วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554


ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า 12 สิงหาฯ 
น้อมรำลึกถึงบรรพชนปฏิวัติ นายพันเอกพระยาทรงสุรเดช

        ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า-นายทหารอ่านประกาศคณะราษฎรฉบับที่1เมื่อรุ่งเช้าวันที่ 24 มิถุนายน 2475โดยมีนายพันเอกพระยาทรงสุรเดช(ซ้ายสุดภาพล่าง)เป็นนักยุทธวิธีคนสำคัญในการวางแผนยึดอำนาจโดยปราศจากการสูญเสียเลือดเนื้อ
โดยทีมข่าวไทยอีนิวส์
12 
สิงหาคม 2554
        กล่าวแบบฟันธงก็ต้องว่า หากการปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 ไม่ได้นายพันเอกพระยาทรงสุรเดชเป็นผู้บัญชาการก็คงไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่เราชนรุ่นหลังรับรู้ฝ่ายประชาธิปไตยและสนับสนุนคณะราษฎร์ได้พากันถือเอาวันที่ 12 สิงหาฯอันเป็นวันเกิดของนักปฏิว้ติผู้อาภัพนี้ เป็น"วันรำลึกพระยาทรงสุรเดช"ด้วยเหตุที่ว่าเมื่อมีการรำลึกถึงสามัญชนไทยมักนับเอาวันเกิดเป็นวันสำคัญของท่านผู้นั้น ดังเช่น กรณีของสุนทรภู่ที่เกิดวันที่ 26 มิถุนายน ก็นับเป็นวันสุนทรภู่ เป็นต้น
เมื่อวันที่12 สิงหาคมของทุกปีเวียนมาถึง ก็ย่อมจะทำให้ประชาชนไทยผู้รักชาติรักประชาธิปไตยทั้งมวลอดหวนรำลึกนึกถึงพระคุณบรรพชนนักปฏิวัติผู้นำสยามประเทศก้าวสู่ระบอบประชาธิปไตยไม่ได้

        4 ทหารเสือคณะราษฎร์-(จากซ้าย)นายพันเอกพระยาทรงสุรเดช,นายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา,นายพันเอกพระยาฤทธิอาคเนย์และนายพันโทพระประศาสน์พิทยายุทธ์
        นอกจากคุณูปการต่อบ้านเมืองแล้วยังนับเป็นบุคคลที่นักการทหาร นักการเมืองเอาเป็นเยี่ยงอย่างในการใช้ชีวิตด้วยเพราะท่านได้ชื่อว่าทำการเพื่อชาติไม่เบียดบังชาติและราษฎรแม้แต่น้อย
        นายพันเอกพระยาทรงสุรเดชเป็นผู้นำสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการปกครองพ.ศ.2475 โดยหากขาดท่านผู้นี้ก็ต้องฟันธงได้เลยว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน2475 จะไม่มีวันสำเร็จได้เลยในวันนั้นเนื่องจากเป็นผู้วางแผนบัญชาการปฏิวัติ
        หลังการปฏิวัติสำเร็จลงพระยาทรงฯไม่ขอรับตำแหน่งใดในรัฐบาล ไม่ขอเพิ่มยศเป็นนายพล ไม่ขอคุมกำลังทางทหารแต่ท่านถูกขอให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงจำต้องรับเป็นเพราะแสดงถึงความศรัทธาต่อระบอบการปกครองใหม่
        แต่ในภายหลังสถานการณ์พลิกผันทำให้ชะตากรรมของพระยาทรงฯต้องถูกเนรเทศไปอยู่ในอินโดจีนของฝรั่งเศสคือเวียดนาม และสุดท้ายที่เขมร อย่างอนาถา ส่วนลูกน้องถูกประหารชีวิตไป 18 ศพ (อ่านรายละเอียดกรณีนี้คลิ้กที่นี่ )
        แม้กระทั่งยามยากช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่2ขณะพำนักลี้ภัยในญวนและเขมรต้องอยู่บ้านเช่าโกโรโกโส ปั่นจักรยานถีบ และทำขนมไทยขายเลี้ยงประทังชีวิตแต่เมื่อไทยตกอยู่ใต้การยึดครองของญี่ปุ่นก็พยายามอย่างโดดเดี่ยวที่จะขับไล่ญี่ปุ่นอย่างมืดมนลำพัง
        แม้ว่าต้องตกระกำลำบากในเขมรขนาดนั้นและเป็นเวลาที่ญี่ปุ่นเข้ายึดครองทั่วเอเชีย รวมทั้งเขมรและไทยด้วยนั้นญี่ปุ่นได้ติดต่อลับๆจะให้นายพันเอกพระยาทรงสุรเดชกลับไปมีอำนาจโค่นล้มปฏิปักษ์ทางการเมืองของท่านคือจอมพลป.พิบูลสงคราม ซึ่งญี่ปุ่นชักไม่ไว้ใจ แต่พระยาทรงฯปฏิเสธเพราะเห็นเป็นการทรยศบ้านเมือง ยอมระกำลำบากดีกว่าอันนี้นับเป็นจิตใจที่น่าเชิดชูยิ่ง
        สุดท้ายเมื่อสิ้นสงครามโลกครั้งที่ ผู้มีอำนาจขณะนั้นส่งนายทหารคนหนึ่งไปลอบวางยาพิษพระยาทรงฯถึงแก่ความตายในเขมรทั้งที่มีหวังกำลังจะได้กลับจากการลี้ภัยสุดท้ายคุณหญิงของท่านและทหารคนสนิทต้องทำพิธีศพอย่างอนาถาไร้กองเกียรติยศใดๆในต่างแดน

พระยาทรงฯเกิดเมื่อ 12 สิงหาคม 2435 หรือเมื่อ 119 ปีที่แล้ว 
        ขณะเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ท่านอายุย่าง 40 ปีและได้ชื่อว่าเป็นมันสมองในการทำปฏิวัติ2475 และมีกำลังในการปฏิวัติจริงๆโดยอาศัยยุทธวิธีลวงทหารมายึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง
        คนไทยค่อนประเทศอาจจะลืมพระยาทรงฯไปแล้วแต่วันที่12สิงหาคมนั้นได้ชื่อว่าเป็นวันที่คนไทยต้องรำลึกถึงพระยาทรงฯบรรพชนปฏิวัติไทย
        ความต่อไปนี้เก็บความจากหนังสือ"ชีวิตพระยาทรงฯในต่างแดน"เขียนโดยร้อยเอกสำรวจ กาญจนสิทธิ์ทส.พระยาทรงฯซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่มาร่วมๆ 30 ปีแล้ว หากคลาดเคลื่อนประการใดขอให้ผู้รู้ได้เสริมเพิ่มหรือแก้ไขด้วย

นายพันเอกพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน)[12 สิงหาคม พ.ศ. 2435 - 1 มิถุนายน พ.ศ. 2487]
นักยุทธวิธีของคณะราษฎร์
        หากเทียบกับการปฏิวัติใหญ่ในรัสเซียมีเลนินเป็นผู้ชี้นำทางความคิด มีทร็อตสกี้เป็นนักยุทธวิธีปฏิวัติในเหตุการณ์2475นายปรีดี พนมยงค์ ก็คือผู้ชี้นำทางความคิดส่วนนักยุทธวิธีที่วางแผนและลงมือปฏิวัติก็คือนายพันเอกพระยาทรงสุรเดช
        พระยาทรงฯมีชื่อเดิมคือเทพพันธุมเสน เป็นบุตรของร้อยโท ไท้ นายทหารกรมทหารปืนใหญ่ที่จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบก จากนั้นได้ทุนไปศึกษาต่อวิชาทหารช่างที่ประเทศเยอรมนี เมื่อจบแล้วได้ยศนายสิบ แล้วจึงเรียนต่อระดับสัญญาบัตรได้ยศร้อยตรี ก่อนไปประจำการที่กองทหารในเมืองมักเคเบอร์กและเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2458
        จากนั้นเริ่มรับราชการทหารจนได้รับพระราชทานยศเป็นร้อยเอกหลวงรณรงค์สงคราม เมื่อ พ.ศ. 2461 และย้ายไปเป็นผู้บังคับการทหารช่างรถไฟกองพันที่ กรมทหารบกที่ มีผลงานสำคัญคือ ก่อสร้างทางรถไฟสายเหนือจากถ้ำขุนตานถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่ ก่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกจากแปดริ้วถึงสถานีรถไฟอรัญประเทศ ก่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือช่วงนครราชสีมา ได้รับพระราชทานยศนายพันเอกและบรรดาศักดิ์เป็นพระยาทรงสุรเดช
        เมื่อปี พ.ศ. 2475 ในการก่อการ2475ปัญหาคือคณะราษฎร์ไม่มีคนคุมกำลังทหารในมือเลยพระยาทรงฯซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนนายร้อยจึงลวงนักเรียนนายร้อยด้วยการปลุกให้ตื่นตั้งแต่ตี3แล้วบอกว่าจะพาไปฝึกภาคสนามที่พระที่นั่งอนันต์พร้อมกับการที่นายพันเอกพระยาพหลฯไปลวงค่ายทหารให้นำกำลังทหารและรถทหารออกมาสมทบกันและพระประศาสน์(ซึ่งใกล้ชิดกับพระยาทรง)ไปควบคุมตัวกรมพระนครสวรรค์ฯซึ่งทรงอำนาจในประเทศมาเป็นตัวประกัน
        เมื่อนักเรียนทหารที่นายพันเอกพระยาทรงฯลวงมาสมทบกับรถทหารและทหารจากค่ายที่นายพันเอกพระยาพหลฯลวงมากับนายพันโทพระประศาสน์ฯควบคุมกรมพระนครสวรรค์มาที่นั่งอนันต์ฯได้การปฏิวัติที่ปราศจากเลือดเนื้อก็กลายเป็นประวัติศาสตร์ของไทย
        ในหนังสือบันทึกชีวิตพระยาทรงฯในต่างแดนนั้นพระยาทรงแสดงความเป็นนักยุทธวิธีอย่างเต็มที่โดยพระยาทรงฯได้กล่าวว่าการปฏิวัติ2475เป็นเรื่องของยุทธวิธี ไม่ใช่ยุทธศาสตร์ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน ไม่ได้มาจากการตื่นตัวต้องการปฏิวัติของประชาชนเลยเพราะหากไปปลุกเร้าให้ประชาชนตื่นตัวขึ้นปฏิวัติการกระทำเช่นนั้นจะทำให้ความลับรั่วไหลแล้วจะกลายเป็นกบฎ เหมือนเหตุการณ์กบฎร.ศ.130 (อ่านเพิ่มเติม:กรณีกบฎร.ศ.130ประวัติศาสตร์ยังคงตื่นอยู่เพื่อคนชั้นหลังเสมอ)
        หลังการปฏิวัติพระยาทรงฯปฏิเสธที่จะขอรับยศเพิ่มเช่นเดียวกับนายพันเอกพระยาพหลฯและคณะทุกๆคน ไม่ขอรับตำแหน่งคุมกำลังใดๆไม่ขอรับตำแหน่งทางการเมือง แต่ที่สุดก็จำนนรับตำแหน่งส.ส.จากการแต่งตั้งเพื่อแสดงถึงความศรัทธาเชื่อมั่นต่อระบอบปกครองใหม่
ขัดแย้งกับปรีดีและแตกหักกับจอมพลป.ก่อนถูกเนรเทศ
        เมื่อแรกหลังปฏิว้ตินายพันเอกพระยาทรงฯอยู่ในปีกที่ไม่เห็นด้วยกับสมุดปกเหลืองเค้าโครงเศรษฐกิจของนายปรีดีพนมยงค์ ซึ่งมีนโยบายรัฐสวัสดิการโดยฝ่ายปฏิกริยาปฏิวัติโจมตีว่าเป็นนโยบายคอมมิวนิสต์แบบเดียวกับรัสเซียอันมีผลให้นายปรีดีถูกเนรเทศไปฝรั่งเศสระยะหนึ่งก่อนจะได้กลับมามีอำนาจอีกครั้ง
        ในพ.ศ.2476 เกิดกบฎบวรเดช นายพันโทแปลกขีตสังคะ มีบทบาทสำคัญเป็นคนนำปราบปรามกบฎ และเปล่งบารมีขึ้นมาในสายตาของพันเอกพระยาทรงเห็นว่านายพันโทแปลกนั้นเป็น"ทหารยศต่ำ แต่มักใหญ่ใฝ่สูง"ต่อมานายพันโทแปลกเพิ่มยศพรวดพราดและก้าวขึ้นเป็นนายกฯแล้วถูกลอบสังหารหลายหน
        นายพันเอกหลวงพิบูลฯ(ต่อมาเป็นจอมพลป.)สงสัยว่านายพันเอกพระยาทรงฯน่าจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังจึงได้มีคำสั่งให้พ้นจากราชการโดยไม่มีเบี้ยหวัดบำนาญและบังคับให้เดินทางออกนอกประเทศ พร้อมด้วยร้อยเอกสำรวจ กาญจนสิทธิ์ ทส. ประจำตัวพร้อมกันนั้นได้มีการกวาดล้าง จับกุมผู้ที่ต้องสงสัย จำนวน 51 คน เมื่อเช้ามืดของวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2482 และสั่งประหารไป18 ราย จึงเรียกกันต่อมาว่ากบฎ18ศพ (เดิมจะประหาร 21 ราย แต่ปล่อยไปซึ่ง ในนั้นคือกรมขุนชัยนาทฯซึ่งเป็นพระปิตุลาฯของในหลวง)
บั้นปลายอนาถาของนักปฏิวัติที่โลกลืม
        นายพันเอกพระยาทรงสุรเดชพร้อมนายทหารคนสนิทเมื่อถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏจึงถูกให้ออกจากราชการโดยไม่มีเบี้ยหวัดและถูกบีบให้เดินทางออกนอกประเทศ ไปพร้อมกับร.อ.สำรวจ กาญจนสิทธิ์ โดยถูกควบคุมตัวขึ้นรถไฟไปที่ อ.อรัญประเทศและเดินทางข้ามพรมแดนต่อไปยังกัมพูชา ซึ่งในขณะนั้นเป็นดินแดนในอาณานิคมของฝรั่งเศสและไปพำนักในเวียดนามระยะหนึ่ง
        โดยคุณหญิงทรงสุรเดชต้องขายสมบัติเก่าส่งไปให้ประทังชีพ เมื่อสมบัติพร่องลง ต้องย้ายกลับมากัมพูชาอาศัยห้องเช่าโกโรโกโสก่อนที่ต่อมาจะได้พักในตำหนักร้างของอดีตเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสที่พระยาทรงฯเคยช่วยชีวิตให้พ้นคมหอกคมดาบของญี่ปุ่นระหว่างการยึดครองในคราวสงครามมหาเอเชียบูรพา
       ชีวิตพระยาทรงสุรเดชที่กัมพูชาไม่มีทรัพย์เงินทองเหลือติดตัวอยู่เลย ต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการทอดแหหาปลาเลี้ยงตัวและทำขนมกล้วยขนมไทยขายในตลาดสด ซึ่งต้องโม่แป้งด้วยตนเองจากนั้นต้องปั่นจักรยานถีบไปมาเพื่อขายขนม(ซึ่งจะเห็นว่าต่างจากนายทหารนักทำรัฐประหารในระยะหลังที่มีทรัพย์สินเป็นร้อยล้านพันล้านทั้งที่ก็มักกล่าวหาว่านักการเมืองขี้โกงเลยเข้ามายึดอำนาจ...ประหลาดไหม?)
        ช่วงสงครามไทยตกอยู่ใต้การยึดครองญี่ปุ่นนายพันเอกพระยาทรงฯไม่ล่วงรู้เลยว่าคนไทยทั่วโลกมีขบวนการใต้ดินเสรีไทยต่อต้านญี่ปุ่นเพราะถูกตัดขาดจากโลกภายนอก แต่ก็อุตสาหะดิ้นรนที่จะต่อต้านญี่ปุ่นเพียงลำพังโดยคิดจะเดินข้ามประเทศไปแสวงหาความร่วมมือจากอเมริกาที่ตั้งฐานในจีนแต่ก็ต้องระงับไว้เพราะมืดแปดด้านอยู่คนเดียว
        หลังสงครามจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นจอมพลป.พิบูลสงคราม ซึ่งเดินนโยบายเป็นมิตรกับญี่ปุ่น ต้องพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและถูกดำเนินคดีอาชญากรสงครามนายพันเอกพระยาทรงฯซึ่งนับวันเดือนปีจะได้กลับสู่มาตุภูมิก็กลับไม่มีโอกาสนั้นเลยเมื่อมีนายทหารไทยคนหนึ่งอ้างว่า ไปศึกษาที่ญี่ปุ่นก่อนกลับไทยเลยแวะมาเยี่ยมแล้ววางยาพิษพระยาทรงฯตายด้วยความทรมานอนาถา และจัดทำพิธีศพเยี่ยงคนไร้ญาติโดยถึงแก่อนิจกรรมลงในปี พ.ศ. 2487 ขณะมีอายุเพียง 52 ปี ที่ตำหนักร้างในกรุงพนมเปญซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าเสียชีวิตด้วยอาการโลหิตเป็นพิษ
        ทส.พระยาทรงเขียนไว้ให้แปลความระหว่างบันทัดโดยตั้งข้อสงสัยไปในทำนองว่าปฏิปักษ์ทางการเมืองคือจอมพลป.อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับความตายเพราะเมื่อสงครามมหาเอเชียบูรพายุติลง จอมพลป.ถูกดำเนินคดีอาชญากรสงครามหากพระยาทรงได้กลับไทยและกลับสู่อำนาจอาจเป็นอันตรายต่อจอมพลป.ได้
        กระดูกของพระยาทรงฯกลับถึงประเทศไทยพร้อมกับบันทึกส่วนตัวที่กล่าวถึงการปฏิวัติ2475 และกลายมาเป็นหนังสือชื่อ"บันทึกพระยาทรงฯ:เมื่อวันปฏิวัติ24มิถุนายน2475"(อ่านบันทึกบางส่วนคลิ้กที่นี่ ) และหนังสือ "ชีวิตในต่างแดนของพระยาทรงฯ"ออกเผยแพร่ราวปีพ.ศ.2525


        อัฐิของพระยาทรงฯถูกนำมาบรรจุไว้ที่วัดประชาธิปไตยหรือวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน ซึ่งคณะราษฎรได้สร้างขึ้นหลังปฏิวัติ2475ซึ่งบรรพชนปฏิวัติผู้วายชนม์ล้วนถูกนำอัฐิมาบรรจุที่วัดนี้ รวมถึงอัฐิของจอมพล ป.พิบูลสงคราม นาวาเอกหลวงศุภชลาศัย นายพันเอกพระยาฤทธิอัคเนย์นายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา นายพันโทหลวงอำนวยสงคราม นายปรีดี พนมยงค์ นายเฉลียวปทุมรส นายทวี บุญยเกตุ นายดิเรก ชัยนาม รวมทั้งนายกระจ่าง ตุลารักษ์สมาชิกคณะราษฎรคนสุดท้ายที่เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2552ที่ผ่านมา
        ฝ่ายจารีตนิยมและจิตนิยมบอกว่าเพราะพระยาทรงฯทรยศพระมหากรุณาธิคุณทำการล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จึงพบเคราะห์กรรมเลวร้าย
        แต่ฝ่ายที่สนับสนุนและโปรประชาธิปไตยนับเอาว่าพระยาทรงฯเป็นบุคคลสำคัญของชาติเพราะหากไม่มีพระยาทรงฯที่เป็นดั่งเสนาธิการในการปฏิวัติก็ไม่แน่นักว่าการปฏิวัติ24มิถุนายน2475จะสำเร็จราบรื่นไร้การนองเลือดอย่างที่เรารับรู้หรือไม่
        ประกอบกับคุณงามความดีไม่ฉ้อราษฎร์ไม่บังหลวง ฝ่ายประชาธิปไตยและสนับสนุนคณะราษฎร์ได้พากันถือว่าวันที่ 12 สิงหาฯอันเป็นวันเกิดของนายพันเอกนักปฏิว้ติผู้อาภัพนี้ เป็น"วันพระยาทรงสุรเดช"ด้วยเหตุดังนี้
อนึ่งสำหรับสามัญชนไทยมักนับเอาวันเกิดเป็นวันรำลึกถึงของท่านผู้นั้นดังเช่น กรณีของสุนทรภู่ที่เกิดวันที่ 26 มิถุนายน ก็นับเป็นวันสุนทรภู่ดังนั้นจึงถือเอาวันเกิด 12 สิงหาคมเป็นวันพระยาทรงสุรเดชด้วยประการฉะนี้
 
บันทึกพระยาทรงสุรเดช:ในวันปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475
        พระยาทรงสุรเดชได้บันทึกจากความทรงจำถึงเหตุการณ์ปฏิวัติ 2475 ไว้ระหว่างลี้ภัยในเวียดนามและกัมพูชา เมื่อถึงแก่อสัญกรรมลงนายทหารคนสนิทได้นำบันทึกนี้กลับประเทศไทยและตีพิมพ์เผยแพร่ในระยะต่อมาอีกหลายสิบปี
        โดยได้บันทึกเหตุการณ์ปฏิวัติ24มิถุนายนไว้อย่างละเอียดซึ่งในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นั้นพระยาทรงสุรเดชเป็นผู้ที่เชื่อมให้นายทหารระดับสูงที่มีแนวคิดเดียวกัน เช่นพระยาพหลพลพยุหเสนา เข้าร่วมกับคณะราษฎร ซึ่งตัวพระยาทรงสุรเดชเองเคยพูดว่า "
พวกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แทบทั้งหมดมุ่งแต่เพียงทำตัวให้โปรดปรานไว้เนื้อเชื่อใจจากพระเจ้าแผ่นดินไม่ว่าด้วยวิธีใดตลอดทั้งวิธีที่ต้องสละเกียรติยศด้วย..."

        ในแผนการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นการประชุมในประเทศไทย คณะราษฎรได้ประชุมกัน ครั้งครั้งแรกประชุมกันเพียงไม่กี่เดือนก่อนลงมือที่บ้านพักของพระยาทรงสุรเดชที่สะพานควาย
        และครั้งที่ ที่บ้านพักของร้อยโทประยูร ภมรมนตรี ที่ถนนเศรษฐศิริซึ่งพระยาทรงสุรเดชในตอนแรกนั้นได้เสนอแผนการว่าใช้ทหารยึดพระที่นั่งอัมพรสถานซึ่งเป็นที่ประทับของรัชกาลที่ ในเวลากลางคืนและขอถวายความอารักขาแก่ในหลวงในฐานองค์ประกันแล้วบังคับให้ลงพระปรมาภิไธยพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ปวงชนชาวไทยแต่แผนนี้มีผู้ไม่เห็นด้วยเพราะระหว่างที่บุกเข้าไปอาจเกิดการปะทะกันกับทหารมหาดเล็กจนถึงขึ้นนองเลือดและผู้ก่อการได้ตกลงในหลักการของการปฏิวัติครั้งนี้คือจะต้องพยายามมิให้เกิดการนองเลือดจะต้องไม่กระเทือนต่อพระเกียรติยศของพระมหากษัตริย์เกินควรและตกลงว่าจะทำการปฏิวัติในช่วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จแปรพระราชฐานประทับที่พระราชวังไกลกังวล
        การประชุมกันหนที่ 2 ที่บ้านของร้อยโทประยูร ในวันที่ 12 มิถุนายน พระยาทรงสุรเดชจึงเสนอแผนการทั้งหมด 3 แผน
        แผนที่ 1ให้นัดประชุมบรรดานายทหารที่กรมเสนาธิการหรือที่กรมยุทธศึกษา หรือที่ศาลาว่าการกลาโหมเพื่อประกาศว่าจะเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน ผู้ใดไม่เห็นด้วยก็จะเข้าควบคุมตัวไว้ในระหว่างนั้นคณะผู้ก่อการฝ่ายทหารเรือและพลเรือนแยกย้ายกันไปคุมตัวเจ้านายและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มากักตัวไว้ในพระที่นั่งอนันตสมาคมหรือบนเรือรบ
        แผนที่ 2ให้จัดส่งหน่วยต่าง ๆ ไปคุมตามวังเจ้านายและข้าราชการคนสำคัญในขณะเดียวกันให้จัดหน่วยออกทำการตัดการสื่อสารติดต่อ เช่น โทรเลข โทรศัพท์และให้จัดการรวบรวมกำลังทหารไปชุมนุม ณ ลานพระบรมรูปทรงม้าโดยวิธีออกคำสั่งลวงในตอนเช้าตรู่แล้วประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองต่อหน้าทหารเหล่านั้นและจัดนายทหารฝ่ายก่อการเข้าควบคุมบังคับบัญชาทหารเหล่านั้นแทนผู้บังคับบัญชาคนเดิมแล้วทหารก็คงจะฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชาคนใหม่ต่อไปการณ์ก็คงสำเร็จลงโดยเรียบร้อยโดยมิต้องมีการต่อสู้จนเลือดนองแผ่นดิน
        แผนที่ 3ให้หน่วยทหารหนึ่งจู่โจมเข้าไปในวังบางขุนพรหมและเข้าจับกุมพระองค์กรมพระนครสวรรค์วรพินิตมาประทับที่พระที่นั่งอนันตสมาคมเพื่อเป็นประกันความปลอดภัยของคณะราษฎร และให้ดำเนินการอย่างอื่น ๆตามที่กล่าวแล้วในแผนที่ 2
ซึ่งทั้งหมดเห็นด้วยกับแผนที่2ควบกับแผนที่ จึงตกลงทำตามนี้ และได้กำหนดวันดำเนินการในชั้นแรกว่าให้เป็นวันอาทิตย์ที่ 19มิถุนายน
        โอกาสในการลงมือยึดอำนาจการปกครองนั้นต้องอยู่ในช่วงระยะที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปหัวหิน เพื่อทอดพระเนตรการทดลองการยิงปืนใหญ่ซึ่งมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ แม่ทัพ นายกองไปร่วมในการประลองอาวุธในครั้งนั้นเป็นส่วนมาก
        ส่วนการเข้าควบคุม จอมพลสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตนั้นคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้สืบทราบมาว่า จอมพลสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตมักจะเสด็จประพาสลำน้ำเจ้าพระยาในวันเสาร์และจะเสด็จกลับในวันจันทร์ถ้าดำเนินการในวันอาทิตย์ก็อาจจะไม่ได้พระองค์ท่านมาเป็นองค์ประกันจึงได้เลื่อนการปฏิบัติการไปเป็นวันอังคารที่ 21 มิถุนายน
        ต่อมาที่ประชุมได้ตกลงเลื่อนวันปฏิบัติการไปเป็นวันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน เนื่องจากได้รับรายงานว่า ในวันอังคาร เรือรบยามฝั่งยังไม่กลับหากตกลงทำการในวันพฤหัสบดีที่ 23 ก็จะขาดทหารเรือ
        ในวันที่ 22 มิถุนายนก็มีรายงานว่า บรรดาสมาชิกคณะราษฎรยังไม่พร้อมที่จะทำการยึดอำนาจในวันที่ 23 มิถุนายน ดังนั้นวันปฏิบัติจึงเลื่อนไปวันที่ 24 มิถุนายน แทนแต่ทั้งหมดก็ยังไม่รู้ว่าพระยาทรงสุรเดชจะนำทหารออกมาใช้ยึดอำนาจได้อย่างไร
บทบาทของพระยาทรงสุรเดชในวันที่เปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นคือ การปล่อยข่าวลวงและล่อหลอกเพื่อชักนำให้ทหารแต่ละกรมกองมาชุมนุมร่วมกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้าเพื่อให้เข้าร่วมในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง อย่างไม่ขัดขืน
        วันที่ 23 มิถุนายน พระยาทรงสุรเดชในฐานะเป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาทหารของโรงเรียนนายร้อยทหารบก ได้ไปพบ พันโทพระเหี้ยมใจหาญ ผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยเพื่อขอให้นำนักเรียนนายร้อยทั้งหมดพร้อมอาววุธปืนบรรจุกระสุนไปที่ลานหน้าพระบรมรูปทรงม้าในตอนเช้าตรู่วันที่ 24 มิถุนายน เพื่อฝึกยุทธวิธีทหารราบต่อสู้รถถังโดยจะใช้นักเรียนนายร้อยทำหน้าที่ทหารราบและนำรถถังจากกรมทหารม้ามาใช้ในการฝึกต่อจากนั้นได้ไปพบผู้บังคับกองพันทหารราบที่รู้จักอีกสองคนเพื่อขอร้องให้นำทหารไปฝึกหน้าลานพระบรมรูปทรงม้าเวลาหกโมงเช้าและไปพบผู้บังคับการกองพันทหารช่างที่บางซื่อเพื่อขอร้องให้นำทหารมาที่สนามหน้าโรงทหารในเวลาหกโมงเช้าเช่นกันเพื่อจะนำไปฝึกต่อสู้กับรถถัง
        เช้าวันที่ 24 มิถุนายนพระยาทรงสุรเดชตื่นตั้งแต่เวลา 4.00 น.และได้รับประทานข้าวผัดที่เหลือจากมื้อเมื่อคืน ก่อนออกจากบ้านไปพร้อมกับร้อยเอกหลวงทัศนัยนิยมศึก (ทัศนัย มิตรภักดี) ที่มารับถึงบ้านตามแผนที่วางได้โดยได้บอกกับภรรยาตั้งแต่คืนก่อนว่าจะไปดูการสวนสนามที่หน้าพระลาน
        จากนั้นแผนการนำทหารออกมาใช้เปลี่ยนแปลงการปกครองของพระยาทรงสุรเดชก็ได้เปิดเผยออกมาเป็นลำดับทั้งหมดในเวลา 5.00น. ก็ได้มุ่งหน้าไปยังกรมทหารม้าที่ รักษาพระองค์สี่แยกเกียกกาย มีเป้าหมายเพื่อยึดรถเกราะ ยึดรถรบ ยึดคลังกระสุนและหลอกพาทหารเดินมาขึ้นรถบรรทุกของกรมทหารปืนใหญ่ภายใต้การบังคับบัญชาของพระยาฤทธิอัคเนย์ ที่อยู่ใกล้กันก่อนจะเคลื่อนขบวนไปลานพระบรมรูปทรงม้า
        เมื่อไปถึงกรมทหารม้าด่านแรกที่จะต้องฝ่าไปให้ได้คือกองรักษาการณ์ที่ด้านหน้า สามทหารเสือ คือพระยาทรงสุรเดช พระยาพหลพลพยุหเสนา และพระประศาสน์พิยายุทธ เข้าไปในกองรักษาการณ์ถามหาตัวผู้บังคับการกองรักษาการณ์แล้วผู้ก่อการก็พูดด้วยเสียงดุว่า
"เวลานี้เกิดกบฏกลางเมืองขึ้นแล้วมัวแต่หลับนอนอยู่ได้ เอารถเกราะ รถรบเอาทหารออกไปช่วยเดี๋ยวนี้"
        ฝ่ายผู้บังคับการที่เป็นนายทหารชั้นผู้น้อยเมื่อเผชิญหน้ากับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ซึ่งเคยเป็นอาจารย์มาก่อนก็หลงเชื่ออย่างสนิทใจชั่วอึดใจเดียวเสียงเป่าแตรแจ้งสัญญาณเหตุสำคัญก็ปลุกทหารทั้งกรมตื่นขึ้นมาด้วยความโกลาหล
ช่วงเวลาแห่งความระทึกนี้นายทหารผู้ก่อการต่าง ๆที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ก็แยกย้ายกันไป
พระยาพหลพลพยุหเสนาใช้กรรไกรตัดเหล็กที่เตรียมมาตัดโซ่กุญแจคลังกระสุนได้สำเร็จช่วยกันลำเลียงกระสุนออกมาอย่างรวดเร็ว
พระประศาสน์พิทยายุทธตรงไปยังโรงเก็บรถพร้อม ร.อ.หลวงทัศนัยนิยมศึก เร่งระดมให้ทหารสตาร์ตรถถัง รถเกราะออกมาโดยเร็ว
ร้อยเอกหลวงรณสิทธิชัย และพรรคพวกพากันขึ้นไปยังโรงทหารเร่งให้ทหารแต่งเครื่องแบบโดยเร็วด้วยคำสั่งที่ว่า "ทหารไม่ต้องล้างหน้าแต่งเครื่องแบบทันที"

        ไม่กี่นาทีต่อมาทหารม้าก็พร้อมแล้วที่ออกเดินทางไปขึ้นรถบรรทุกทหารภายในกรมทหารปืนใหญ่ที่ได้นัดแนะเอาไว้แล้วพระยาฤทธิอัคเนย์สั่งให้ทหารปืนใหญ่ขึ้นรถ พระประศาสน์พิทยายุทธ นำขบวนรถถังรถเกราะ รถขนกระสุนและปืนกลเบาราว 15 คัน ออกมาจากที่ตั้งกรม นำหน้าขบวนรถทั้งหมดมุ่งหน้าตรงไปยังลานพระบรมรูปทรงม้า สมทบกับทหารหน่วยอื่น ๆที่นัดหมายกันไว้
        เมื่อขบวนรถบรรทุกทหารแล่นผ่านกองพันทหารช่างซึ่งเหล่าทหารกำลังฝึกอยู่บนสนามหน้ากองพันพระยาทรงสุรเดชก็กวักมือพลางตะโกนเรียกให้ขึ้นรถผู้บังคับการทหารช่างเข้าใจว่าได้เวลาที่จะไปฝึกการต่อสู้รถถังตามที่ตกลงกันเมื่อเย็นวานจึงสั่งทหารช่างขึ้นรถบรรทุกไปด้วย
        ปฏิบัติการยึดกรมทหารม้าที่ รักษาพระองค์สำเร็จลงอย่างรวดเร็วตามความคาดหมายภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงมีคำถามมากมายว่า เพราะเหตุใดกองรักษาการณ์กรมทหารม้าจึงไม่ได้ทำอะไรเลยทำไมยามคลังกระสุนจึงปล่อยให้พระยาพหลพลพยุหเสนา งัดประตูเอากระสุนออกไปได้ทำไมนายทหารในกรมนี้จึงปล่อยให้นายทหารที่อื่นนำทหารของตัวออกไปได้โดยไม่แสดงปฏิกิริยาอันใดเลย
สำหรับคำตอบของคำถามนี้พระยาทรงสุรเดชได้บันทึกเหตุการณ์ครั้งนี้ไว้ชัดเจนว่า
        เป็นเพราะนายทหาร นายสิบพลทหารเหล่านั้นเห็นด้วยในการปฏิวัติหรือ...เปล่าเลย ทั้งนายทหาร นายสิบ พลทหารไม่มีใครรู้เรื่องอะไรเลย ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่มีใครเคยได้เห็นได้รู้การปฏิวัติทำอย่างไร เพื่ออะไร มีแต่ความงงงวยเต็มไปด้วยความไม่รู้และข้อนี้เองเป็นเหตุสำคัญแห่งความสำเร็จ ! สำหรับพลทหารทั้งหมดไม่ต้องสงสัยเลยเขาทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาของเขาโดยไม่มีข้อโต้แย้ง เขาถูกฝึกมาเช่นนั้นและหากนายทหารอื่นมาสั่งให้ทำโดยอ้างว่าเป็นคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเขาก็ทำเช่นเดียวกัน ทำไมเขาจะไม่ทำ เพราะในชีวิตเป็นทหารของเขาเขายังไม่เคยถูกเช่นนั้น เพราะฉะนั้นเขาจะรู้ไม่ได้เลยว่าเป็นการลวงในเมื่อเขาโดนเป็นครั้งแรก ...นายทหารทั้งหมดส่วนมากได้เรียนในโรงเรียนนายร้อยในสมัยที่ผู้อำนวยการฝ่ายทหารเป็นอาจารย์ใหญ่เพราะฉะนั้นจึงมีความเคารพและเกรงในฐานผู้ใหญ่
00000000000000000000000
อ่านข่าวเกี่ยวข้องบรรพชนปฏิวัติ 2475
-ฌาปณกิจคณะราษฎร์คนสุดท้ายปลายทางบรรจุอัฐิกับผู้ร่วมก่อการ เผยวีรกรรมตำนานเสรีไทย
-ทายาท 24 มิถุนา(ตอน1) ศุขปรีดา พนมยงค์:เขาพยายามทำลายชื่อเสียงผู้ก่อการเขามีทั้งกำลังคนกำลังทรัพย์แน่นหนามาก
-ทายาท24มิถุนา(ตอน2)พ.ต.พุทธินาถพหลพลพยุหเสนา:ไม่มีหรอกที่ราชาธิปไตยจะเอาประชาธิปไตยมาให้
-ทายาทจอมพลป.:พอรัฐประหาร2490ก็หมดแล้วปฏิวัติ2475 และทายาทพระประศาสน์ผู้จับกรมพระนครสวรรค์วันปฏิวัติ
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น