กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน แถลงไม่รับร่างรธน.มีชัย เหตุเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิ งหลักการและสาระสำคั ญหลายประการจนทำให้การเจรจาจัดทำหนังสือสั ญญาระหว่างประเทศเสื่ อมถอย ทั้งกัดกร่อนหลักธรรมาภิบาล ทำลายตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจระหว่างบริหาร-นิติฯ ลดอำนาจการต่อรองของฝ่ายบริหาร จำกัดและลดความสำคัญของประชาธิปไตย
22 เม.ย. 2559 กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) ได้ออกแถลงการณ์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ โดยระบุว่า เนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ ที่เกี่ ยวกับการเจรจาจัดทำหนังสือสั ญญาระหว่างประเทศ ถูกบัญญัติไว้ในมาตรา 178 ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิ งหลักการและสาระสำคั ญหลายประการที่เสื่ อมถอยไปจากมาตรา 190 ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 อย่างสิ้นเชิง จนกระทบต่อหลักการสำคัญ 4 ประการ เป็นการบ่ อนเซาะทำลายกระบวนการประชาธิ ปไตยในระบบรัฐสภาและประชาธิ ปไตยเชิงเนื้อหา เนื่องจาก กัดกร่อนหลักธรรมาภิบาล ทำลายการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ ลดอำนาจการต่อรองของฝ่ายบริหาร จำกัดและลดความสำคัญของการสร้างประชาธิปไตยในเชิงเนื้อหา
โดยรายละเอียดของแถลงการณ์มีดังนี้ :
แถลงการณ์กลุ่มศึกษาข้ อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบั บลงประชามติ
ตามที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ได้เผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญเมื่ อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมาและคณะกรรมการกา รเลือกตั้งได้กำหนดให้มี การทำประชามติร่างรัฐธรรมนู ญในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 นี้ กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรี ภาคประชาชน (FTA Watch) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ติ ดตามการเจรจาระหว่ างประเทศและผลักดันนโยบายเพื่ อพัฒนาการเจรจาการระหว่างให้มี ความสมดุลและเป็นธรรมพบว่า เนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญที่เกี่ ยวกับ “การเจรจาจัดทำหนังสือสั ญญาระหว่างประเทศ” ถูกบัญญัติไว้ในมาตรา 178 ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิ งหลักการและสาระสำคั ญหลายประการที่เสื่ อมถอยไปจากมาตรา 190 ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 อย่างสิ้นเชิง
นับตั้งแต่ที่มีการประกาศใช้รั ฐธรรมนูญ 2550 ประเทศไทยได้มีการเจรจาจัดทำหนั งสือสัญญาหรือความตกลงระหว่ างประเทศจำนวนมาก และในท้ายที่สุดได้เข้าร่วมเป็ นภาคีสมาชิกของความตกลงระหว่ างประเทศภายใต้การปฏิบัติ ตามกระบวนการและขั้นตอนที่บัญญั ติไว้ในรัฐธรรมนูญซึ่งทำให้เกิ ดความรอบคอบในการเจรจา เพิ่มอำนาจต่อรองในการเจรจา ทำให้เกิดผลประโยชน์โดยรวมต่ อประเทศชาติมากขึ้น และแม้ว่าจะได้มีความพยายามผลั กดันแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 หลายครั้งเพื่อเร่งรัด ลดขั้นตอนและเวลา แต่เมื่อมีการตั้งคณะกรรมการชุ ดต่างๆ เพื่อศึกษาเรื่องนี้อย่างถ่ องแท้ก็ได้ข้อสรุปร่วมกันว่าปัญหาแท้จริงที่เกิดขึ้ นในกระบวนการเจรจามีต้นเหตุ มาจากการไม่ได้จัดทำกฎหมายลู กรองรับมาตรา 190 มิใช่เกิดจากตัวบทบัญญัติในรั ฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตาม ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ มาตรา 178 นั้น คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้ตั ดทอนและปรับเปลี่ยนเนื้อหาบทบั ญญัติของมาตรา 190 เดิม จนกระทบต่อหลักการสำคัญ 4 ประการ เป็นการบ่ อนเซาะทำลายกระบวนการประชาธิ ปไตยในระบบรัฐสภาและประชาธิ ปไตยเชิงเนื้อหา ดังนี้
1. กัดกร่อนหลักธรรมาภิบาล : โดยการตัดข้อบัญญัติในรั ฐธรรมนูญที่กำหนดให้คณะรัฐมนตรี ต้องให้ข้อมูลและจัดให้มีการรั บฟังความเห็นของประชาชน และต้องชี้แจงสาระสำคัญของหนั งสือสัญญานั้นต่อรัฐสภาตั้งแต่ ในขั้นการจัดทำกรอบการเจรจา ข้อบัญญัติที่เคยมีอยู่ดังกล่ าว เป็นการสร้างความโปร่งใส สร้างกระบวนการมีส่วนร่วม และเป็นแนวทางป้องกันปั ญหาผลประโยชน์ทับซ้อนที่อาจเกิ ดขึ้นจากการหนังสือสัญญา
2. ทำลายการตรวจสอบและถ่วงดุ ลอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ ายนิติบัญญัติ : โดยตัดข้อบัญญัติที่ให้คณะรั ฐมนตรีต้องเสนอกรอบการเจรจาต่ อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ ยิ่งไปกว่านั้น ในมาตรา 178 วรรคสองยังได้เพิ่มข้ อกำหนดตอนท้ายว่า ในขั้นการพิจารณาเข้าร่วมผูกพั นในหนังสือสัญญา หากรัฐสภาพิจารณาไม่เสร็จภายใน 60 วัน ให้ถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบ ข้อกำหนดดังกล่าวเป็ นการทำลายหลักการตรวจสอบและถ่ วงดุลระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ ายนิติบัญญัติอย่างสิ้นเชิง
3. ลดอำนาจการต่อรองของฝ่ายบริหาร : การตัดข้อบัญญัติในรัฐธรรมนู ญเกี่ยวกั บการเสนอกรอบการเจรจาต่อรั ฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ และการมีส่วนร่ วมของประชาชนในกระบวนการเจรจาจั ดทำหนังสือสัญญาออกไป เป็นการลดทอนอำนาจการต่ อรองของฝ่ายบริหารในการเจรจา ขั้นตอนดังกล่าวเป็นแนวปฏิบัติ ที่ประเทศต่างๆ ยึดถือปฏิบัติและอ้างอิงเพื่ อสร้างและเพิ่มอำนาจต่อรองของฝ่ ายบริหารในการเจรจา
4. จำกัดและลดความสำคัญของการสร้ างประชาธิปไตยในเชิงเนื้อหา : โดยการตัดทอนข้อบัญญัติในรั ฐธรรมนูญที่กำหนดเกี่ยวกับการมี ส่วนร่วมของภาคประชาสั งคมในกระบวนการเจรจาจัดทำหนังสื อสัญญาซึ่งเป็นนโยบายสาธารณะที่ มีความสำคัญในกระแสโลกาภิวัตน์ การมีส่วนร่วมของภาคประชาสั งคมในกระบวนการจัดทำหนังสือที่ ผ่านมาตามมาตรา 190 ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าทำให้ การเจรจามีความรอบคอบ ช่วยตรวจสอบและรักษาผลประโยชน์ สาธารณะ ตลอดจนเป็นกลไกที่ช่วยทำให้ ระบบการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างฝ่ ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติมีคุ ณภาพและมีผลในทางปฏิบัติมากยิ่ งขึ้น เป็นการสร้างประชาธิปไตยเชิงเนื ้อหาที่แท้จริง
นอกจากหลักการทั้ง 4 ประการข้างต้นจะถูกบ่ อนเซาะทำลายแล้ว ข้อบัญญัติในมาตรา 178 วรรคสามยังได้ กำหนดขอบเขตของประเภทหนังสือสั ญญาที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่ นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้า หรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้ างขวางไว้อย่างจำกัด ทำให้ขอบเขตการตรวจสอบและถ่วงดุ ลระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติ บัญญัติ และพื้นที่ทางการเมื องของภาคประชาสังคมถูกจำกั ดและหดแคบลงไปอีก
ยิ่งกว่านั้น ข้อบัญญัติในมาตรา 178 วรรคสี่ ได้เปลี่ยนแปลงสาระสำคั ญของกฎหมายลูกไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่กฎหมายที่จะมีสาระสำคั ญเพื่อการกำหนดขั้นตอนและวิธี ดำเนินการจัดทำหนังสือสัญญาที่ มีการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่ างคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา มีความโปร่งใส ให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้ จริงตามหลักธรรมาภิบาลตามที่ เคยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 แต่กลายเป็นเพียงกฎหมายที่ กำหนดวิธีการที่ประชาชนจะเข้ ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิ ดเห็น และได้รับการเยียวยาที่จำเป็ นเท่านั้น
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อพิจารณาร่วมกับมาตราอื่นๆ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการประกั นสิทธิพื้ นฐานของประชาชนโดยเฉพาะการเข้ าถึงการรักษาและการคุ้มครองผู้ บริโภค ยังพบว่า มีบทบัญญัติที่ล้าหลังอันเป็ นการลดทอนสิทธิของประชาชน แต่มุ่งเน้นเพิ่มอำนาจรั ฐลดอำนาจประชาชน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า กระบวนการที่ไม่ดี ไม่สามารถให้ผลผลิตที่ดีได้
ด้วยเหตุผลและข้อวิเคราะห์ดั งกล่าว กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรี ภาคประชาชน (FTA Watch) จึงขอประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนู ญฉบับลงประชามติ และพร้อมที่จะจัดเวทีหรือเข้ าร่วมเวทีถกแถลงเกี่ยวกับเรื่ องนี้ เพื่อให้สังคมได้รับรู้ข้อมูล ข้อวิเคราะห์ และความเห็นต่างอย่างรอบด้าน อันเป็นสิทธิพื้นฐานทางการเมื องอั นชอบธรรมของประชาชนในระบอบประชา ธิปไตย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น