วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

คุยกับ ‘เอกชัย’ อยู่จน ‘ชนป้าย’ 2 ปี 8 เดือน คดีขายซีดีสารคดีการเมือง-วิกิลีกส์


 


วันนี้ (15 พ.ย.2558) เอกชัย ผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ หลังจากถูกคุมขังนาน 2 ปี 8 เดือน เอกชัยเป็นจำเลยที่ต่อสู้คดีนี้จนถึงชั้นฎีกา และถูกจำคุกจนพ้นโทษตามที่ศาลมีคำพิพากษา
กรณีของเขาเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 มี.ค.2554 ชายหนุ่มผู้มีอาชีพขายหวยบนดิน ถูกจับกุมตัวหลังจากเขานำซีดีสารคดีการเมืองไทยจัดทำโดยสำนักข่าวเอบีซี ประเทศออสเตรเลีย ไปจำหน่ายในที่ชุมนุมของกลุ่มแดงสยาม บริเวณอนุสาวรีย์ทหารอาสา ข้างสนามหลวง เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการล่อซื้อซีดีแผ่นละ 20 บาทจากนั้นจึงจับกุมและแจ้งข้อหาความผิดตามมาตรา 112 รวมถึงข้อหาจำหน่ายซีดีโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน ตามพ.ร.บ.ภาพยนตร์ฯ จากนั้นได้ทำการยึดซีดีรวมถึงเอกสารวิกิลีกส์ฉบับแปลไทยซึ่งเป็นบทสนทนาขององคมนตรีถึงอนาคตการเมืองไทยด้วย
เขาถูกคุมขังอยู่ราว 9 วันก่อนที่ครอบครัวจะนำเงินสด 5 แสนบาทยื่นประกันตัวและศาลอนุญาตให้ประกันตัว ท่ามกลางความงุนงงของเขาเองและบุคคลอื่นๆ เนื่องจากคดีนี้มีน้อยรายนักที่จะได้รับการประกันตัว
เอกชัยเคยกล่าวถึงเหตุผลที่เขานำซีดีสารคดีสำนักข่าวต่างประเทศ และวิกีลีกส์ฉบับแปลไทยไปจัดจำหน่ายในที่ชุมนุมว่า เขาไม่ได้ตั้งใจจะหารายได้ แต่อยากให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารจากมุมมองของคนที่เป็นกลาง ในความคิดของเขาก็คือ สำนักข่าวต่างประเทศ เขาเห็นว่าการแบ่งฝักฝ่ายทำให้คนฟังและเชื่อแต่ข้อมูลข่าวสารของฝ่ายตนเอง ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สนใจการเมืองมากนัก แต่หลังจากรัฐบาลทักษิณถูกรัฐประหารในปี 2549 จากนั้นหวยบนดินถูกยกเลิกทำให้เขาว่างงาน จึงเล่นอินเตอร์เน็ต ศึกษาข้อมูลต่างๆ มากขึ้น เขายังกล่าวด้วยว่า เอกสารวิกิลีกส์ฉบับแปลไทยก็นำมาจากในอินเตอร์เน็ตนั่นเอง
ในการต่อสู้คดีนี้ นอกเหนือจากการที่สุลักษณ์ ศิวรักษ์ มาเป็นพยานให้จำเลยแล้ว คดีนี้ฝ่ายจำเลยยังขอศาลให้ออกหมายเรียกองคมนตรี 2 คนมาให้ปากคำด้วย นั่นคือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และพล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา เนื่องจากเอกสารวิกิลีกส์เกี่ยวพันกับบทสนทนาของทั้งสอง อย่างไรก็ตาม ในวันที่ทนายยื่นขอให้ออกหมายเรียกนั้น ศาลได้อธิบายกับทนายว่า การสืบในข้อเท็จจริงนั้นหากสืบได้ว่าจริงก็เป็นการหมิ่น และหากสืบได้ว่าไม่จริงก็ยิ่งหมิ่นมากขึ้นอีก การมุ่งสืบเรื่องข้อเท็จจริงจึงอาจไม่เป็นประโยชน์มากนัก แต่หากฝ่ายจำเลยยังประสงค์จะต่อสู้ในเรื่องข้อเท็จจริงก็เป็นสิทธิที่กระทำได้ ศาลเปิดโอกาสให้สู้คดีเต็มที่ และยืนยันว่าพร้อมจะรับฟังทุกฝ่ายอย่างเป็นกลาง มิได้ต้องการชี้นำ แต่เป็นการหารือกันเพื่อความชัดเจน หลังจากนั้นทนายและจำเลยได้ขอเวลานอกเพื่อหารือกันแล้วจึงแถลงต่อศาลว่า จะต่อสู้เรื่องเจตนาของจำเลยเป็นหลัก แต่ก็จะต่อสู้ในเรื่องข้อเท็จจริงด้วย แต่ฝ่ายจำเลยก็ยินยอมระงับคำร้องในการเรียกพยานองคมนตรีทั้ง 2 ปาก
วันที่ 28 มี.ค.2556 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ลงโทษจำคุกตามมาตรา 112 เป็นเวลา 5 ปี และลงโทษปรับตามพ.ร.บ.ภาพยนตร์ เป็นเงิน 1 แสนบาท แต่เนื่องจากจำเลยให้การเป็นประโยชน์ในการพิจารณาคดี จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 คงเลือกโทษจำคุก 3 ปี 4 เดือน และโทษปรับเหลือ 66,666 บาท

จากนั้นเขาก็ถูกคุมขังในเรือนจำเรื่อยมา
วันที่ 8 พ.ค.2557 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
วันที่ 9 ต.ค.2558 ศาลฎีกาเบิกตัวเขาไปฟังคำพิพากษาเพียงลำพังโดยที่ทนายและญาติพี่น้องไม่ทันได้ทราบข่าว ทราบอีกทีศาลก็พิพากษาลดโทษจำคุกให้จำเลยแล้ว จาก 5 ปี เหลือ 4 ปี เมื่อลดโทษลง 1 ใน 3 เนื่องจากจำเลยให้การเป็นประโยชน์จึงคงเหลือจำคุก 2 ปี 8 เดือน (ลดลงจากเดิม 8 เดือน)
หลังเขาออกจากเรือนจำ เขายินดีให้สัมภาษณ์เป็นคลิปวิดีโอสั้นๆ บอกเล่าถึงความรู้สึกที่ได้ปล่อยตัว 
เขากล่าวว่า รู้สึกดีใจมากที่ได้กลับบ้าน กลับมาในที่เดิม แม้จะแปลกใจเล็กน้อยที่ได้ออกก่อนที่คาดไว้เนื่องจากศาลฎีกาลดโทษให้ ทำให้ได้ออกเร็วกว่าเดิม 8 เดือน เขายังวางแผนจะหางานทำและเขียนหนังสือเรื่องราวชีวิตในเรือนจำด้วย

"สารพัดโปรโมชั่นในเรือนจำช่วยดึงใจให้คนเลือกที่จะไม่สู้ ยอมแพ้ เพื่อจะได้จบคดีเร็วๆ แล้วได้วันลด แต่เราเลือกที่จะสู้ เรามีความรู้สึกว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด"

"ก็มีว่อกแว่ก ก่อนศาลฎีกาจะรับใช้เวลา 7 เดือน ตั้งแต่อุทธรณ์ตัดมาจนถึงฎีการับ ช่วงนั้นเป็นช่วงท้อ ทำไมนานนัก แล้วคนก็พูดว่าเมษาปีหน้าอภัยจะมาแล้ว ยอมไปเถอะ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจ ไหนๆ ก็สู้มาแล้ว เอาให้ถึงที่สุดเลย...คนก็มองว่าบ้า โง่"

"ที่หายไปก็คือ อิสรภาพ เราต้องอยู่ในพื้นที่สองไร่ครึ่ง ในเรือนจำแบ่งเป็น 8 แดน เราอยู่แดน 1 ตลอด ซึ่งมีพื้นที่สองไร่ครึ่ง เท่ากับโลกของเรามีแค่สองไร่ครึ่งเท่านั้นเอง นานๆ จะได้ออกจากพื้นที่น้ไป เวลามีทนายมาเยี่ยม หรือญาติมาเยี่ยม แต่สิ่งที่เราได้มาก็คือประสบการณ์...อย่านึกว่าในเรือนจำมีแต่คนเลวนะ จริงๆ คนดีเยอะกว่าคนเลวด้วยซ้ำ เป็นอะไรที่เรานึกไม่ถึง"

"เรื่องความคิดทางการเมืองมีทั้งสิ่งที่เปลี่ยนและไม่เปลี่ยน แต่เอาเป็นว่าเราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ก่อนหน้านี้อาจจะเป็นแบบ อย่างที่ตอนที่เคยทำงานกับอ.ธิดา แกเคยพูดว่า ผมน่ะ เรื่องการเมืองแค่เด็กอนุบาล อันนี้ผมยอมรับว่าเรื่องจริง พอมาอยู่ มาเจอแบบนี้ เรามีความรู้สึกว่า ความคิดเรื่องการเมืองเราเมื่อก่อนนี้อนุบาลจริงๆ เด็กๆ เลย แล้วตอนนี้ก็ดีขึ้น แต่ก็แค่เด็กประถมเท่านั้นแหละ มหาลัยยังอีกยาวไกล" เอกชัยกล่าว  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น