ที่มา prachatalk.net
ตามที่ท่านคูอาข่าได้นำบทความเรื่อง Thailand"s Junta struggles to Turn Around the Economy มาโพสท์ไว้ ในฐานะที่ผมเป็นผู้ประกอบการ คนหนึ่ง ขอเล่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของตัวผมเองในเวลานี้ให้ทุกท่านได้ฟัง บางที่มันอาจสะท้อนให้เห็นสภาพของเศรษฐกิจของประเทศได้ชัดเจนขึ้น จะไม่บอกว่าทำธุรกิจอะไรเพราะต้องอธิบายยาว แต่บอกว่าสินค้ามีจำหน่ายทั่วประเทศ จากธุรกิจที่เริ่มเมื่อปี 2544 มีการเจริญเติบโตทุกปี มาพีคสุดเมื่อปี 2548 ตอนที่พรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้งเป็นครั้งที่สอง แต่หลังจากสนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาประท้วงเมื่อปลายปี 2548 และตามด้วยการปฏิวัติเมื่อปี 2549 ก็ถดถอยมาตลอด บางปีไม่ถึงกับถอยแต่ก็ไม่โต มาค่อนข้างดีในปี 2555 และ 2556 แต่ก็ยังห่างกับปี 2548 ที่สังเกตุก็คือเวลามีข่าวว่าจะมีการประท้วง ยอดขายจะหายไปทุกที อย่างเช่นเพียงแค่มีข่าวว่าเสธอ้ายจะชุมนุม ยอดสั่งซื้อหดทันที สำหรับในปีนี้นั้นไม่ต้องพูดถึง เอาเป็นว่าทั้งปีจะได้ 20 เปอร์เซ็นต์ของปี 2548 หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ อยากจะบอกว่าหนทางเดียวที่จะฟื้นเศรษฐกิจได้คือการเอาประชาธิปไตยกลับคืนมา ถ้าหากสถานการณ์มันอึมครึมอยู่อย่างนี้ แก้ให้ตายก็แก้ไม่ได้
เนื่องจากเห็นว่าบทความดังกล่าวเป็นบทความที่ดี จึงขออนุญาตนำมาแปลเป็นภาษาไทยให้ท่านที่อาจเป็นผู้ประกอบการเหมือนผม หรือผู้ที่สนใจในปัญหาเศรษฐกิจของบ้านเมืองได้รับทราบกันทั่วทุกคน และเตรียมตัวเผชิญกับปัญหาที่กำลังจะเกิดในอนาคตอันใกล้
...
ทหารไทยกำลังประสบปัญหาในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ
Thailand's Junta Struggles to Turn Around the Economy
http://www.businessweek.com/articles/2014-07-07/thailands-junta-struggles-to-turn-around-the-economy
บทความเขียนโดย : Bruce Einhorn – 7 กรกฎาคม 2557
บรรดาท่านนายพลทั้งหลายที่เวลานี้กำลังบริการประเทศไทยอยู่ ดูเหมือนว่าจะเอาอย่างมาจากการทำรัฐประหารของผู้นำทางทหารของประเทศเพื่อนบ้าน ตอนที่ทหารเมียนม่าร์(ก็พม่านั่นแหละ) บดขยี้ผู้เรียกร้องประชาธิปไตยในปี 2531 คณะรัฐประหารที่มีความคิดว่า สงครามคือการสร้างความสงบ การไม่ฟังเสียงประชาชนคือการสร้างความเข้มแข็ง เรียกตัวเองว่า “คณะฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ” เอาตัวออง ซาน ซูจีไปขัง ปิดประเทศไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ไม่เอาประชาธิปไตย อยู่ในอำนาจมาหลายสิบปีก่อนที่จะปฏิรูปการเมืองเมื่อปี 2554
หลังเข้ายึดอำนาจเมื่อเดือนพฤษภาคม คณะรัฐประหารเลือกใช้ชื่อที่คล้ายกับชื่อคณะรัฐประหารของพม่า “คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ” ควบคุมตัวผู้ที่อยู่ตรงข้ามและจับกุมผู้ที่บังอาจอ่านหนังสือ 1984 ของจอร์จ ออร์เวล ในที่สาธารณะ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นายทหารใหญ่ของไทยเปรียบเทียบการกระทำของเพื่อนนายพลทั้งหลายกับการกระทำของนายพลทหารพม่า ที่ทำให้ประเทศพม่าไม่มีใครคบมาหลายสิบปี “รัฐบาลพม่าเห็นด้วยกับการกระทำของทหารไทยในการนำความสงบกลับคืนมา” พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุดกล่าวเมื่อวันศุกร์ ตามรายงานของรอยเตอร์ “พม่าก็เกิดเหตุการณ์คล้ายกับของเราเมื่อปี 2531 พวกเขาจึงเข้าใจดี”
คณะรัฐประหารไทยเลยหวังว่าประเทศอื่นๆคงจะเข้าใจเหมือนพม่า ด้วยการกระจายข่าวสารออกไปว่าประเทศไทยกลับมาสงบเหมือนเดิมแล้ว ดังเช่นเมื่อเดือนที่แล้ว คณะรัฐประหารประกาศยกเลิกเคอร์ฟิว ที่ประกาศใช้ ตั้งแต่ตัดสินใจว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนหมดความเชื่อถือในการบริหารประเทศ การยกเลิกเคอร์ฟิวก็เพื่อส่งข่าวไปยังนักท่องเที่ยวว่า “ประเทศไทยปลอดภัยเหมือนเดิมแล้วนะจ๊ะ” แต่ขอโทษ จำนวนนักท่องเที่ยวในเดือนมิถุนายนหายไป 37 เปอร์เซ็นต์ หลังจากที่หายไปแล้ว 22 เปอร์เซ็นต์เมื่อเดือนพฤษภาคม
ในภาคอื่นๆคณะรัฐประหารไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเช่นกัน การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญจะช่วยส่งเสริมให้มีการเจริญเติบโตในระยะสั้นและจะช่วยให้ประเทศไทยโงหัวขึ้นได้ในอนาคต หลังจากน้ำท่วมเมื่อปี 2554 ที่สร้างความฉิบหายใหญ่หลวงให้กับประเทศไทยในรอบ 70 ปี รัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่บริหารประเทศอยู่เวลานั้นเสนอให้ทุ่มเงินประมาณ 3 แสนล้านบาทเพื่อจัดทำโครงการจัดการน้ำ แต่ตอนนี้โครงการนี้ไม่รู้เป็นอย่างไร ตามรายงานที่ตีพิมพ์เมื่อวันศุกร์ของโนมูระ
ยังมีอีก สนามบินสุวรรณภูมิที่ตอนนี้จำเป็นต้องขยาย ตอนที่สร้างได้รับการออกแบบให้รองรับผู้โดยสารปีละ 45 ล้านคน แต่ตอนนี้ต้องให้บริการผู้โดยสารถึงปีละ 51 ล้านคน การขยายสนามบินที่วางแผนไว้ว่าจะเริ่มก่อสร้างปลายปีนี้และจะแล้วเสร็จในปี 2560 แต่ท่านนายพลทั้งหลายบอกว่าค่าใช้จ่ายแพงเกินไป เลยต้องหยุดไว้ก่อน ประธานของการท่าอากาศยานฯให้สัมภาษณ์เมื่อวันพฤหัส
คณะรัฐประหารพยายามที่จะใช้คำพูดสร้างบรรยากาศทางเศรษฐกิจ อย่างเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา บอกว่าทหารจะรักษาค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวนเพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออก เขาบอกว่าต้องการให้ธนาคารของรัฐปล่อยกู้ให้กับคนยากจนเพิ่มมากขึ้น ที่สุดของที่สุดก็คือ คณะนายทหารที่เตะกระเด็นผู้บริหารที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนออกไป แล้วตั้งตนเองขึ้นมาทำหน้าที่แทน ต้องการทำให้ประชาชนเชื่อว่า ผู้ที่เข้ามาทำหน้าที่บริหารในตำแหน่งสำคัญๆเป็นคน “ดีและซื่อสัตย์” ทั้งนั้น
ความสุขกลับคืนมาแล้วใช่ไหม? ตามที่ท่านประยุทธบอก เศรษฐกิจจะขยายตัวมากกว่า 2 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ ตัวเลขเท่านี้สำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยเขาถือว่า”ถดถอย” แต่ก็ยังดีกว่าตัวเลขของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เมื่อเดือนที่แล้วออกมาลดการคาดการลงเหลือแค่ 1.5 เปอร์เซ็นต์จากที่เคยคาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ 2.7 เปอร์เซ็นต์
แต่ได้แค่ 1.5 เปอร์เซ็นต์ก็ขอให้ได้จริงเถอะ เศรษฐกิจของประเทศไทยน่าจะเติบโตที่ 1.1 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ตามรายงานที่ตีพิมพ์ของอียูเบน พาราคูเอลเลส์ กับ ลาวานยา เฟนคาเทสวาราน แห่งโนมูระ ที่แย่กว่านั้น นักพยากรณ์ทางเศรษฐกิจของโนมูระบอกว่ายังมองไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวในปีหน้า หมายความว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยจะขยายตัวเพียงแค่ 3.3 เปอร์เซ็นต์ในปี 2558 ใช่แล้ว ทหารกำลังพยายามทำให้เศรษฐกิจไทยเดินไปข้างหน้าอีกครั้งหลังจากหยุดนิ่งเพราะปัญหาทางการเมืองมาหลายเดือน ได้ประกาศเมื่อวันที่ 2 กรกฏาคม ว่ายังไม่มีแผนขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มกับภาษีนิติบุคคลอย่างน้อยก็อีกปีหนึ่ง แต่แผนการที่ว่า “ไม่ทำให้การเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น” ตามรายงานที่ตีพิมพ์ “ตัวเลขล่าสุดของระดับหนี้สินในครัวเรือนและจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจยังอ่อนแอ ถึงแม้ว่าจะมีสัญญาณบ่งบอกว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้น
ดูเหมือนว่าคนไทยจะรู้สึกดีขึ้น หลังจากที่ความเชื่อมั่นลดลงอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสที่สองของปีที่แล้ว ดัชนีที่เป็นตัววัดความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้นในสองเดือนที่ผ่านมา ตัวเลขของดัชนีอยู่ที่ 84.8 เมื่อเดือนมีนาคม 2556 หล่นมาอยู่ที่ 67.8 ในเดือนเมษายนของปีนี้ ต่ำสุดในรอบ 13 ปี ตอนนี้ถึงจะตีกลับมาได้ ก็ได้เพียงแค่ 75.1 เท่านั้น การเพิ่มขึ้น “อาจสะท้อนให้เห็นผลดีของการทำรัฐประหารที่ทำให้เกิดความสงบที่เป็นตัวช่วยให้เศรษฐกิจเจริญเติบโต” โทมัส จาสทร์ซับ นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมของบลูมเบิร์กเขียนไว้ในรายงานที่ตีพิมพ์เมื่อวันศุกร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น