หลี่ ซิน ถ่ายภาพที่สถานีรถไฟหัวลำโพงก่อนขาดการติดต่อมาตั้งแต่วันที่ 11 ม.ค. 2559 ขณะเดินทางโดยรถไฟมุ่งหน้าไป จ.หนองคาย เพื่อข้ามไปยังประเทศลาว (ที่มาของภาพ: Qiao Long/The Guardian)
หลี่ ซิน อดีต บ.ก.ข่าวออนไลน์ ของหนังสือพิมพ์ในมณฑลกวางตุ้ง ผู้หลบหนีออกจากจีนเพื่อลี้ภัย และมีข่าวว่าหายตัวไปหลังนั่งรถไฟไปหนองคายเพื่อข้ามไปลาว ล่าสุดหลังขาดการติดต่อ 22 วัน วันนี้สถานีตำรวจในจีนได้เรียกภรรยาของหลี่ ซิน ไปรับโทรศัพท์จากสามีซึ่งระบุว่าเดินทางกลับเมืองจีนอย่างสมัครใจเพื่อรับการสอบสวน
3 ก.พ. 2559 หลี่ ซิน (Li Xin) คอลัมนิสต์และบรรณาธิการข่าวออนไลน์ ของหนังสือพิมพ์หนานฟางตู้ชือเป้า หรือ เมืองใต้รายวัน (Southern Metropolis Daily/南方都市报) ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในเมืองกวางโจว มณฑลกวางตุ้ง ซึ่งเคยเป็นผู้แสวงหาที่ลี้ภัยในประเทศไทย และต่อมาเกิดขาดการติดต่อกับภรรยาตั้งแต่วันที่ 11 ม.ค. หลังโดยสารรถไฟจากสถานีหัวลำโพงไปยังหนองคาย เพื่อมุ่งหน้าไปประเทศลาวนั้น
ล่าสุดในรายงานของข่าวสดภาคภาษาอังกฤษ และ วอชิงตันโพสต์ ชือ ซานเหมย (Shi Sanmei) ภรรยาของหลี่ ซิน เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวสำนักข่าวเอพีว่า ในวันนี้ (3 ก.พ.) เธอได้ไปที่สถานีตำรวจใกล้บ้าน เพื่อรับสายโทรศัพท์ของสามี ซึ่งบอกกับเธอว่า เขาเดินทางกลับเมืองจีนอย่างสมัครใจเพื่อรับการสอบสวน อย่างไรก็ตามภรรยาของหลี่ ซิน เชื่อว่าเขาถูกบังคับให้กลับเมืองจีน
ในรายงานของเดอะการ์เดียน สื่อของอังกฤษ ยังสัมภาษณ์ภรรยาของหลี่ ซิน ซึ่งเล่าว่าได้ไปสถานีตำรวจใกล้บ้านที่มณฑลเหอหนาน เพื่อพูดคุยกับสามีซึ่งอยู่ในสถานที่อื่น ผ่านระบบโทรศัพท์ภายในของตำรวจ โดยหลี่ ซิน กล่าวว่า "นี่คือหลี่ ซิน ผมอยู่ในเมืองจีนแล้วไม่ต้องห่วง ผมกลับเมืองจีน เพราะต้องการรับการสอบสวน" ซึ่ง ชื่อ ซานเหมย กล่าวว่า "ทำไมเธอจึงกลับมารับการสอบสวน ในเมื่อเธอไม่ได้ทำอาชญากรรมอะไร?"
ภรรยาของหลี่ ซิน ซึ่งตั้งครรภ์ 4 เดือนกล่าวว่า "ฉันไม่เชื่อ ฉันไม่เชื่อ 100%" "ฉันรู้สึกว่าเขาถูกบังคับให้ต้องกล่าวถ้อยคำพวกนี้ สิ่งที่เขาพูดตรงข้ามกับความต้องการของเขา ทุกครั้งที่ฉันถามคำถามเขา เขาก็ขัดจังหวะฉัน"
โดยเมื่อ 1 ก.พ. ที่ผ่านมา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้ออกปฏิบัติการด่วนจี้ไทย-จีน ตามนักข่าวจีนที่หายตัวในไทย และหากถูกควบคุมตัวขอเรียกร้องให้ปล่อยตัวอย่างไม่มีเงื่อนไข (อ่านข่าวก่อนหน้านี้)
หลบหนีจากจีนเข้าอินเดีย ปล่อยเอกสารรัฐบาลจีนหัวข้อเซ็นเซอร์สื่อ
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หลี่ ซิน เดินทางออกจากจีนผ่านทางฮ่องกง และไปถึงนิว เดลี ประเทศอินเดียเมื่อ 30 ตุลาคมปีก่อน ภายหลังจากเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของจีนพยายายามที่จะแบล็กเมล์เพื่อให้เขาเป็นสายลับติดตามนักกิจกรรมรายอื่นๆ และขู่ว่าเขาจะถูกดำเนินคดีข้อหาเป็นสายลับ หากเขาไม่ยอมทำตาม
ในช่วงที่หลี่ ซิน อยู่ที่อินเดีย เขาได้ปล่อยเอกสารที่ได้จากสมัยที่ทำงานหนังสือพิมพ์ รวมไปถึงเอกสารของรัฐบาลจีน ที่แสดงหัวข้อต้องห้ามไม่ให้ผู้สื่อข่าวรายงาน
เอกสารที่หลี่ ซิน เปิดเผยระหว่างที่แสวงหาที่ลี้ภัยในอินเดีย เป็นลิสต์หัวข้อที่รัฐบาลจีนห้ามสื่อรายงานข่าว แสดงคำสำคัญห้ามรายงานข่าวที่เกี่ยวข้องกับ การชุมนุมที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ปี ค.ศ. 1989 และ ฟาหลุนกง (ที่มา: HKFP)
โดยในรายงานเมื่อ 13 พฤศจิกายนปีที่ผ่านมาของเว็บไซต์ Hong Kong Free Press (HKFP) เผยแพร่เอกสารที่หลี่ ซิน นำมาเปิดเผยดังกล่าว โดยหัวข้อที่รัฐบาลจีนห้ามรายงาน ซึ่งมีทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหตุประท้วงที่เทียนอันเหมิน เช่น "การประท้วงของนักศึกษาที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ปี ค.ศ. 1989", "ขบวนการเพื่อประชาธิปไตยปี 89", "4 มิถุนายน"
หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับลัทธิฟาหลุนกง เช่น "ฟาหลุนกง" และ "ความซื่อสัตย์, ความเมตตา, ความอดกลั้น" ซึ่งเป็นคำขวัญของฟาหลุนกง
นอกจากนี้ยังมีคำต้องห้ามซึ่งเกี่ยวข้องกับข่าวใหญ่ในจีนเช่น "ลูกชาย", "ใบขับขี่", "ปักกิ่ง" และ "เฟอร์รารี่" ซึ่งถูกจัดไว้ในหมวดหมู่เดียวกัน โดย HKFP รายงานว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุ รถยนต์เฟอร์รารี่ชนกันในปักกิ่ง ซึ่งทำให้ หลิง กู่ เสียชีวิต โดย หลิง กู่ ผู้นี้เป็นลูกชายของ หลิง จีหัว ผู้ช่วยของอดีตประธานาธิบดีหู จิ่นเทา
ในลิสต์ต้องห้ามรายงานข่าว ยังประกอบไปด้วยชื่อบุคคล ซึ่งรวมไปถึงผู้นำจีนทั้งในอดีตและปัจจุบัน รวมทั้งสมาชิกครอบครัว ทนายความสิทธิมนุษยชนอย่างเกา ชีเจิ้ง (Gao Zhisheng) และผู้สื่อข่าวเชิงสืบสวนของบีบีซีอย่าง จอห์น สวีเนย์ (John Sweeney) ด้วย
ขณะเดียวกันมีรายชื่อสื่อต้องห้ามรายงานข่าวด้วย ได้แก่ บลูมเบิร์ก (Bloomberg), วอยซ์ออฟอเมริกา (Voice of America), เอเชียเสรี (Radio Free Asia), สื่อไต้หวันอย่างแอปเปิลเดลี (Apple Daily), รวมทั้งสื่อในเครือซินหัว อย่างเว็บไซต์ที่รายงานข่าวเชิงความมั่นคง China Securities Daily รวมทั้งซินหัวรายวัน Xinhua Daily Telegraph
นอกจากนี้ยังมีหัวข้อต้องห้าม ที่ไม่สามารถอธิบายว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไร เช่น "แหวนแต่งาน" และ "แต่งงานมาแล้ว 7 ปี"
HKFP ได้ลองใช้คำต้องห้ามเหล่านี้ เสิร์ชผ่านเว็บค้นหาคำอย่าง Baidu และเว็บโซเชียลมีเดียอย่าง Weibo โดยพบว่าคำเหล่านี้ถูกบล็อกโดยแสดงข้อความเช่น "ไม่สามารถแสดงผลการค้นหาได้เนื่องจากกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง"
ถูกปฏิเสธลี้ภัยจากอินเดีย สหรัฐอเมริกา จึงเดินทางมาไทยก่อนหายตัวไป
ทั้งนี้รายงานของสถานีวิทยุเอเชียเสรี (RFA) ระบุว่า อินเดียไม่ยอมรับคำขอลี้ภัยของเขา นอกจากนี้เขายังถูกปฏิเสธจากสถานทูตสหรัฐอเมริกา หลังจากที่เขาพยายามขอวีซ่านักท่องเที่ยว
ในปี 2559 หลี่ ซิน เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ที่ซึ่งเป็นที่พำนักระยะยาวสำหรับผู้หลบหนีชาวจีน ที่พยายายามจะเดินทางต่อไปในโลกตะวันตก หลังจากนั้นเขาพยายามที่จะต่อรถไฟไปยังชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยเพื่อเข้าสู่ประเทศลาว แต่หลังจากนั้นภรรยาของเขาก็ไม่สามารถติดต่อเขาได้อีก
"เขานั่งรถไฟจากกรุงเทพฯ ไปหนองคาย เมื่อเวลา 20.36 น. ของวันที่ 10 มกราคม เราสามารถติดต่อกันได้ในช่วงนั้น แต่วันที่ 11 มกราคม ประมาณ 07.40 น. เราก็ขาดการติดต่อ" ชือ ซานเหมย กล่าว
เหตุก่อนหน้านี้ เจ้าของร้านหนังสือในฮ่ององหายตัวเมืองไทย-โผล่อีกทีอยู่เมืองจีน
ก่อนหน้านี้เคยมีกรณีของ กุ้ย หมินไห่ บุคคลสัญชาติสวีเดนซึ่งเกิดในจีน เจ้าของร้านขายหนังสือ "Causeway Bay Books" ในฮ่องกง ซึ่งเปิดจำหน่ายหนังสือที่วิจารณ์รัฐบาลจีน ได้หายตัวไปจากบ้านพักที่พัทยา ประเทศไทย เมื่อ 17 ต.ค. 2558 และในเวลาไล่เลี่ยกันระหว่าง 14 ต.ค. - 10 พ.ย. พนักงานในร้านที่ฮ่องกงอีก 3 คน ก็หายตัวไป และในวันที่ 30 ธ.ค. 2558 พนักงานอีกรายซึ่งถือสัญชาติอังกฤษชื่อหลี่ โป ก็หายตัวไป
โดยกุ้ย หมินไห่ ซึ่งหายตัวไปตั้งแต่ 17 ต.ค. นั้น ต่อมาในเดือนธันวาคมเดอะการ์เดียนได้เผยภาพจากกล้องวงจรปิดที่อพาร์ทเมนต์ในพัทยา ซึ่งกุ้ยหมินไห่พักอาศัย ในกล้องมีการจับภาพรถยนต์สีขาวของกุ้ยหมินไห่เข้าไปจอดในอาคารวันเดียวกับที่เขาหายตัวไป และเผยให้เห็นชายเสื้อลายท่าทางน่าสงสัยยืนคอยอยู่แถวหน้าอพาร์ทเมนต์จ้องมองรถยนต์ของกุ้ยหมินไห่ โดยเจ้าหน้าที่อพาร์ทเมนต์เปิดเผยว่าในเวลาต่อมาเขาเห็นชายเสื้อลายเดินไปขึ้นรถของกุ้ยหมินไห่ ก่อนที่ทั้งคู่จะขับรถออกไป (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)
ต่อมาเมื่อ 17 ม.ค. 2559 CCTV ของทางการจีน ได้เสนอภาพการให้สัมภาษณ์รับสารภาพของ กุ้ย หมินไห่ ว่าเขากลับเมืองจีนด้วยความสมัครใจ และขอสารภาพผิดในคดีเมาแล้วขับรถชนผู้หญิงคนหนึ่งเสียชีวิตซึ่งเป็นคดีตั้งแต่ปี 2546 จะขอยอมรับโทษไม่ว่าจะคดีใดๆ และขอให้รัฐบาลสวีเดนซึ่งเขาถือสัญชาติอย่าเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยสื่อหลายฉบับตั้งข้อสังเกตว่า วิดีโอการรับสารภาพของกุ้ยหมินไห่ คล้ายกับการรับสารภาพผ่านสื่อหลายครั้งในจีนคือมีความเป็นไปได้ว่าเขาจะถูกข่มขู่บังคับให้รับสารภาพ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)
กรณีทางการไทยส่งกลับ 2 นักกิจกรรมชาวจีนขณะแสวงหาที่ลี้ภัยไปประเทศที่สาม
ขณะที่เมื่อ 13 พ.ย. 2558 นักกิจกรรมชาวจีน ตง กวงปิง (Dong Guangping) และเจียง เยเฟย (Jiang Yefei) นักวาดการ์ตูนชาวจีน ถูกเจ้าหน้าที่ไทยส่งกลับจีนแผ่นดินใหญ่ โดย ตง กวงปิง หนีออกจากประเทศจีนพร้อมครอบครัวมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2558 ส่วนเจียง เยเฟย หนีมาเมืองไทยตั้งแต่ปี 2551 ทั้งหมดมีสถานะเป็นผู้แสวงหาที่ลี้ภัย ภายใต้กระบวนการของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) และยังทำเรื่องขอลี้ภัยไปยังแคนาดาด้วย โดยหลังจากที่มีการส่งตัวกลับจีน ทำให้ทางการแคนาดาอนุมัติฉุกเฉินให้ครอบครัวของเจียง เยเฟย และตง กวงปิง เดินทางมาตั้งถิ่นฐาน โดยพวกเขาเดินทางออกจากไทยตั้งแต่วันที่ 19 พ.ย. 2558
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น