ณ สถานที่อันเงียบเหงา
เดือนกว่าของการทำรัฐประหาร เป็นความสว่างในตวงตา ที่กลับมาเห็นความจริงของประเทศไทยอย่างเด่นชัดอีกครั้ง ความจริงที่ว่า คือความขัดแย้งในหมู่ชนชั้นนำหรือบุคคลชั้นสูง ซึ่งได้ทำลายอนาคตของคนไทย และประเทศไทยลงไปอย่างน่าเสียดายอย่างยิ่ง
ความจริงข้อนี้ เป็นสิ่งที่ไม่เคยถูกนำมาวิเคราะห์ ไม่เคยนำมาศึกษา ไม่เคยนำมาเพ่งมองให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ และนำไปสู่การกำหนดอนาคตประเทศว่าจะอยู่อย่างไรในโลกยุคปัจจุบัน
เป็นความจริงที่พูดคุยกันหลังไมค์ วิเคราะห์กันหลังฉาก ตามเอกลักษณ์ของสังคมไทยที่เป็นสังคมต่อหน้าคือความเท็จ ลับหลังคือความจริง การไม่พยายามศึกษาวิเคราะห์ความเป็นจริงของประเทศ เพื่อนำไปสู่การวางฐานของประเทศให้มั่นคงถาวรในอนาคตนี่่เอง นอกจากจะไม่สามารถทำให้ประเทศไทย เข้มแข็ง แข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ได้อย่างน่าภาคภูมิใจแล้ว ยังไม่สามารถสร้างความเป็นปึกแผ่นมั่นคงภายในประเทศได้ด้วย แม้ว่าเราจะผ่านบทเรียนอันเลวร้าย ผ่านประวัติศาสตร์การต่อสู้ที่เจ็บปวดมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
ความเป็นจริงที่เด่นขึ้นอีกครั้งก็คือ กลุ่มชนชั้นสูง หรือ ชนชั้นนำของประเทศไทย ที่ยึดกุมทรัพยากร อำนาจ และความเป็นประเทศไทยไว้ เพียงกลุ่มเดียวหรือเพียงไม่กี่กลุ่มนี้ กำลังอ่อนล้า อ่อนล้าทั้งปัญญา และอ่อนล้าทางร่างกาย จึงเต็มไปด้วยความสับสน และขัดแย้งกันเองอย่างรุนแรง
อาการหวาดกลัวว่า อำนาจ โภคทรัพย์ และผลประโยชน์ทั้งหลาย ที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวยึดถือ ครอบครองมาเป็นเวลานาน กำลังจะถูกแย่งชิง แบ่งปัน หรือยึดครองโดยกลุ่มบุคคลอื่่น หรือ แม้แต่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศตัวจริง เป็นความหวาดกลัวอย่างที่สุดของ บุคคลกลุ่มนี้
การแก้ปัญหาเพื่อขจัดความหวาดกลัวของบุคคลชนชั้นนำเหล่านี้ คือการสร้างหลุมดำขนาดใหญ่ขึ้นในใจกลางประเทศ ด้วยหวังที่จะให้หลุมดำ ดูดกลืนเอาความหวาดกลัวของพวกตนให้หมดสิ้นไป แต่การแก้ปัญหาแบบสิ้นปัญญาเช่นนี้ กลับทำให้ ประชาชนคนไทยทั้งประเทศต้องมาพลัดตกลงไปในหลุมดำแห่งหายนะนี้ด้วย นี่คือความเป็นจริงที่เจ็บปวดใจของคนไทย
การแก้ปัญหาด้วยการ รัฐประหาร จึงเป็นความต้องการของชนชั้นนำผู้มีอำนาจและบุคคลชั้นสูงในสังคมไทย ที่ต้องการจะรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตัวเองไว้ให้นานที่สุดเท่่านั้น ไม่ได้หวังที่จะปฎิรูปประเทศให้ คนไทยได้ภาคภูมิใจในความเป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง หรือไม่ได้ต้องการที่ีจะหยิบยื่นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ให้กับประชาชนแต่อย่างใด
ดูเหมือนว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาไม่ได้สร้างสังคมไทยให้น่าอยู่ ไม่ได้สร้างอนาคตของประเทศให้สดใส เพื่อลูกหลานไทยในอนาคต เหมือนอย่างที่ได้โฆษณาเอาไว้แต่อย่างใด
ดังนั้น จะแน่ใจได้อย่างไรว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ไม่ใช่เครื่องมือหนึ่งของชนชั้นนำ ที่ออกมาเพื่อ ทำหน้าที่่พิทักษ์ รักษาอำนาจและผลประโยชน์ของชนชั้นนำ. จะคาดหวังได้อย่างไรว่า คสช.จะนำพาประเทศ ก้าวข้ามหุบเหวแห่งหายนะ หรือ หลุมดำที่ชนชั้นนำสร้างขึ้น เพื่อนำความสงบสุขมาสู่่สังคมไทย
เกือบ 30 ปีของการ ทำหน้าที่สื่อสารมวลชน เพื่อสะท้อนความจริงของสังคมไทย หลายครั้ง ภาพสะท้อนของสังคมไทยที่ออกจาก กระจกใบนี้ อาจจะพร่ามัว แต่หลายครั้งกระจกใบนี้่ ก็ทำหน้าที่สะท้อนความเป็นจริงของสังคมไทยได้อย่างชัดเจน แม้จะ ถูกกระทำ ย่ำแย่ ถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพจนเกือบจะยืนหยัดอยู่ไม่ได้
สิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และความเป็นประชาธิปไตย คือ อุดมการณ์อันสูงสุด ที่ผู้เขียน พยายามรักษาและหวงแหน ในการประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชน ตลอดมาเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา
ถึงเวลานี้ ด้วย อำนาจ ที่มาจากปลายกระบอกปืน อำนาจเผด็จการทหาร ที่ เข้มแข็งรุนแรงมากกว่าทุกครั้ง คงถึงเวลาที่จะสารภาพว่า ความอดทนอดกลั้น ได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
เพราะนอกจากต้องอดทน อดกลั้่น ที่อยู่ในฐานะผู้ถูกกระทำแล้ว การเห็นภาพประชาชนผู้รักประชาธิปไตย เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ออกมา เรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ศักดิ์ศรีความเป็นคน บนท้องถนน แล้วถูกจับกุม ถูกกระทำย่ำยีอย่างไร้ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ต่อหน้าสื่อมวลชนจำนวนมาก ที่ทำมาหากินอยู่บนหลัก สิทธิเสรีภาพและความเป็นธรรม แต่กลับช่วยอะไรไม่ได้
อีกทั้ง ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนโดยส่วนใหญ่ กลับสยบยอม ต่อการทำลายจิตวิญญาณแห่งวิชาชีพของตนเอง ยิ่งทำให้สะท้อนใจว่า แล้วจะทนอยู่ในฐานะ นักสื่อสารมวลชน ที่ทำตัวเหมือนคนโกหกหลอกลวงตัวเอง และหลอกลวงคืนอื่นต่อไปได้อย่างไร
ณ สถานที่อันสงบเงียบแห่งนี้ จึงขอประกาศดัง ๆ ว่า "ข้าพเจ้า..นายจอม เพชรประดับ สื่อมวลชนอิสระ ขอยุติบทบาท การทำหน้าที่สื่อสารมวลชนในประเทศไทย ตั้งแต่บัดนี้ จนกว่า คนไทยทั้่งประเทศจะได้รับสิทธิเสรีภาพกลับคืนมา และจนกว่า ประเทศไทย จะกลับมาปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง อีกครั้ง"
ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจตลอดมา ...... สวัสดีครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น