ขณะที่หลายฝ่าย กำลังวิพากษ์วิจารณ์ รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวของ คสช. ที่ห่วงกันว่า จะทำให้ ประเทศไทย ถอยหลังไปสู่การปกครองแบบเผด็จการทหารยาวนานอีกหลายสิบปีและประเทศไทย อาจจะเป็นตัวอุปสรรคต่อการพัฒนาในภูมิภาคอาเซี่ยน
แต่สิ่งที่ผมติดใจ และให้ความสนใจเป็นพิเศษคือ แถลงการณ์ฉบับหนึ่ง ที่ออกโดย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2557 ซึ่งได้อ่านผ่านเว็บไซด์ประชาไท
เป็นแถลงการณ์อันเป็นท่าที ของ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ที่ได้แสดงความวิตกกังวล เป็นห่วงเป็นใยอย่างยิ่ง ต่อคำตัดสินของศาลเมียนม่าร์ ในเขตมะเกว สั่งจำคุกนักข่าว 4 คนที่ลักลอบเข้าไปหาข่าวเกี่ยวกับการผลิตอาวุธเคมีในเขตหวงห้ามของทหารของพม่า
บางช่วงบางตอนของแถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า “เป็นเรื่องน่าเศร้า และถือเป็นความถดถอยในเรื่องสิทธิและเสรีภาพสื่อมวลชนในพม่าอย่างรุนแรง…เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ สะท้อนถึงความถดถอยของเสรีภาพสื่อมวลชนในเมียนมาร์ซึ่งยังคงอ่อนไหวอยู่ และสร้างความหวดกลัวว่า เมียนมาร์ จะกลับไปมีการเซ็นเซอร์สื่ออย่างเข้มงวดอีกครั้ง” แถลงการณ์ระบุ
ตอนท้ายของแถลงการณ์ฉบับนี้สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ยังแสดงความเห็นใจต่อเพื่อนสื่อมวลชนในเมียนม่าร์ อีกทั้ง ยังขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการต่อสู้กับการปฎิบัติที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และหวังที่จะเห็นทางออกที่ดีที่สุดที่จะส่งเสริม และปกป้องเสรีภาพของสื่อในเมียนมาร์
หลังจากอ่านเนื้อหาสาระของแถลงการณ์ดังกล่าวแล้ว ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้นมากมาย ทั้งรู้สึกดี และมีคำถามรวมทั้งรู้สึกละอายใจอยู่ลึก ๆ ด้วยเหมือนกัน
รู้สึกแรกก็คือ การออกแถลงการณ์ดังกล่าว เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมเพราะเป็นการแสดงออกถึงการไม่เห็นด้วย กับการที่เพื่อนร่วมวิชาชีพถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพอย่างรุนแรง เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่ สมาคมวิชาชีพฯ จะต้องออกมาแสดงการคัดค้าน หรือ ไม่เห็นด้วย กับการละเมิด หรือการปิดกั้นการทำหน้าที่ตามหลักจริยธรรมแห่งวิชาชีพสื่อ เพื่อยืนยันในหลักของสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนด้วยกัน
แต่ความรู้สึกที่รบกวนจิตใจอย่างยิ่ง และเป็นคำถามใหญ่ เมื่ออ่านแถลงการณ์ฉบับนี้ นั่นก็คือ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ไทย ไม่ได้รู้สึกอ่อนไหว หรือ หวาดกลัวต่อ สถานการณ์การละเมิดสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนไทยในเวลานี้บ้างเลยหรือ สิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนไทย อยู่ในสภาะที่ถดถอยอย่างรุนแรงด้วยเหมือนกันไม่ใช่หรือ
ไม่เฉพาะสิทธิเสรีภาพของสื่อไทยเท่านั้น ที่จะถูกละเมิด หรือถูกทำลายจากเผด็จการทหาร คสช. แม้แต่ ประชาชนคนไทยเวลานี้ ก็ถูกปิดกั้นสิทธิเสรีภาพการรับรู้ข้อมูลข่าวสารไปด้วยพร้อมทั้งยังถูกริดรอน สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก หรือความคิดเห็นทางการเมืองอย่างตรงไปตรงมาด้วยเช่นกัน
อย่างนี้แล้ว สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ไม่ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการต่อสู้กับปฎิบัติการที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และหาทางออกเพื่อร่วมกันปกป้องสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนไทยด้วยกันเองบ้างหรือ
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ไทย มองไม่เห็นภาวะแห่งความถดถอยของการริดรอน และการละเมิดสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนไทย รวมทั้งประชาชนคนไทย ที่นับวันจะรุนแรงมากขึ้นนี้เลยหรืออย่างไร
มีนักข่าว นักหนังสือพิมพ์ไทย จำนวนไม่น้อย ที่ถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพในขณะที่ปฎิบัติหน้าที่อยู่ ณ เวลานี้ แม้ว่าบางคนอาจจะไม่ได้เป็นสมาชิกของสมาคมฯก็ตาม แต่พวกเขาอยู่ในสภาวะที่มีความเสี่ยงอย่างยิ่ง
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ไทย ได้ช่วยเหลือ หรือทำอะไรให้พวกเขาเหล่านั้นเกิดความมั่นใจ และรู้สึกปลอดภัยในการปฎิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาบ้างแล้วหรือยัง
ไม่ว่าจะเป็น นักข่าวประชาไท บก.นิตยสารฟ้าเดียวกัน นักข่าวเนชั่น อย่างคุณประวิตร โรจนพฤกษ์ และอีกหลายต่อหลายคน ในหลายสำนักข่าว ที่ถูก คสช. ข่มขู่ คุกคามให้เกิดความกลัว ทั้งการเรียกไปรายงานตัว สั่งให้ยุติการทำหน้าที่ในลักษณะต่าง ๆ ที่อ้างว่า จะเป็นการยุยงให้เกิดความขัดแย้ง แตกแยก หรือแม้แต่การปิดสถานีโทรทัศน์ สำนักข่าว หรือ สื่อต่าง ๆ ที่คัดค้าน หรือ เห็นต่าง กับ เผด็จการทหาร
ถ้าจะยกตัวอย่างให้ใกล้เคียงกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับ 4 นักข่าวชาวเมียนมาร์ มากที่สุด นั่นก็คือ กรณีของ คุณสมยศ พฤษาเกษมสุข ที่ศาลไทยตัดสินสั่งจำคุก เป็นเวลาถึง 15 ปี ในข้อหาหมิ่นสถาบัน โดยไม่มีการสอบสวน และไม่ยอมให้ประกันตัว
ความถดถอยที่กลายเป็นวิกฤติแห่งการละเมิดสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนไทยในลักษณะนี้ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ทำไมถึงเพิกเฉย กับเพื่อนร่วมวิชาชีพที่เป็นคนไทยด้วยกันเอง
หรือมองว่า เป็นสื่อมวลชนคนละพวกกับสื่อที่สังกัดอยู่ในสมาคมวิชาชีพ หรือคิดว่าเป็นสื่อที่รับใช้กลุ่มการเมือง เป็นทาสของกลุ่มอำนาจใหม่ที่กำลังทำสงครามอยู่กับกลุ่มอำนาจเก่า หรือเป็นสื่อที่ใช้เสรีภาพอย่างไร้ความรับผิดชอบ เพราะนำเสนอข้อมูล ข้อเท็จจริง ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งยั่วยุให้เกิดความรุนแรงตามการกล่าวอ้างของเผด็จการทหาร คสช
จุดยืนของ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย อยู่ตรงไหนกับการต่อสู้ ระหว่างกลุ่มประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตย กับ กลุ่มอำนาจเก่าที่กำลังจะรื้อฟื้นอำนาจเผด็จการขึ้นมาอีกครั้ง
ระหว่างสื่อมวลชนที่กำลังเรียกร้องประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพให้ประชาชนคนไทย กับสื่อมวลชนที่รับใช้เผด็จการ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ไทย จะเลือกสนับสนุนหรือปกป้องฝ่ายใด หรือยังคงอาศัย กลุ่มอำนาจเผด็จการเก่า เป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กคอยคุ้มกันให้สถานภาพของตัวเองและของสมาคมวิชาชีพดำรงอยู่ต่อไปได้
เป็นไปได้อย่างไร ที่สมาคมวิชาชีพสื่อมวลชนไทย ถึงไม่ได้รู้สึกหวั่นไหว ในบรรยากาศแห่งความหวาดกลัว ซึ่งปกคลุมอยู่ทั่วประเทศไทยในเวลานี้ แม้กระทั่ง สิทธิเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ การตรวจสอบอำนาจรัฐ ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของสื่อมวลชนเอง กลับถูกยอมให้ละเมิดได้อย่างไม่ขัดขืน อย่างนี้แล้วจะหาญกล้าที่จะประกาศว่า มีเสรีภาพบนความรับผิดชอบต่อการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนได้อย่างไร
กว่า 2 เดือนที่ผ่านมา สังคมไทย ยังไม่เห็นความกล้าหาญและจริงจังของ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ที่แสดงออกถึงการต่อต้านหรือการคัดค้าน เผด็จการทหารอย่างเป็นรูปธรรม ทำได้เพียงแค่การออกแถลงการณ์แสดงความห่วงใยและมีท่วงทำนองที่รับได้กับการทำรัฐประหารเสียด้วยซ้ำ และแม้แต่การยอมที่จะรอมชอมยอมความกัน
สื่อมวลชนของเมียนม่าร์เสียด้วยซ้ำ ที่แสดงออกในเชิงสัญญลักษณ์เพื่อต่อสู้กับอำนาจเผด็จการทหารอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม
ด้วยการวางอุปกรณ์การประกอบวิชาชีพสื่อกองไว้กับพื้น พร้อมกับนั่งปิดหูปิดตา ปิดปากตัวเอง เพื่อบอกให้โลกรู้ว่า ไม่เห็นด้วยกับอำนาจเผด็จการ และพวกเขาก็ยังคงปฎิบัติหน้าที่ในภาวะแห่งการปิดกั้นและถูกริดรอนสิทธิเสรีภาพต่อไป ซึ่งก็ไม่แตกต่างกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับสื่อมวลชนไทยเวลานี้
ดังนั้นการที่ สมาคมวิชาชีพสื่อมวลชนไทย แสดงท่าทีรอมยอมอ่อนข้อให้กับ อำนาจเผด็จการทหารที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จล้นฟ้า และกำลังใช้อำนาจที่ได้มาอย่างไม่ชอบธรรมนั้นนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแก้ไขกฎกติกาการปกครองประเทศครั้งสำคัญเช่นนี้ ถือเป็นสัญญาณอันตรายอย่างยิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสังคมไทยในอนาคต
ในฐานะที่เป็นสื่อมวลชนคนหนึ่ง นับเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่งหากหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นกับประเทศชาติในอนาคต ส่วนหนึ่งมาจากน้ำมือ และความไม่รับผิดชอบของสื่อมวลชนที่หลอกตัวเองว่ามีเสรีภาพ
ถึงตอนนั้น ก็คงจะได้เห็นแถลงการณ์ของ สมาคมนักข่าวและนักหนังสือพิมพ์ของเมียร์ม่า ที่แสดงความวิตกกังวลและห่วงใยอย่างยิ่งต่อภาวะถดถอยของการละเมิดสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนในประเทศไทย และคงจะได้เห็นน้ำใจอันงดงามของเพื่อนร่วมวิชาชีพชาวเมียนม่าร์ ที่อาสาจะเป็นส่วนหนึ่งในการต่อสู้กับปฎิบัติการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยในประเทศไทย
ถึงเวลานั้น ผมขอเป็นคนแรก ที่จะกล่าวขอบคุณ สมาคมวิชาชีพสื่อมวลชนเมียร์ม่าไว้ล่วงหน้า
ถึงเวลานั้น ผมขอเป็นคนแรก ที่จะกล่าวขอบคุณ สมาคมวิชาชีพสื่อมวลชนเมียร์ม่าไว้ล่วงหน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น