วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

หิ่งห้อยติดหอยหมา


ประชาธิปัตย์ อย่าทำตัวเป็น ‘หิ่งห้อยติดหอยหมา’
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

             ผมอ่านข่าวที่ฟังแปลกๆ เกี่ยวกับเรื่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่ ไม่พูดภาษาอังกฤษ ฝ่ายตรงข้ามเยาะเย้ยว่า คงพูดไม่ได้ แต่บางคนก็ให้เหตุผลที่ฟังดูเข้าท่า คือ

           ที่รัฐมนตรีไม่พูดตอบเป็นภาษาอังกฤษ เพราะยังรู้สึกไม่คุ้นกับสำเนียงคำถามของผู้สื่อข่าวจีนคนนั้น ซึ่งการพูดจาของเธอ ออกจากฟังยากสักหน่อย แต่คุณสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล นั้น ข่าวว่าพูดภาษาจีนกลางได้ดี

          ดังนั้น...หากผมเป็นรัฐมนตรีสุรพงษ์ฯ จะออกมุกตอบเป็นแมนดาริน (ภาษาจีนกลาง) ให้อึ้งกิมกี่กันไปเลย

          แค่นี้...วันรุ่งขึ้นก็ ‘ชิงพื้นที่ข่าว’ ได้แล้ว!

         ตามประวัติรัฐมนตรีต่างประเทศคนนี้ จบจากโรงเรียน มงฟอร์ด วิทยาลัย ซึ่งเป็นโรงเรียนคาทอลิค ในเครือคณะภราดาเซนต์คาเบรียล ซึ่งมีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ อยู่ระดับแนวหน้าโรงเรียนในประเทศ นอกจากนั้นตัวรัฐมนตรียังสำเร็จการศึกษาขั้นปริญญาเอกสาขาวิศวกรรม จากสหรัฐอีกต่างหาก ดังนั้น เรื่องการนินทาคุณสุรพงษ์ฯว่า ฟอร์ไฟว์ฟุดฟิดภาษาปะกิตไม่ได้นั้น คงไม่ใช่แน่!

         คุยกันเรื่องภาษาอังกฤษแล้ว ต้องขอพูดถึงรายการของวิทยุ FM 101 MHz สักหน่อย เนื่องจากมีรายการที่ฟังแล้ว มีสิ่งที่มันขัดหูผมที่ฟังอยู่พอดี เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ

         เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รายการตอนสายๆเกี่ยวกับเรื่องการบ้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม มีผู้ดำเนินรายการสามคน หนึ่งหญิง สองชาย เขารายงานเรื่อง Flash Mob ฟังแล้วไม่น่าเชื่อว่า ผู้ดำเนินรายการทั้งสามคนนี้ ไม่เข้าใจ คำที่พวกตัวเองรายงานเลย ที่ตลกหนักก็คือ
ดันผ่าไปพูดอธิบายออกทะเล ไปเป็นเรื่องแฟลชไลท์ แบบถ่ายรูปวูบวาบไปโน่นเลย!
ผมไม่ตำหนิที่ผู้ดำเนินรายการหญิง ที่เธอไม่รู้จักคำนี้ แต่ที่แปลกใจคือ ผู้ดำเนินรายการร่วมชายสองคน ซึ่งทำงานอยู่ในเครือหนังสือพิมพ์ฝรั่งอย่างบางกอกโพสท์แท้ๆ กลับไม่รู้จักคำธรรมดาที่สามัญมากๆ และบางกอกโพสท์เอง ก็ใช้ออกบ่อยๆ เช่น คำว่า Flash Flood ซึ่งหมายถึง น้ำท่วมฉบับพลัน อย่างนี้เป็นต้น

           Flash Mob นั้น คือฝูงชนที่มารวมตัวโดยมีการนัดหมายมาล่วงหน้า โดยมีวัตถุประสงค์มาทำ หรือสร้างความแปลกประหลาดใจ หรือพูดภาษาชาวบ้านก็คือ มาทำเรื่องเซอร์ไพรส์ หรือเรื่องที่ไม่คาดหมายมาก่อน เช่น  นัดผ่านทางสื่ออินเตอร์เนต หรือสื่ออีเลคทรอนิคอื่นๆ มาเต้นระบำหน้าทำเนียบรัฐบาลจำนวน 100 คน เป็นเวลา 5 นาที แล้วสลายตัวไปแบบ ‘มาเร็วไปเร็ว’ เหมือน ‘สายฟ้าแลบ’ ประมาณนั้น เขาจึงใช้คำคุณศัพท์ Flash ไปนำหน้าคำว่า Mob กลายเป็น Flash Mob ก็เท่านั้น

           ที่มามีเรื่องดังไม่กี่วัน ก็เพราะนัดกันมาแบบ Flash Mob แล้วดันทะลึ่งทำ “มั่วนิ่ม” เข้าไปหยิบเข้าหยิบของในร้านค้า แล้วเอาออกไปหน้าเฉยตาเฉย เลยเป็นเรื่อง!
ผมคิดว่า ผู้ดำเนินรายการสื่อวิทยุที่ดำเนินรายการอย่างนี้ หากมีข้อสงสัยหรือไม่แน่ใจ น่าจะตรวจสอบก่อน ว่า เขาหมายความว่า อย่างไรกันแน่?

          นี่ไม่ได้เป็นการจ้องจับผิด แต่ต้องบ่นกันหน่อย ด้วยตัวเองก็เป็นครูภาษาอังกฤษเก่า ก็เลยติดนิสัยจู้จี้ เพราะอยากให้ผู้ดำเนินรายการของบ้านเรา พูดอะไรก็ให้มันถูกต้อง เด็กๆที่ฟังอยู่จะได้จดจำในสิ่งถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวหรือภาษาก็ตาม

             ดังนั้น หากจะพูดภาษาอังกฤษ ก็ขอให้แน่ใจสักหน่อยว่า มันออกเสียงหรือมีความหมาย อย่างที่ตัวพูดจริงๆ หากไม่แน่ใจ ก็ควรตรวจสอบก่อน ปัจจุบันทำได้สะดวก อาจใช้ดิคชันนารีพกพา หรืออินเตอร์เนตก็ได้ เพราะไม่อย่างนั้น คนที่เขาฟังอยู่ก็อาจจำของผิดๆ หรือเข้าใจอย่างผิด จนนำไปพดต่ออย่างผิดๆ ก็ขอทักท้วงกันเบาะๆ แต่เพียงแค่นี้!

           คราวนี้มาเข้าเรื่องที่อยากพูดถึง ต่อจากที่ชำแหละคำอำลาตอหลดตอแหล ของนายมาร์ค มุกควาย เมื่อสัปดาห์ก่อนอีกนิด กล่าวคือ

           มีข่าวการธนาคารโลกหรือ World Bank ยกระดับประเทศไทยในปีนี้ ขึ้นเป็นประเทศกลุ่มที่มีรายได้ประชาชาติต่อหัว ไปอยู่ในระเป็น Upper Middle Income ขึ้นไปอยู่กลุ่มเดียวกับมาเลเซีย และจีน ตามข่าวที่ปรากฏใน http://www.indexmundi.com/facts/thailand/gni-per-capita
ปรากฏว่า  หลังจากที่มีข่าวเรื่องนี้ออกมา ทางผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ออกอาการกระดี๊กระด๊ากันใหญ่ ตีขลุมเอาว่าเป็นผลงานของรัฐบาลนายมาร์ค มุกควาย แต่หากท่านคลิกเข้าไปดูตามลิ้งค์ข้างต้น ก็จะเห็นกราฟที่น่าสนใจ และมีตัวเลขประกอบ ดังนี้

  • 2000 ........1,960.00
  • 2001 ........1,900.00
  • 2002 ........1,900.00
  • 2003 ........2,060.00
  • 2004 ........2,360.00
  • 2005........ 2,580.00
  • 2006........ 2,860.00
  • 2007 ........3,240.00
  • 2008 ........3,670.00


               ตัวเลขสีน้ำเงินข้างหน้า เป็นปีคริสตศักราช ส่วนตัวเลขสีแดง เป็นรายได้ จะเห็นได้ว่า ปี ค.ศ. 2001 (พ.ศ.2544) นายชวน หลีกภัย เป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล ที่ส่งไม้ให้นายกทักษิณฯ ในยามบ้านเมืองอยู่ในยุคที่ทรุดโทรมสุดขีด รายได้ลดลงจาก ค.ศ.2000 ที่มีรายได้ 1,960 ดอลลาร์ พอถึง ปี ค.ศ. 2001 รายได้ตัวหัวประชาชาติ เหลือ 1,900 ดอลลาร์ นายกฯทักษิณประคองบ้านเมืองมา จนกระทั่ง ถึง ปี ค.ศ.2003 รายได้ทะยานขึ้น 2,060.00 ดอลลาร์  ปี ค.ศ. 2004 กระฉูดต่อเป็น 2,360.00 ดอลลาร์ ปี ค.ศ. 2005 รายได้พุ่งไม่ลด เป็น 2,580.00 ดอลลาร์ ปี ค.ศ. 2006 ที่นายกฯทักษิณ โดนปฏิวัติ รายได้ทะลุทะลวงต่อไปถึง 2,860.00 ดอลลาร์ ปลายปี ค.ศ. 2007 (พ.ศ.2550) นายกฯสมัคร สุนทรเวช เข้ารับตำแหน่ง ต่อด้วยนายกฯสมชาย แม้จะต้องฝ่าฟันพันธมิตรซึ่งเป็นแนวร่วมกับประชาธิปัตย์ ที่ออกมาป่วนบ้านป่วนเมือง รายได้ประชาชาติปี ค.ศ.2008 ยังขึ้นอีก 430 เหรียญ เป็น 3,670.00 ดอลลาร์

           เห็นกันชัดหรือยังล่ะ! กว่านายมาร์ค มุกควายจะมารับ ก็เดือนธันวาคม ค.ศ.2008 หรือ ปี พ.ศ. 2551 โน่น  แล้วไอ้หน้าโง่ที่ไหน ดันออกมาบอกว่า เป็นผลงานของรัฐบาลนายมาร์ค มุกควาย!

         เรื่องนี้ คุณ ‘ซูม’ แห่ง ‘ไทยรัฐ’ คนสภาพัฒน์ฯเก่า เขียนลงคอลัมน์ตัวเอง แสดงความดีอกดีใจอย่างมาก ที่ไทยได้ขยับอันดับ เมื่ออังคารที่ 23 สิงหาคม 2554 นี้เอง

        ผมเชื่อว่า หากเห็นตัวเลขที่ผมลำดับให้ดู นั้น คุณซูมคงสรุปได้ ว่า ความก้าวหน้าในเรื่องรายได้ประชาชาติ จนทำให้ไทยได้รับการเลื่อนลำดับ ไปอยู่ชั้น Upper Middle Income จนน่าดีใจ นั้น เกิดขึ้นใน ‘ยุคทักษิณ’ อย่างชัดเจน ใช่หรือไม่!?

ท่านผู้อ่าน ที่เคารพ

          ระยะนี้ผมเฝ้าดูพฤติกรรม ของบรรดาสมาชิกพรรคดักดาน ที่ตกกระป๋องไปแล้ว ยังหน้าด้านออกมาตอดเล็กตอดน้อย ที่พวกสื่อมวลชน ทั้งหนังสือพิมพ์และวิทยุบอกว่า เป็นการออกมาเตะตัดขา...หมายให้รัฐบาลก้นเตี้ย หรือพังพาบลง! เมื่อไม่กี่วันก่อน จึงเห็นการเข้าไปแจ้งความดำเนินคดี กล่าวหารัฐมนตรี สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ว่า ช่วยเหลือผู้กระทำความผิด ไม่สมควรดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอีกต่อไป ต้องยื่นถอดถอนกันเสียที และอาจพ่วงนายกฯผู้หญิงเข้าไปด้วย



              โถ...ท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ ของผม เพิ่งได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ไม่กี่วันเท่านั้น ยังไม่ทันจะแถลงนโยบาย ก็ดันแจ้นไปแจ้งความกับโปลิศ และเตรียมการยื่นถอดถอนกันแล้ว ดูมันทำ!

         ยิ่งไปกว่านั้น ยังจะมีเรื่องให้สินบนหนังสือพิมพ์ โดยส่งเสียงขู่ง่องๆแง่งๆออกมาว่า
จะเอากันให้ถึงขั้น ‘ยุบพรรค’ เพื่อไทยเลยทีเดียว!!

         นี่เอง ที่ทำให้ผมย้อนไปคิดถึงบทความเก่า ที่เขียนลงหนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์รายวัน ที่มีผู้ชอบกันมาก และผมเอามาลงไว้ใน www.vattavan.com ด้วย ตั้งแต่เมื่อ 19 ก.ย. 2551 ชื่อคอลัมน์ว่า "สมัครยังไม่ถอย... ประชาธิปัตย์ ‘หิ่งห้อย' ก็คงหงอย!!!"(http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=84)

เขียนเอาไว้อย่างนี้ ลองอ่านดูครับ

...ครั้นเมื่อได้เห็นพฤติกรรม ของพรรคประชาธิปัตย์ในสภาวันเลือกนายกฯ ทำให้นึกถึงเรื่องที่รับฟังมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เกี่ยวกับเรื่อง "หิ่งห้อย" จึงขอถ่ายทอดให้ท่านผู้อ่านได้รับฟังกัน เพื่อใช้เป็นเครื่องประกอบการพิจารณา เขาเล่าสืบกันมาอย่างนี้ครับ

สุนัขตัวหนึ่งอยู่กินกับหมานางเมีย แต่แล้วโชคชะตาฟ้าลิขิตตัวตายไปก่อน เมื่อตายไปแล้วก็ไปเกิดเป็นหิ่งห้อย แต่ความระลึกถึงเมียเมื่อเคยเสพสังวาสกัน เมื่อชาติที่ผ่านมา เมื่อครั้งมันยังเป็นหมา จึงทำให้เจ้าหิ่งห้อย ยังระลึกถึงรสชาติความสุข เมื่อตัวนั้นมีสุขจากเพศรสที่ได้ร่วมกับหมานางเมีย จนวนเวียนตอนอยู่ที่เครื่องเพศของเมียหมาเมื่อชาติที่ผ่านมา เมื่อมีหมาตัวผู้ตนใด ที่ย่างกรายเข้ามาหานางเมีย มันก็ปล่อยแสงประจำตัว กระพือสว่างวาบขึ้น
...พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!  หมาตัวผู้ที่จะมาเสพสังวาส กับหมานางเมีย ก็มีอันตกใจ เผ่นหนีไป...
เจ้าหิ่งห้อยนี้ ก็เฝ้าวนเวียนตอมอวัยวะเพศนางหมาเมีย ไม่ให้ตัวผู้อื่นเข้ามาใกล้ได้ จนกระทั่งมันมีอันล้มตายจากไป เพราะสังสารวัฏ เฉกเช่นเดียวกับสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ที่มีกาลเวลาหรือพระกาฬคอยเสพกลืนกิน

           นิทานเรื่องนี้ ผู้ใหญ่อีสานที่ถ่ายทอด เพิ่นบอกว่า เป็นเวรกรรมของหิ่งห้อย ที่ไปตามตอมแต่หอยหมา ท่านจึงสอนเตือนใจ ว่า คนเรานั้นย่อมมีกิเลส หลงใหลในอำนาจ แม้ตัวเองพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ไปแล้ว ยังโหยหาอาลัย แม้จะไม่ได้อยู่บนตำแหน่งแห่งที่เดิมแล้ว ก็ยังสำแดงอาการหึงหวง ปกป้อง ไม่ยอมให้ใครขึ้นครองตำแหน่งได้โดยง่าย ต้องความขัดขวางทุกรูปแบบไป ทั้งนี้มีเพราะยังมี "กิเลส" เป็นเครื่องร้อยรัดอยู่!

         เฉกเช่นเดียวกับ กับผู้เคยมีอำนาจในโลกใบนี้ นักการเมืองไม่ว่าจะอยู่ในพรรคใหม่ หรือพรรคเก่ากะลา ซึ่งเคยเสพอยู่บนอำนาจมายาวนาน มีความติดอกติดใจหลงใหลได้ปลื้ม กับตำแหน่งแห่งที่ ซึ่งเคยอำนวยอวยผลประโยชน์และอำนาจ ให้กับตนเอง

        เป็นธรรมดาเมื่อพวกของตน ต้องเป็น "ฝ่ายค้านดักดาน" อยู่หลายปี จึงต้องดิ้นรนทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้กลับสู่ตำแหน่งแห่งที่มีอิทธิฤทธิ์ ประโยชน์โภคผล อย่างเต็มที่ แต่ถ้าไม่สามารถเอาชนะ เข้าสู่ตำแหน่งเดิมได้ ก็วนเวียนตอมป้องกันตำแหน่งที่ตนเคยครอบครอง ใครพยายามเข้ามาวอแว ก็ต้องพยายาม...ขับไล่ให้พ้นๆไป อย่างสุดความสามารถ!
พอจะพูดได้ว่า พฤติกรรมของคนในพรรคใดที่ตกกระป๋อง แต่ยังหวนหาใฝ่ในอำนาจ ก็เข้าทำนอง "หิ่งห้อย" อย่างที่เล่ามา

        ดังนั้น ใครก็ตาม มาบอกว่าพรรคที่มีพฤติกรรมอย่างนี้ เป็นพวกแมงสาป นั่นเป็นเรื่องที่ผมไม่เห็นด้วยเด็ดขาด เพราะบินได้สูงกว่าแมงสาป แถมยังมีแสงเอาไว้ขู่ศัตรู ที่เข้ามาหวังครอบครองตำแหน่งอีกด้วย... เหมือน ‘หิ่งห้อย’ มากกว่าเป็นไหนๆ!

        ครับ...แม้ระยะนี้ แสงยังริบหรี่อยู่ แต่จะเรียกหิ่งห้อยธรรมดา คงไม่ได้ จะต้องเรียกให้โอ่อ่า เต็มยศอย่างโบราณท่านว่า เป็นพรรค...

"หิ่งห้อย...ติดหอยหมา!!!"

ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ

         มาถึงวันนี้ พฤติกรรมของพรรคดักดานไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย จึงต้องเรียนขอร้องกับท่านผู้อ่าน ดังนี้ ผู้อ่านท่านใด ที่รู้จักมักจี่ กับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ หรือคนที่เลื่อมใสในพรรคเก่าแก่ ช่วยสงเคราะห์นำบทความนี้ ไปให้พวกเขาอ่านกันหน่อย
เถอะครับ

        อ้อ!... ช่วยบอกไปด้วยว่า ผู้ใหญ่ที่เล่านิทาน "หิ่งห้อย...ติดหอยหมา!!!" ให้ผมฟังนั้น ไม่ได้ใช้คำว่า “หอย” หรอกครับ

       ท่านใช้คำตรงไปตรงมาคือ สะกดด้วยตัว หอ. หีบ กับสระ อี๋ แต่ตัวผู้เขียนเองนั้น ไม่บังอาจขึงขังตึงตัง ใช้คำที่มีทั้งมนต์ขลัง และแสนศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้น จึงต้องเลี่ยงมาใช้คำ ว่า “หอย” แทน! บอกตรงๆว่า

ผม...ขี้อายยยยยย!!!

...555... ...................

หมายเหตุ ผมฟังการแถลงนโยบายของนายกฯยิ่งลักษณ์ไม่จบ เพราะต้องรีบเดินทาง และส่งต้นฉบับก่อนด้วย มีพวกอกหัก ออกมาปรักปรำว่า  นายกฯยิ่งลักษณ์ เอาแต่ยืนอ่านโพย!

พวกนี้ลืมไปว่า นายมาร์ค มุกควาย ตอนแถลงนโยบาย เมื่อ30 ธันวาคม พ.ศ.2551 ก็ยืนอ่านโพยอย่างที่เห็นในภาพ ผิดกันตรงที่ว่า
- นายกฯยิ่งลักษณ์ แถลงนโยบายอย่างสง่างามในรัฐสภาแห่งชาติ แต่นายมาร์ค มุกควาย ต้องหนีหัวซุกหัวซุน ไปซุ่มยืนอ่านนโยบายใน ห้องวิเทศ สโมสรกระทรวงการต่างประเทศ!

- นายกฯยิ่งลักษณ์ อ่านคำแถลงไปเรื่อยๆ สบายๆ และเปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้าม อภิปรายท้วงติงนโยบายตามระบอบประชาธิปไตย โดยให้เวลาถึง 2 วันเต็ม แต่ตัวนายมาร์ค มุกควาย ก้มหน้าก้มตา รีบอ่านๆๆๆๆ ให้เสร็จในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง เท่านั้น และไม่เปิดโอกาสให้ใครอภิปรายด้วยซ้ำ  ที่น่าตลก ก็คือ มิสเตอร์ มุกควาย ก้มหน้า หูตก รีบอ่านนโยบาย แบบพายเรือรีบจ้ำ ตากลอกปะหลับปะเหลือกไปมา มองซ้ายทีขวาที ล่อกแล่กๆ เหมือนขาดความมั่นใจ เพราะกลัวคนจะบุกเข้ามากระทืบหรืออย่างไร ไม่ทราบได้?

          สมาชิกพรรคดักดาน ก็อยากให้รีบๆจบเสียโดยเร็ว ร้องเชียร์ (ในใจ) แบบเชียร์แข่งเรือพาย ให้รีบ... บึ้ดจ้ำบึ้ด...บึ้ดจำบึ้ด...บึ้ดจ้ำบึ้ด!!!

(ของที่มัน ‘ปล้น’ เขามา ก็แบบนี้แหละครับ
ต้องรีบ บึ้ดจ้ำบึ้ด...บึ้ดจำบึ้ด...บึ้ดจ้ำบึ้ด!!!...555)

(***คอลัมน์ ประจำสัปดาห์ ตอน ประชาธิปัตย์ อย่าทำตัวเป็น 
‘หิ่งห้อยติดหอยหมา’ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 27 สิงหาคม 2554)
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น