วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

การแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะ..ดรรชนีชี้วัด..ความมั่นคงทางการเมือง


ภาพที่ 1 การแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะ..จุดเริ่มต้น..ของประชาธิปไตย

ประวัติศาสตร์..การแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะนั้น..มีมานานหลายพันปี
ทั้งในหมู่ของชาวอินเดียโบราณ..เมโสไปเตเมีย..และชาวกรีก 3,000 ปีก่อน
แต่รูปแบบที่เป็นรากฐาน..ของประชาธิปไตยนั้น..เกิดขึ้นโดยชาวกรีกแห่งกรุงเอเธนส์

การแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะ..ที่เป็นพื้นฐานของประชาธิปไตยนั้น
จะเป็นการพูดถึง..การสร้างความยุติธรรมในสังคม..เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
ความคิดสร้างสรรค์..ในการพัฒนา..และนำพาสังคม..ให้เดินไปสู่อนาคตที่สดใส

นั่นหมายความว่า..คนที่จะมีความสามารถ..สามารถแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะได้นั้น
ต้องมีพื้นฐานความรู้..ความเข้าใจ..ปัญหาในสังคม..มองเห็นวิธีแก้..และมองเห็นภาพในอนาคต
คนที่มองไม่เห็นวิธีแก้ปัญหา..ก็จะแสดงออก..ด้วยการเรียกร้อง..ให้หาวิธีแก้ไขปัญหา
ก่อให้เกิดการร่วมแรงร่วมใจ..เกิดการคิด..เกิดการวิเคราะห์ปัญหาร่วมกัน (Brainstorming)

เพราะฉะนั้น..การแสดงความคิดเห็น..ในระบอบประชาธิปไตยนั้น..ย่อมไม่ใช่การระบายความเครียด
ไม่ใช่..การใช้คำหยาบ..การใช้ภาพลามกอนาจาร..หรือการแสดงอาการป่วยทางจิต
ปัญหาเหล่านี้..น่าจะบ่งบอกถึง..ความรุนแรงของความขัดแย้ง..ในสังคม
สังคมที่ยังไม่เข้าใจปัญหา..สังคมที่ยังไม่รู้วิธีแก้ปัญหา..สังคมที่ไม่สนใจการแก้ปัญหา

การแสดงความคิดเห็น..ในระบอบประชาธิปไตย..ย่อมไม่ใช่..การแสดงอาการป่วยทางจิต



ภาพที่ 2 เผด็จการ..และคอมมิวนิสต์..ล้วนไม่มีเสรีภาพทางความคิด

ในประวัติศาสตร์..การปกครองของเผด็จการนั้น..ย่อมทำได้ในระยะเวลาอันสั้นเท่านั้น
เพราะการไม่มีเสรีภาพทางความคิด..ซึ่งจะทำให้ไม่มีเสถียรภาพ..ทางการเมือง
เผด็จการมักจะสร้างหน่วยงานลับ..องค์กรลับ..โดยถูกต้องตามกฏหมาย
และมักจะอ้างการต่อต้านอำนาจรัฐ..ในการทำลายศัตรูทางการเมือง..และผู้เรียกร้องเสรีภาพ

ในระบอบคอมมิวนิสต์..ซึ่งมักจะอ้างเสรีภาพทางความคิดนั้น..ก็มิได้มีเสรีภาพแต่อย่างใด
เพราะในระบอบคอมมิวสต์..ทุกคนต้องคิดเหมือนกันหมด..ไม่งั้นระบอบคอมมิวนิสต์จะอยู่ไม่ได้
จึงต้องมีการตรวจสอบความคิดของทุก ๆ คน..ไม่ให้แตกต่างไปจากแนวทางของพรรค
ทุกคนจึงอยู่ด้วยความหวาดระแวง..ซึ่งกันและกัน..เพราะการใส่ร้ายป้ายสีกัน..มักเกิดขึ้นตลอดเวลา

ในระบอบคอมมิวนิสต์..ก็จะมีหน่วยงานลับ..องค์กรลับ..เพื่อรักษาฐานอำนาจของตนเอง
ทั้งเผด็จการและระบอบคอมมิวสต์..มักจะใช้เศษสวะสังคม..มาเป็นเครื่องมือของรัฐ

หน่วยงานลับ..องค์กรลับ..เครื่องบ่งชี้..การไร้เสรีภาพทางความคิด


ภาพที่ 3 การกล่าวสุนทรพจน์..การแสดงความคิดเห็น..อารยะธรรมที่งดงาม

การศึกษาปัญหาของสังคม..การมองหาวิธีแก้ไข..ก่อให้เกิดปรัชญาขึ้นมามากมาย
การนำเสนอความคิดของตน..ออกสู่สาธารณะ..ทำให้เกิดพัฒนาการของการปราศัย
ก่อให้เกิดสุภาษิต..คำคม..วาทะที่สวยงาม..จนกลายเป็นสุนทรพจน์..ที่ประทับใจ

การนำเสนอความคิดต่อสาธารณะ..ย่อมต้องการการยอมรับ..จากสังคม
การปราศัยต่อฝูงชน..ย่อมต้องมีการฝึกฝน..การเรียงร้อยถ้อยคำให้เหมาะสม
การได้รับการยอมรับจากมหาชน..ย่อมทำให้เกิดภาวะ..ผู้นำทางความคิด
การปราศัยที่สร้างความประทับใจฝูงชนได้..จึงเป็นอารยะธรรม..ในระบอบประชาธิปไตย

การกล่าวสุนทรพจน์ได้ดี..เครื่องบ่งชี้..ความมีอารยะธรรม
เมื่อเราเรียงภาพที่ 1, 2 และ 3 เราอาจมองเห็นภาพ
พัฒนาการของ..การแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะ
พัฒนาการของ..การปกครองในระบอบประชาธิปไตย

การที่เราจะพัฒนา..ความรู้..ความเข้าใจ..การปกครองระบอบประชาธิปไตยได้นั้น
คงต้องย้อนกลับไปดูที่..พัฒนาการของการนำเสนอ..ความคิดเห็นต่อสาธารณะ

การที่สังคมไทย..ไม่มีการพัฒนา..พฤติกรรมการแสดงออก..ในระบบการศึกษา
และไม่เคยฝึกฝนให้เด็กแสดงออก..ตั้งแต่ในระดับครอบครัวนั้น
น่าจะบ่งบอกได้ว่า..การพัฒนาระบอบประชาธิปไตย..ในประเทศไทย
ขาดความรู้..ความเข้าใจ..ขาดรากฐานที่ดี..มาตั้งแต่ต้น

วัฒนธรรม..การนำเสนอความคิดเห็นต่อสาธารณะ..บ่งบอกความเป็นประชาธิปไตย
การที่ผู้มีการศึกษาในสังคมไทย..นิยมใช้คำหยาบ..นิยมใช้ภาพลามกอนาจาร
แสดงถึง..การไร้ค่าของระบบการศึกษา..ไร้ซึ่งวัฒนธรรม..อันดีงาม
การใช้เศษสวะสังคม..เป็นเครื่องมือของรัฐ..บ่งบอกถึง..จิตใจที่ต่ำทราม..ของชนชั้นปกครอง

การแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะ..ดรรชนีชี้วัด..ความมั่นคงทางการเมือง


http://www.taiknowledgebase.org

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น