|
บันทึกถึงสิ่งที่ขาดไป : รับบทเรียนในอดีต เพื่อระมัดระวังในอนาคต
ท่านประธาน นปช.
กรุณาเขียนชี้แนะหลักในการจัดการกับปัญหาความขัดแย้งในหมู่ประชาชน
ผู้ทำบันทึกเห็นว่าเป็นหลักที่ดีในการจัดการกับปัญหาบนจุดยืนระหว่างมิตร,มิ
ใช่ศัตรู นำเสนอได้ถูกต้องกับเวลา แต่ยังมีที่ขาดตกบกพร่องไป
ข้อชี้แนะของท่าน เรียกร้องให้ผู้วิพากษ์วิจารณ์ นปช.
ควรใช้ท่าทีที่ถูกต้อง อันเป็นการวิจารณ์ผู้วิจารณ์
ยังไม่ได้กล่าวถึงผู้ถูกวิจารณ์ พูดง่ายๆก็คือ ด้านเดียว
ผู้ทำบันทึกขอข้าม เรื่อง” แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง” ไป
เพราะเห็นว่าได้มีการวิเคราะห์วิจารณ์ หลักข้อนี้กันมามากแล้ว
แต่ขอบันทึกข้อสังเกตุว่า หลักนี้ใช้กับความสัมพันธ์ประเภทที่เรียกกันว่า
“ แนวร่วม “ ซึ่งความสัมพันธ์ชนิดนี้ บางเวลา
คู่ความขัดแย้งที่เป็นศัตรูกัน
ก็สามารถมาร่วมมือกันได้ชั่วระยะเวลาในการจัดการกับความขัดแย้งที่ใหญ่กว่า
หลักในการกำหนดวิธีการไปแก้ไขความขัดแย้งในหมู่ประชาชน อันมีหลักอยู่ 3
ประการนั้น นำเสนอเพื่อแก้ไขวิธีปฏิบัติเมื่อเกิดความขัดแย้งในพรรคปฏิวัติ
มาตราฐานการเรียกร้องจึงสูงโดยเฉพาะการเรียกร้องให้” เข้มงวดต่อตนเอง
ผ่อนปรนต่อผู้อื่น “ ส่วนที่เห็นว่ายังขาดไปนั้น อยู่ที่ ประการที่ 3
ซึ่งอาจกล่าวได้ดังนี้
1.สามัคคี – วิจารณ์ – สามัคคี
ข้อนี้จัดเป็นท่วงทำนองทั่วไป ที่เน้นความสามัคคีเป็นหลัก
วิจารณ์ข้อบกพร่อง ก็เพื่อยกระดับให้ก้าวหน้าไปพร้อมๆกัน
บรรลุถึงความสามัคคีกันในขั้นใหม่ ขจัดข้อบกพร่อง
ยกระดับไปสามัคคีขั้นที่ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีก
เช่นนี้ไปไม่สิ้นสุดอันเป็นวิภาษวิธีนั่นเอง
2.รักษาโรคเพื่อช่วยคน
ข้อนี้เน้นที่การวิจารณ์ใดๆในหมู่มิตรสหายร่วมแนวรบเดียวกันนั้น
อย่าไปโจมตีเหมือนเขาเป็นศัตรู
ต้องเริ่มต้นจากจุดยืนที่เขาและเราก็ต่อสู้อยู่ในแนวรบเดียวกัน
มีศัตรูตัวเดียวกัน เขาก็รักความเป็นธรรมเหมือนเรา เสียสละเหมือนเรา ฉะนั้น
ถ้าเห็นว่ามีข้อบกพร่องใดๆ
เราก็เริ่มต้นจากความพยายามที่จะช่วยเขาขจัดข้อบกพร่องนั้น
เพื่อยกระดับเขาขึ้นมา ไม่ใช่ใช้ท่าทีไปทำลายเขาเหมือนที่ใช้ทำลายศัตรู
วิธีการในข้อนี้จะเห็นว่าใช้เรียกร้องกับผู้ที่วิจารณ์
3.รับบทเรียนในอดีต เพื่อระมัดระวังในอนาคต
ข้อนี้เน้นที่ผู้ถูกวิจารณ์ เมื่อมีผู้วิจารณ์(หรือโจมตี)เรา
ก็ต้องพิจารณาสิ่งที่เขาวิจารณ์(หรือโจมตี)นั้นที่เนื้อหาที่เขาวิจารณ์
ไม่ใช่ตัดสินที่ท่วงทำนองที่เขาใช้กับเรา
ถ้าเห็นว่าเขาใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องในการวิจารณ์
ก็ไปทำความเข้าใจเรื่องท่วงทำนองกับผู้วิจารณ์ได้ ให้การศึกษาเขาได้
แต่จะไม่สนใจเนื้อหาที่เขาวิจารณ์เพียงเพราะใช้ท่วงทำนองไม่ถูกต้องนั้นยิ่ง
ไม่ได้ใหญ่ ถ้าเขาวิจารณ์ในเนื้อหาผิด ก็ค่อยๆไปทำความเข้าใจกับเขา
ถ้าเนื้อหาที่เขาวิจารณ์มาถูกต้อง เราก็ต้องรีบมาพิจารณาข้อบกพร่องนั้น
วิจารณ์ตนเองอย่างมีสำนึก แล้วรีบหาทางแก้ไขอย่าให้เสียหายต่อขบวนการ
ข้อนี้จะเน้นให้สรุป
รับบทเรียนในอดีต เพื่อระมัดระวังในอนาคต นั้น
นอกจากเสนอให้แก้ไขข้อผิดพลาดเพื่อก้าวเดินต่อไปแล้ว
ในกรณีที่เป็นองค์กรนำ แม้จะไม่ผิดตามที่วิจารณ์ ก็ต้องเรียกร้องตนเอง
โดยถือว่า “ ผู้พูดไม่ผิด ผู้ฟังพึงสังวรณ์ “
เริ่มต้นด้วยท่าทีทีเป็นมิตรและรับฟังอย่างน้อมใจ อันเป็นท่าทีที่ “
สามัคคี “ แล้วจึงค่อยๆไป “ วิจารณ์ “ เขา ทำความเข้าใจกับเขา ยกระดับเขา
แล้วสามารถ “ สามัคคี “ กับเขาได้ ก้าวต่อไป
ความเป็นองค์กรนำนั้น โดยธรรมชาติมักขยายความขัดแย้งไปโดยไม่รู้ตัว
ในอดีต พรรคปฏิวัติเก่า เคยทำความผิดพลาดข้อนี้มา
เมื่อการปฏิวัติเกิดความชะงักงัน
ไม่สามารถขยายตัวจากเขตป่าเขาลงสู่ที่ราบได้
ผู้ปฏิบัติงานจำนวนมากได้เสนอให้วิจารณ์ข้อบกพร่องในการทำงาน
พยายามค้นคว้าหาทางแก้ไขสภาพที่ชะงักงันนั้น แน่นอน
ย่อมมีการวิจารณ์ท่วงทำนองและวิธีคิดของฝ่ายนำด้วย เมื่อปัญหานี้ขยายตัวไป
แทนที่จะค้นคว้าข้อผิดพลาดที่ตัวทำมา
ฝ่ายนำกลับทำผิดซ้ำหนักเข้าไปอีกโดยขยายความขัดแย้งไปโดยไม่รู้ตัว
เริ่มต้นจาก
โจมตีผู้วิจารณ์เป็นนายทุนน้อยมีความเคยชินที่ไม่ดีของสังคมเก่าติดเกรอะ
กรัง,
ผู้วิจารณ์ทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง,ไปจนถึงผู้วิจารณ์จะช่วงชิงการนำ,
เป็นอันตรายต่อความคิดชนชั้นกรรมาชีพ, เป็นอันตรายต่อการปฏิวัติ
แม้จะใช้ท่าทีที่ดูดุเดือดก้าวร้าว
แต่ผู้วิจารณ์ก็เริ่มต้นแค่ปัญหาการบริหารจัดการของการทำงานอันเป็นปัญหาราย
วันที่เกิดขึ้นทุกๆองค์กรเท่านั้น
แต่ฝ่ายนำกลับขยายมันไปเป็นปัญหาจุดยืนทางชนชั้น
สุดท้ายพรรคปฏิวัติเก่านั้นก็หกคะเมนล้มคว่ำไป ทั้งท่านประธาน นปช.,และ
คนอื่นรวมทั้งผู้ทำบันทึก ก็อยู่ในเหตุการณ์นั้น
และรับเป็นบทเรียนกันมาแล้ว สมควรที่จะระมัดระวังกันต่อไป
ข้อเรียกร้องต่อฝ่ายนำนั้นย่อมสูงกว่า
นอกเหนือไปจากการค้นคว้าชี้นำทางยุทธศาสตร์ยุทธวิธีอย่างกระตือรือร้นแล้ว
ยังเรียกร้องให้หนักแน่นมากกว่าผู้ปฏิบัติงาน(หรือมวลชน)ด้วย
เมื่อเกิดการวิจารณ์(หรือโจมตี)ขึ้น
จะโต้ตอบก็ต้องกระทำอย่างผ่อนปรนและอย่างมีการจำแนก
แต่จะต้องไม่ขยายความขัดแย้งโดยเด็ดขาด ท่าทีแบบ “ มาไม้ไหน ไปไม้นั้น”
ใช้กับศัตรูเท่านั้น สำหรับมิตรร่วมแนวแล้ว ต้องระมัดระวังไม่ให้กลายเป็น “
สามัคคี – ประจาน – แตกสามัคคี “ ไป เมื่อมีผู้วิจารณ์(หรือโจมตี)มา
ก็ถือเป็นโอกาสสำรวจสิ่งที่ทำมาเสียเลยว่ามีข้อบกพร่องหรือไม่,
ยังสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันหรือไม่, ก้าวล้ำหน้ามวลชนไปหรือไม่
หรือว่าล้าหลังมวลชน เหล่านี้เป็นภาระที่ฝ่ายนำต้องสำรวจและค้นคว้าอยู่ตลอด
ผู้ทำบันทึกขอขอบคุณท่านประธาน นปช.
ในโอกาสที่ได้ฟื้นฟูหลักคำสอนเกี่ยวกับการจัดการกับความขัดแย้งมาในครั้งนี้
และขออภัยท่านผู้อ่านที่บันทึกนี้แคบและมีลักษณะเฉพาะ
แต่หลักการจัดการความขัดแย้งที่กล่าวมานั้นกว้างและมีลักษณะทั่วไป
ไม่เพียงแต่เคยใช้ในพรรคปฏิวัติเท่านั้น
ยังใช้กับองค์กรแนวร่วมและองค์กรที่มีลักษณะเดียวกันไปบรรลุความเข้มแข็งของ
องค์กรได้เช่นกัน. |
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น