|
สังคมไทยเดินหน้ามาจนถึงจุดที่เรียกว่าไม่อาจ
หันหลังกลับได้อีกแล้วกรณีมาตรา 112
ที่กวาดล้างศัตรูทางการเมืองอย่างเอาเป็นเอาตาย
โดยอ้างว่าเพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ จับทุกคนที่พาดพิงถึงสถาบัน
ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าหากเปิดเผยข้อมูลกันอย่างตรงไปตรงมาและไม่ถูก
นักการเมืองนำมาใช้เป็นประโยชน์ทางการเมืองแล้วกลับเป็นการช่วยรักษาสถาบัน
ด้วยซ้ำ
กรณีแรกเกิดจากพรรคการเมืองล้าหลัง
กลุ่มคนที่มีธุรกิจผูกขาดและแอบอิงกับระบบราชการและนิติบริกรทั้งหลาย
ส่วนกรณีหลังเป็นกลุ่มคนที่หวังดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยสายตาที่ยาว
ไกลกว่า เช่น กลุ่มนิติราษฎร์ หรือคนชั้นนำทางปัญญา เช่น ส.ศิวรักษ์ ฯลฯ
เมื่อกลุ่มสหภาพยุโรปโดยทูตประจำประเทศไทยแสดงความกังวลเรื่องสิทธิ
เสรีภาพก็ถูกโจมตีว่ารับเงิน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
จนบรรดาทูตต้องบอกอย่างอารมณ์ขันว่า ตอนนี้ยังไม่ได้รับเงิน ยังรออยู่
หรือโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐที่แถลงในนามของรัฐบาลสหรัฐไม่เห็นด้วย
กับบทลงโทษที่รุนแรงในกฎหมายมาตรา 112
แม้กระทั่งการแข่งขันกีฬาฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ที่ผ่านมายังล้อ
เลียนการเมืองด้วยการสวมหน้ากากนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข อย่างไม่เกรงกลัว
แม้จะถูกห้ามหรืออาจถูกไล่ออกนอกพื้นที่ก็ตาม
ความจริงสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชนไทยนั้นมีความสัมพันธ์ที่แน่น
แฟ้นและพึ่งพาอาศัยกันและกันมายาวนาน จนกระทั่งมีการแบ่งพวกแยกสี
โดยเริ่มจากกลุ่มเสื้อเหลืองที่แอบอ้างพระราชอำนาจมาใช้เป็นเครื่องมือโจมตี
ฝ่ายตรงข้ามว่าไม่รักสถาบัน และลามปามไปจนถึงล้มสถาบันหรือล้มเจ้า
เพียงเพื่อกำจัดนักการเมืองบางคนบางกลุ่ม โดยอ้างความจงรักภักดี
ทั้งที่เป็นการทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องเสื่อมเสียและมัวหมอง
ที่สำคัญแกนนำคนเสื้อแดงและผู้นำด้านความคิด เช่น นายสมศักดิ์
เจียมธีรสกุล อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ก็ถูกกล่าวหาใส่ร้ายต่างๆนานา
เพราะนำเสนอข้อมูลและข้อเท็จจริงที่พาดพิงถึงสถาบัน
ผลที่ตามมาคือ ยิ่งทำให้สถาบันถูกกระทบมากขึ้น
ครั้นประชาชนจะให้รัฐบาลแก้ปัญหา รัฐบาลก็วางตัวนิ่งเฉย
ส่วนฝ่ายนิติบัญญัติก็ไม่เคลื่อนไหวใดๆ
เช่นเดียวกับฝ่ายตุลาการที่ตีความและวินิจฉัยแบบไทยๆ
ปฏิกิริยาจากนานาชาติที่มีต่อสถาบันเบื้องสูงทั้งทางตรงหรือทางอ้อม
ทั้งทางลับหรือทางแจ้ง ล้วนไม่เป็นผลดีต่อสถาบันเบื้องสูงทั้งสิ้น
ทั้งที่เมื่อปี พ.ศ. 2548
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำรัสว่า
ทรงไม่เห็นด้วยกับกฎหมายที่ทำให้สถาบันเบื้องสูงเกิดปัญหา
การรีบตัดไฟแต่ต้นลมเพื่อรักษาสถาบันเบื้องสูงให้มั่นคงจึงจำเป็นต้องทำ
อย่างการขอพระราชทานอภัยโทษให้กับผู้ต้องคดีหมิ่นในมาตรา 112
หากรัฐบาลและรัฐสภาไม่กล้าดำเนินการ
ประชาชนและคนที่จงรักภักดีต่อสถาบันก็อาจรวมตัวกันถวายฎีกาโดยอัญเชิญพระราช
ดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่ตั้ง
ผู้ได้รับพระราชทานอภัยโทษก็จะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
และไม่มีใครกล้าเอาสถาบันไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองหรือเอาไปใช้เป็นเครื่อง
มือทางการเมืองอีก
ประชาคมโลกจะเข้าใจถึงความผูกพันระหว่างสถาบันเบื้องสูงกับประชาชน
คนไทยจะเลิกทะเลาะและใส่ร้ายกัน ความสงบสันติก็จะกลับคืนมา
การพระราชทานอภัยโทษเป็นพระราชอำนาจโดยแท้และเป็นการเฉพาะพระองค์
เป็นพระราชอำนาจเดียวที่อาจกล่าวได้ว่า ฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ
ไม่ต้องรับสนองก็ได้
เมื่อปัญหาต่างๆรุมเร้าประเทศไทยเพราะความแตกแยกทางการเมือง
และส่งผลถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชน
แต่องค์กรและสถาบันหลักต่างๆกลับไม่กล้าแก้ปัญหาอย่างจริงจัง
จะเพราะเกรงกลัวอำนาจที่มองไม่เห็นหรืออำนาจขององค์กรอิสระที่มาจากการรัฐ
ประหารก็ตาม
ประชาชนจึงต้องออกมาเพื่อให้ความทราบถึงพระเนตรพระกรรณถึงข้อเท็จจริง
ซึ่งไม่ใช่การเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112
ที่ถูกใส่ร้ายว่าเป็นการล้มสถาบัน
ทั้งที่เป้าหมายที่แท้จริงคือการรักษาไว้ซึ่งพระราชอำนาจและความยั่งยืน
สถาพรของสถาบันเบื้องสูงตลอดไป
การขอพระราชทานอภัยโทษจึงเป็นทางออกในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองด้วยโดยไม่ต้องแก้ไขกฎหมายใดๆ
|
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น