้านบาท ใครคือทุนการเมืองที่หนุนหลังน้ำมันเถื่อน ? คือคำถามที่ต้องให้กองทัพบกและกองทัพเรือรวมถึงตำรวจน้ำออกมาให้คำตอบ
อย่าลืมเป็นอันขาดว่าเพียงแค่น้ำมันดีเซลอย่างเดียวที่ขนทางเรือเข้ามายังสงขลายังขนเข้ามาขายถึงวันละ 3 ล้านลิตร แล้วจังหวัดอื่นขนเข้ามาเท่าไหร่ ?
มีการประเมินกันว่าแต่ละวันจะมีน้ำมันเถื่อนลักลอบขนเข้ามาทางบกผ่านถนนหลวงของแผ่นดิน วันละไม่น้อยกว่า 2 ล้านลิตร ไม่นับทางเรือที่จะมาขึ้นทางจังหวัดนครศรีธรรมราชและสุราษฏร์ธานีไม่นับรวมสตูลอีกเท่าไหร่
มีการประเมินตัวเลขกันว่า แต่ละวันจะมีน้ำมันดีเซลเถื่อนขนเข้าประเทศไทยไปจำหน่ายไม่น้อยกว่า 10 ล้านลิตร นั่นย่อมหมายถึงว่า จะมีคนได้เงินจากการค้าน้ำมันเถื่อนถึงวันละ 100 ล้านบาท
หากเศษเงินเพียงแค่วันละ 5 ล้านบาทกระเด็นเข้าไปหนุนหลังขบวนการแบ่งแยกดินแดนให้ซื้ออาวุธ ทำระเบิด ก่อวินาศกรรมและลอบสังหารเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและคณาจารย์รวมไปถึงประชาชนผู้บริสุทธิ์
ย่อมหมายถึงจะมีเงินกระเด็นกระดอนเพื่อหนุนการก่อการร้ายไม่น้อยกว่าเดือนละ 150 ล้านบาท
ถือว่าเป็นค่าจ้างที่จ้างวัยรุ่นคลั่งศาสนาเข้ามาก่อการร้ายในดินแดนของไทยได้อย่างสบายๆ
น้ำมันเถื่อนเหล่านี้ไหลลามผ่านเส้นทางถนนเพชรเกษมเข้าไปสู่ตัวกรุงเทพมหานครและเข้าไปขายถึงใน ดินแดนภาคเหนือบางจังหวัดและบางพื้นที่รวมถึงพื้นที่ภาคอิสาน ไม่นับภาคใต้ที่มีพื้นที่ติดชายทะเลที่มีการขายน้ำมันเถื่อนให้กับเรือประมงที่เดือดร้อนจากการปรับค่าน้ำมันขึ้นพรวดพราด และบางส่วนไหลทะลักมาขึ้นที่แถวย่านสมุทรปราการและชลบุรี กลายเป็นทุนหนุนการเมืองให้หลายคนที่เกิดมาไม่เคยทำงานและไม่เคยมีอาชีพอะไรนอกจากการทำงานการเมืองแต่กลับร่ำรวยผิดปกติ ทั้งที่อดีตชาติยากจนแสนสาหัส น่าแปลกใจอย่างมากว่า ไฉนจึงไม่มีการดำเนินการสืบสวนสอบสวนและจับกุมให้ถึงต้นตอใหญ่ นั่นคือประเด็นที่คนทั่วไปกังขาและข้องใจ แต่หากเราจะต้องหันมาพิจารณาและทบทวนแล้ว เราจะ พบว่าวันนี้กฎหมายเปิดช่องให้คนค้าน้ำมันเถื่อนไม่ต้องติดคุก ไยจึงไม่ต้องติดคุก คือประเด็นที่คนข้องใจ
อดีตที่ผ่านมาหากมีการดำเนินการจับกุม จะต้องส่งให้กรมศุลกากรเพื่อส่งฟ้องศาลและหากได้ตัวผู้ก่อการ ๆจะต้องโดนศาลจำคุกและริบของกลางไว้เพื่อขายทอดตลาดในอนาคต
แต่วันนี้กระทรวงการคลังเปิดช่องโหว่เอาไว้ให้ นั่นคือ กฎหมายสรรพสามิตเปิดช่องให้ว่า หากโดนทหารจากกองทัพภาคที่ 4 จับได้ จะส่งให้สรรพสามิตเพื่อดำเนินการ และสรรพสามิตจะดำเนินการเปรียบเทียบปรับในอัตราสองเท่าของมูลค่าน้ำมัน เมื่อเปรียบเทียบปรับแล้ว ปล่อยน้ำมันเถื่อนคืนให้กับคนที่โดนปรับเพื่อนำไปขายต่อ จึงมีแต่คนเรียงคิวกันเข้ามาเพื่อจ่ายค่าปรับ เพราะไม่มีโทษจำคุก น่าแปลกรัฐบาลที่กำลังจะพ้นวาระทราบเป็นอย่างดีในเรื่องนี้ แต่ไม่ดำเนินการใด ทั้งในส่วนของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ น่าแปลกยิ่งนัก ขบวนการลักลอบขนน้ำมันเถื่อนจากน่านน้ำสิงคโปร์เข้ามายังน่านน้ำไทย ไม่มีเรือตำรวจน้ำลำไหนสามารถจับกุมได้ ไม่มีเรือรบลำไหนสามารถจับกุมได้ และไม่มีเรือศุลกากรลำไหนจับกุมได้รวมไปถึงเรือตรวจการของสรรพสามิต
ยิ่งน่าแปลกใจอย่างมากเมื่อขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน ขนน้ำมันใส่รถบรรทุกขนาด 60,000 ลิตรจากดินแดนมาเลเซียผ่านเข้ามาทางถนนเพชรเกษมเพื่อเข้าไปขายยังพื้นที่กรุงเทพและล่วงเลยเข้าไปถึงจังหวัดนครสวรรค์ ไม่มีตำรวจทางหลวงคันใดได้กลิ่นการขนส่งน้ำมันเถื่อน เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาหลบซุ่มตามสุมทุมพุ่มไม้เพื่อส่องกล้องหารถที่ขับเร็วเกินกว่า 120 กิโลเมตรโดยลืมคำนึงถึงหน้าที่คล้ายกับว่า มีอะไรมาบังตาและมีอะไรมาให้เป็นข้ออ้างเพื่อเลี่ยงการจับกุม ตั้งด่านเพียงเพื่อจ้องดูหมายเลขทะเบียนที่ได้รับแจ้งทางวิทยุของรถตำรวจทางหลวงที่ซ่อนใต้สุมทุมพุ่มเพื่อส่องกล้อง โดยไม่เคยขอตรวจสอบใบอนุญาตขนผ่านน้ำมันแต่อย่างใด
ต้องเข้าใจว่าอดีตที่ผ่านมากระบวนการตรวจยึดน้ำมันเถื่อนจะต้องผ่านศาล ทุกครั้งที่มีการจับกุม จะต้องส่งเจ้าหน้าที่ศุลกากร และเจ้าหน้าที่ศุลกากรจะส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อส่งฟ้องศาล โดยคำพิพากษาในอดีตจะสั่งอายัดน้ำมันทั้งหมด และยึดรถไว้เป็นของกลางเพื่อขายทอดตลาดในโอกาสต่อไป คนถูกจับต้องจำคุก น้ำมันเถื่อนโดนยึด แถมรถบรรทุกยังต้องโดนยึดอีกต่างหาก
ต้องเข้าใจว่าอดีตที่ผ่านมากระบวนการตรวจยึดน้ำมันเถื่อนจะต้องผ่านศาล ทุกครั้งที่มีการจับกุม จะต้องส่งเจ้าหน้าที่ศุลกากร และเจ้าหน้าที่ศุลกากรจะส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อส่งฟ้องศาล โดยคำพิพากษาในอดีตจะสั่งอายัดน้ำมันทั้งหมด และยึดรถไว้เป็นของกลางเพื่อขายทอดตลาดในโอกาสต่อไป คนถูกจับต้องจำคุก น้ำมันเถื่อนโดนยึด แถมรถบรรทุกยังต้องโดนยึดอีกต่างหาก
แต่วันนี้ ไม่มีใครโดนยึดเพียงแค่ปรับสองเท่าที่นายทุนพรรคการเมืองพร้อมใจและพร้อมจ่ายตลอดเวลา เพื่อเอาน้ำมันเถื่อนไปขายตามใบสั่งของลูกค้าหลังจ่ายค่าปรับแล้ว น่าแปลกที่กองทัพบกภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกไม่ได้ใส่ใจที่จะหันมากวดขันและเอาจริงเอาจังในเรื่องนี้ ยิ่งน่าแปลกใจอย่างมาก เมื่อจังหวัดสงขลามีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยอย่างนายถาวร เสนเนียมที่ว่ากันว่าผ่านชีวิตอัยการและเป็นคนมือสะอาดตงฉินกลับไม่ล่วงรู้ถึงขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนแต่อย่างใด
และยิ่งน่าแปลกใจมากไปกว่านั้น เจ้าพ่อประมงนักการเมืองใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์อย่างนายประพร เอกอุรุรวมถึงนายนิพนธ์ บุญญามณี มือการเมืองในพื้นที่สงขลากลับไม่มีใครออกมาโวยวายเพื่อเรียกร้องให้ดำเนินการปราบปรามอย่างเด็ดขาดกับขบวนการขนน้ำมันเถื่อน รายได้จากส่วนต่างน้ำมันเถื่อนกับน้ำมันรัฐในแต่ละวัน กลายเป็นรายได้ที่บางคนไม่เคยทำงานมีอาชีพเป็นหลักแหล่งแต่เมื่อมาค้าน้ำมันเถื่อนโดนเอาหลังพิงการเมืองกลับร่ำรวยมหาศาล
ยิ่งน่าตะลึงมากไปกว่านั้นก็คือ บ่อนการพนันในพื้นที่จังหวัดสงขลาตามแนวอำเภอเศรษฐกิจผุดเป็นดอกเห็ด ไม่มีใครกล้าหาญชาญชัยลงมาดำเนินการจับกุมและกวาดล้าง เล่าขานกันว่าบางบ่อนมีรายได้ส่งส่วยเจ้าหน้าที่ถึงเดือนละหนึ่งล้านบาทต่อบ่อนการพนัน โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือฝ่ายปกครองคนใดกล้าที่จะเข้ากวาดล้างและจับกุม หาต่างไปจากวงการค้าปาล์มในพื้นที่ภาคใต้ที่สะอื้นและสะดุ้งเมื่อช่วงที่น้ำมันปาล์มหายไปจากท้องตลาดและขาดตลาดไป มีคนได้เงินจากส่วนต่างของการกักตุนน้ำมันปาล์มถึงสามพันล้านบาท และเป็นสามพันล้านบาทที่เพิ่งจะเอามาฉีกเล่นการเมืองเมื่อไม่นานมานี้
คนภาคใต้จำนวนไม่น้อย ไปศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จุดธูปร้องขอให้รัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและพรรคเพื่อไทย กวาดล้างขบวนการขนน้ำมันเถื่อน บ่อนการพนันในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นับจากตรัง ปัตตานี นราธิวาส ยะลา สงขลา
กระชากหน้ากากทุนการเมืองและทุนของเถื่อนที่หนุนหลังพรรคการเมือง และตีแผ่ฐานะร่ำรวยผิดปกติของบางคนที่ไม่เคยทำงานแต่ร่ำรวยมหาศาล
….
…ข้อเขียนนี้ เขียนขึ้น ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2554 ในยุคที่ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เพิ่งลงจากอำนาจที่ครอบครองมายาวนาน 2 ปี…ไม่กี่วัน
…ข้อเขียนนี้ เขียนขึ้น ในยุคที่ “ถาวร เสนเนียม” ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ เพิ่งพ้นจากตำแหน่ง”รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ของ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ครอบครองมายาวนาน 2 ปี …ไม่กี่วัน
…ข้อเขียนนี้ เขียนขึ้น ขณะ “ธุรกิจค้าน้ำมันเถื่อน” เติบ-โต กลายเป็น “ขบวนการ-เครือยักษ์ใหญ่” ในพื้นที่ “จังหวัดสงขลา” โดยตลอดระยะเวลาที่ 2 ปีกว่า ที่ “ถาวร เสนเนียม” ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ มีอำนาจเป็น “รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย” !!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น