วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2554


อาวุธ ′ลับ′ - อาวุธ 'ลบ'

โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร
(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 29 พฤษภาคม 2554)



จะชอบหรือไม่ก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่ากระแส "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" จุดติดแล้ว

การ "จุดติด" ดังกล่าว ทำให้คู่แข่งสำคัญคือประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องรีบแก้เกม เพื่อสกัดไม่ให้แรงเหวี่ยงลูกตุ้ม ส่ง "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ขึ้นไปสูงสุดในช่วงวันเลือกตั้ง

เพราะหากเป็นเช่นนั้น โอกาสจะพ่ายแพ้มีสูงยิ่ง
ที่ผ่านมาจึงได้เห็นความพยายามของคนประชาธิปัตย์ ที่จะขัดขวางในหลายรูปแบบ

แต่ก็ดูยังไม่ส่งผลสะเทือนนัก และนับวันการสกัดจะยากขึ้นเรื่อยๆ

เนื่องจากเป็นธรรมชาติ ใครหรืออะไรก็ตามเมื่ออยู่ในช่วงกระแส "ขึ้น" มักจะดูดีไปหมด การเข้าไปขัดขวางไม่ง่าย และต้องหนักแน่น แยบคาย มิฉะนั้น ผู้ที่พยายามขัดขวางจะถูกมองว่าเป็นตัวก่อกวนเสียเอง

กลายเป็นความรู้สึกลบ มากกว่าบวก

อย่างที่คนประชาธิปัตย์พยายามงัดเอา "อาวุธลับ" เรื่องครอบครัว ขึ้นมาโจมตี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทั้งเรื่องลูก สามี และไร้ทะเบียนสมรส แทนที่จะเกิดกระแสขุดคุ้ยร่วม กลับกลายเป็นกระแสลบ ถูกมองไปยุ่งเรื่องส่วนตัว และรังแกผู้หญิง
 ความเห็นใจไปอยู่ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์

ยิ่งเมื่อเธอใช้จังหวะที่ไปเปิดตัวลงเลือกตั้งอย่างเป็นทางการที่บ้านเกิด และทำบุญให้บรรพบุรุษ ด้วยการจูงมือน้องไปค์ ด.ช.ศุภเสกข์ อมรฉัตร ไปร่วมด้วย

น้องไปค์ หรือ ในภาษาอังกฤษว่า PIKE อันหมายถึง หอก ทวน หลาว ก็ได้กลายเป็น "อาวุธลับ" ที่พุ่งย้อนกลับเข้าหาพรรคประชาธิปัตย์แทน

ภาพของเด็กบริสุทธิ์ไร้เดียงสาที่ถูกลากดึงออกมาฟาดฟัน เรียกคะแนนให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มากกว่าไปตัดคะแนน

อาวุธลับของประชาธิปัตย์ กลายเป็นอาวุธลบ

และพรรคเพื่อไทยกำลังย้อนศร ด้วยการให้ "แม่-ลูก" ออกเรียกคะแนนเสียงในช่วงวันหยุด

จุดอ่อน กลายเป็นจุดแข็งหน้าตาเฉย

ตอนนี้จึงต้องจับตา "อาวุธลับ" อื่นๆ ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ซัดใส่เพื่อไทย ไม่ว่าเรื่องก่อการร้ายเผาบ้านเผาเมือง และ เรื่อง "ล้มเจ้า" จะมีชะตากรรมเดียวกับอาวุธลับน้องไปค์ หรือไม่

แต่ดูแล้วก็น่าห่วงเหมือนกัน

เพราะเรื่องก่อการร้าย ก็ทำให้นายสุเทพกลายเป็นข้อร้องเรียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง และถูกแจ้งความดำเนินคดี ฐานใส่ร้าย หมิ่นประมาทแล้ว

แม้นายสุเทพจะบอกว่าไม่หนักใจและดีใจที่เรื่องนี้จะได้ไปพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรม แต่การตกเป็นฝ่ายที่ถูกกล่าวหา ก็ทำให้การใช้ "อาวุธลับ" นี้ยากขึ้น

ส่วนเรื่อง "ล้มเจ้า"

คำแถลงของนายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่งผลสะเทือนไม่น้อย

เมื่อมีการระบุว่า พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก, อดีตโฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ลงนาม "ยอมความ" ต่อ "ศาลอาญา" ว่า ผังล้มเจ้าของ ศอฉ. ซึ่งมีชื่อนายสุธาชัย และแกนนำ นปช.คนสำคัญๆ รวมอยู่ด้วยนั้น เป็นเพียงการดำเนินการตามความเชื่อ ปราศจากหลักฐาน

และยังยอมรับด้วยว่า บุคคลที่ถูกกล่าวหาในผังล้มเจ้าไม่ได้หมายความว่าอยู่ในขบวนการล้มเจ้า แต่สื่อนำไปขยายผลขยายความต่อเอง

ทำให้ "หลักฐานเอกสาร" ที่เป็นเนื้อเป็นหนังเกี่ยวกับการล้มเจ้า "เบาโหวง" ไปในทันที

รวมทั้งเกิดคำถามต่อ ศอฉ. ที่ทรงอำนาจที่สุดในตอนเกิดม็อบแดง ว่า ไฉนจึงใช้"ข้อมูล" ที่ไม่ยืนยันข้อเท็จจริง มากล่าวหาคนอื่นในความผิดร้ายแรงเช่นนี้

แล้วกรณี "ล้มเจ้า" อื่นๆ จะเป็นไปในทำนองนี้หรือไม่


คำถามและข้อสงสัยเหล่านี้ จึงทำให้ "อาวุธลับ" ที่หวังจะใช้ขยี้ฝ่ายตรงข้าม กลายเป็น "อาวุธลบ"

ซึ่งก็คงต้องรีบทบทวน "การใช้" ด่วน

มิเช่นนั้นแทนที่จะได้คะแนนกลับเสียคะแนนแทน
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น